นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 299 ก็แค่กินอาหาร ยุ่งยากยิ่งนัก

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

เฟิ่งชิงเฉินรู้เพียงว่าหอจู๋เฟิงเป็นร้านอาหารที่มีชื่อเสียงและดีที่สุดในราชวงศ์ตงหลิง ในเมื่อจะเชิญใครมารับประทานอาหารสักทีก็ควรจะเลือกสถานที่ซึ่งดีที่สุด แต่กลับไม่รู้ว่าการจะเข้าไปในประตูของหอจู๋เฟิงช่างยากนัก

การที่จะเข้าไปในหอจู๋เฟิงจะต้องต่อกลอนจากคนก่อนหน้า

“ก็แค่กินข้าวไม่ใช่หรือไร เหตุใดจึงวุ่นวายเช่นนี้ ช่างลำบากยิ่งนัก!” เฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่ที่ปากประตู นางรู้สึกลำบากใจเหลือเกิน “เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่บอกข้าก่อนหน้านี้ หากข้ารู้ละก็ให้ตายข้าก็ไม่มาที่หอจู๋เฟิงแห่งนี้หรอก!”

บ่าวรับใช้ได้แต่ก้มหน้าก้มตาลง แล้วกล่าวด้วยท่าทางน่าสงสารว่า “ทุกคนในเมืองหลวงล้วนรู้ดีเจ้าค่ะ”

เช่นเดียวกับงานกวี หากต้องการเข้าไปในงานกวีนั้นก็จะต้องใช้หัวข้อดอกไม้มาประพันธ์กวีหนึ่งบทเพื่อเข้าไปด้านใน หากต้องการเดินทางเข้าไปในหอจู๋เฟิงแห่งนี้ก็จะต้องต่อกลอนเหมือนกัน

หอจู๋เฟิงเป็นสถานที่ซึ่งทุกคนใต้หล้าล้วนให้ความนิยม คนที่เดินทางมารับประทานอาหารที่แห่งนี้ โดยมากมักจะมาด้วยเหตุนี้

“เปลี่ยนสถานที่ได้หรือไม่?” เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าตนเองมีความสามารถเช่นไร ให้ต่อกลอนหรือ นี่ไม่ใช่เรื่องยากธรรมดา

นางสามารถท่องกวีได้หากพยายาม แต่ให้ต่อกลอน อย่าว่าแต่นางจะไม่อาจต่อมันได้ ต่อให้ทำได้ก็อาจจะใช้ไม่ได้ ต้องดูว่าอีกฝ่ายหนึ่งเขียนกลอนอะไรไว้

บ่าวรับใช้ก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม “หากว่าเปลี่ยนสถานที่ล่ะก็ ทุกคนคงจะรู้ว่าคุณหนูท่านไม่สามารถต่อกลอนได้” หลังจากนั้นก็จะมีเรื่องติฉินนินทามากขึ้นกว่าเดิม

ผู้ที่เดินทางมายังหอจู๋เฟิงและต้องต่อกลอน พวกเขารู้สึกสนใจในเจ้าสิ่งนี้ แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับไม่รู้เรื่องเลย “หอจู๋เฟิงเป็นของผู้ใดกัน เหตุใดจึงตั้งกฎบ้าบอเช่นนี้ขึ้น!”

“เอ่อ……” ศีรษะของบ่าวรับใช้แทบจะแทรกเข้าไปในดินเสียแล้ว “หอจู๋เฟิงเป็นกิจการของตระกูลหวัง คุณชายใหญ่เป็นผู้ก่อสร้างมากับมือ และกฎเกณฑ์นี้คุณชายใหญ่เป็นผู้ตั้งขึ้นมาเองเจ้าค่ะ แต่ละคนล้วนภาคภูมิใจที่เขาได้เข้าไปรับประทานอาหารในหอจู๋เฟิงแห่งนี้ อีกทั้งมีบัณฑิตจำนวนมากมีชื่อเสียงเนื่องด้วยต่อกลอน ณ ที่แห่งนี้”

ดังนั้นการที่คนในตระกูลหวังจะจองที่นั่งในหอจู๋เฟิงจึงไม่ใช่เรื่องยาก บ่าวรับใช้ครุ่นคิดแล้วกล่าวเสริมขึ้นอีกหนึ่งประโยคว่า “คุณหนูเจ้าคะ พ่อบ้านหวังจองห้องเอาไว้ที่ชั้นสองให้แก่คุณหนู ที่หน้าประตูนั้นยังมีกลอนอีกหนึ่งคู่ หากสามารถจับคู่ได้ จึงจะได้เข้าไปนั่งด้านใน ไม่เช่นนั้นคงจะนั่งได้เพียงด้านล่าง”

พวกนางพบว่า เรื่องราวต่างๆ มากมายแม้แต่เด็กวัยสามขวบในราชวงศ์ตงหลิงก็ยังรู้ แต่คุณหนูของนางกลับไม่รู้ ด้วยเหตุนี้เองพวกนางจึงอธิบายอย่างว่าง่าย

สีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินยิ่งดูดุดันขึ้นเรื่อยๆ นางจ้องมองไปที่ป้ายหอจู๋เฟิง ดวงตานั้นแทบจะแผดเผาเป็นประกายไฟ แล้วกัดฟันกล่าวว่า “หากว่าข้าแต่งกลอนนั้นได้ ก็จะสามารถทิ้งกลอนไว้ได้สองท่อนเช่นกันใช่หรือไม่?”

“เจ้าค่ะคุณหนู” บ่าวรับใช้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก พวกนางพบว่าในที่สุดคุณหนูก็เข้าใจสิ่งนี้แล้ว

“มีใครได้รับข้อยกเว้นหรือไม่?” หากเป็นกิจการของตระกูลหวัง คาดว่าหวังจิ่นหลิงน่าจะเป็นผู้ที่ได้รับยกเว้น เฟิ่งชิงเฉินคิดอยู่ในใจ

“ไม่มีเจ้าค่ะ ต่อให้คุณชายใหญ่เดินทางมาเองก็จะต้องปฏิบัติตามกฎของหอจู๋เฟิงแห่งนี้ และนี่ก็คือเหตุผลที่ผู้คนพากัน แย่งเข้ามาหอจู๋เฟิงนั่นเอง”

“อ๋อ อย่างงั้นหรือ แล้วหากว่าคนก่อนหน้าทิ้งกลอนซึ่งอยากเอาไว้มากๆ จะทำอย่างไรเล่า?” ไหนว่าเรื่องบางเรื่องก็ไม่แน่นอนเสมอไป หากมันยากมากแล้วนางจะทำอย่างไรเล่า

“คุณหนูวางใจเถิด ท่านซูเหยียนคือผู้ดูแลหอจู๋เฟิงแห่งนี้ หากว่ากลอนที่ยากเกินไปจนไม่สามารถต่อได้ ท่านซูเหยียนก็จะออกกลอนมาอันหนึ่ง ท่านซูเหยียนคือหัวหน้าอาจารย์ใหญ่ทั้งแปดแห่งจิ่วโจว” สาวรับใช้กล่าวอธิบายด้วยน้ำเสียงอัน ภาคภูมิใจ ประโยคของนางเมื่อครูช่างเชิดชูยกย่องท่านซูเหยียนยิ่งนัก

“บุคคลเช่นนี้เหตุใดจึงมาเป็นพ่อบ้านให้แก่หอจู๋เฟิงเล่า?” โดยมากแล้วนักปราชญ์มักจะค่อนข้างเย่อหยิ่ง และไม่ยอมก้มหลังให้ใครเพื่อแลกมาด้วยข้าวห้ากระสอบไม่ใช่หรือ? หรือหวังจิ่นหลิงจะให้ข้าวแก่เขาถึงสิบกระสอบ ด้วยเหตุนี้อีกฝ่ายจึงยอมก้มหลังให้?

ดูเหมือนบ่าวรับใช้จะรู้ตั้งแต่แรกว่าเฟิ่งชิงเฉินจะถามเช่นนี้ นางจึงเงยหน้าขึ้นแล้วกล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า “คุณหนูเจ้าคะ เหตุผลที่ท่านซูเหยียนอยู่ที่หอเหวินเฟิงนี้ เป็นเพราะท่านซูเหยียนแข่งกลอนกับคุณชายใหญ่ และคุณชายใหญ่ชนะเขา ท่านซูเหยียนเป็นผู้ที่กล้าได้กล้าเสีย ในเมื่อเขาพ่ายแพ้ก็ต้องยอมรับข้อเสนอของคุณชายใหญ่โดยมาเป็นพ่อบ้านดูแลกิจการที่หอจู๋เฟิงแห่งนี้ แน่นอนว่าท่านซูเหยียนไม่ได้ดูแลเรื่องของการค้าขายในหอจู๋เฟิง เขาดูแลรับผิดชอบเรื่องของความสง่างามเช่นนี้”

“เป็นเช่นนี้นี่เอง แต่การที่พ่ายแพ้ต่อคุณชายใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าอับอายอะไร” ความรู้ความสามารถของหวังจิ่นหลิงเฟิ่งชิงเฉินเข้าใจดี แม้ว่าหวังจิ่นหลิงจะไม่ค่อยแสดงมันออกมาต่อหน้านาง แต่นางก็พอได้ยินมาบ้างและเดาออก

การออกไปศึกษาด้านนอกสามเดือน สามารถทำให้แต่ละแห่งเดินทางมาส่งเขาอย่างสง่างาม คนจากสำนักศึกษาจี้เซี่ยเดินทางมาเชิญเขาไปสอน คนที่มีความสามารถเช่นนี้ต่อให้ใช้มือข้างเดียวในการนับก็คงนับไม่ครบนิ้ว

สำนักศึกษาจี้เซี่ยเป็นแหล่งรวมของบัณฑิตจากทุกหนแห่ง การที่สามารถไปสอนหนังสือที่แห่งนั้นได้ ผู้ใดบ้างที่ไม่ใช่ชายชราผมเผ้าขาวโพลนที่มีคุณสมบัติพร้อมครบทุกด้าน ส่วนหวังจิ่นหลิงสามารถไปสอนหนังสือที่นี่ได้จึงนับว่าได้รับการยอมรับเพราะความสามารถคุณสมบัติของเขา

“ในเมื่อมาแล้ว เอ้าพวกเราไปดูกันเถิดว่าจะสามารถเข้าหอจู๋เฟิงนี้ได้หรือไม่” เมื่อเปรียบเทียบกับบุรุษและสตรีซึ่งมีความสามารถของที่นี่แล้ว เฟิ่งชิงเฉินจึงได้พบว่า นางศึกษาหาความรู้ในยุคปัจจุบันมานับสิบปีล้วนไร้ประโยชน์ หลังจากจบมหาวิทยาลัยออกมาแล้ว ภาษาจีนของนางกลับไม่ได้เรื่องเลย

“คุณหนู ช้าก่อน”

เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเดินไปถึงปากประตูหอจู๋เฟิงก็พบเข้ากับสตรีนางหนึ่งถูกคนของหอจู๋เฟิงรั้งเอาไว้ “คุณหนูขอรับ กฎของหอจู๋เฟิงแห่งนี้ข้าไม่ต้องกล่าวท่านก็คงเข้าใจ คุณหนูไม่สามารถต่อกลอนได้ เช่นนั้นก็ไม่อาจเข้าไปได้”

“ข้าจองโต๊ะไว้ตั้งแต่เมื่อสามเดือนก่อน เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ให้ข้าเข้าไป?” สตรีในชุดสีชมพูใบหน้าแดงเรื่อ ดวงตาของนางคู่นั้นเหลือบมองซ้ายขวาไปทั้งสองข้าง และพบว่าผู้คนเดินผ่านไปมาก็หันมามองนาง จึงทำให้นางอายหน้าแดงเรื่อยิ่งขึ้นกว่าเดิม

แม่นางน้อยโดยมากมักจะกลัวต้องเสียหน้า ซึ่งก็พอจะเข้าใจได้

เฟิ่งชิงเฉินนับถือยิ่งนัก แผนการนี้ของหวังจิ่นหลิงช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน สถานที่ซึ่งใช้สำหรับแต่งกลอนอยู่ตรงหน้าปากประตูใหญ่ เมื่อเป็นเช่นนี้หากไม่สามารถแต่งออกมาได้ ไม่จำเป็นต้องให้คนจากหอจู๋เฟิงกล่าวสิ่งใด ก็คงจะไม่กล้ายืนอยู่ตรงนั้น

แน่นอนว่ายกเว้นสตรีในชุดสีชมพูผู้นี้ นางคงจะไม่พอใจอย่างยิ่ง

“หอจู๋เฟิงมีกฎของหอจู๋เฟิงอยู่ คุณหนูโปรดรับทราบกฎนี้และปฏิบัติตาม อย่าว่าแต่คุณหนูจองโต๊ะเอาไว้ล่วงหน้าสามเดือน ต่อให้จองไว้เมื่อสามปีก่อนทว่าไม่สามารถแต่งกลอนขึ้นมาได้ก็เช่นเดียวกันไม่อาจเข้าไปได้” ต่อให้เป็นเสี่ยวเสี่ยวเอ้อในหอจู๋เฟิงก็ไม่ใช่ว่าจะรังแกกันได้ง่ายๆ มองไปสง่างามยิ่งนัก เปรียบเทียบกับคุณชายในจวนเล็กๆ มองไปดูมีสง่าราศีกว่าอีกด้วยซ้ำ

เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าแล้วตอบว่า “หอจู๋เฟิงของคุณชายใหญ่ไม่เลวเลย แม้แต่เสี่ยวเอ้อยังดูท่าทางสูงส่งเช่นนี้ มิน่าเล่าแต่ละคนจึงอยากเดินทางมา”

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร!” สตรีชุดสีชมพูเงยหน้าขึ้นโดยท่าทางหยิ่งผยอง

“คุณหนูขอรับ ข้าไม่รู้ว่าคุณหนูคือใครและไม่อยากรู้ หากกล่าวว่าท่านคือใครออกมาเกรงว่าจะทำให้ขายหน้าเปล่าๆ คุณหนูขอรับ พวกเราเปิดร้านเพื่อทำการค้า บัดนี้เชิญคุณหนูขยับไปด้านข้างก่อน เพราะมีแขกอีกคนมาแล้ว” เสี่ยวเอ้อผู้นั้นไม่สนใจและไม่เห็นสตรีนางนี้ในสายตา เพราะแขกเช่นนี้เขาเห็นมามากแล้ว

ดูเหมือนสตรีชุดสีชมพูต้องการจะกล่าวบางอย่างออกมา แต่ชายหนุ่มซึ่งสวมชุดสีน้ำเงินอยู่ข้างกายนางเข้ามารั้งนางเอาไว้แล้วกล่าวว่า “จิ้งเยวี่ย พอได้แล้ว เจ้าอย่าได้ทำเรื่องราวให้วุ่นวายไปกว่านี้”

“แต่ว่าท่านพี่ ต้องการจะเข้าพบท่านซูเหยียนมิใช่หรือ หากว่าพวกเราไม่อาจเข้าไปได้ตั้งแต่หน้าประตูใหญ่ของหอจู๋เฟิง แล้วจะพบกับท่านซูเหยียนได้อย่างไร?” สตรีชุดสีชมพูเบ้ปากขึ้น ใบหน้าของนางดูห่อเหี่ยวใจ

“ด้วยความสามารถของข้านี้ หากไม่อาจเข้าไปในหอจู๋เฟิงได้แล้วท่านซูเหยียนจะยอมมาพบข้าหรือ?” ชายหนุ่มทำท่าทางห่อเหี่ยว แล้วกล่าวเยาะเย้ยตนเอง

“หาใช่เช่นนั้นไม่ เห็นได้ชัดว่าหอจู๋เฟิงของพวกเขาตั้งใจรังแกเรา กลอนอะไรพวกนี้ไม่ใช่ว่าจะต่อได้เสียทุกอย่าง พวกเขาตั้งใจให้เราต่อกลอนไม่ได้!” สตรีชุดสีชมพูดูเหมือนไม่พอใจนัก แล้วเหลือบไปมองดูเสี่ยวเอ้อด้วยท่าทางเกลียดชัง

“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกนางจะสามารถต่อมันได้สำเร็จ ข้าจะคอยดูพวกนางถูกคนของหอจู๋เฟิงขับไล่ไป!” จิ้งเยวี่ยยกมือขึ้นกอดอก แล้วทำท่าทางจ้องเขม็งไปที่เฟิ่งชิงเฉิน

เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าที่นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วเดินเข้าไปอย่างช้าๆ ในใจนางรู้สึกอึดอัดคับข้องเล็กน้อย เกรงว่าในวันนี้กลอนที่หอจู๋เฟิงนำมาจะไม่ธรรมดา ไม่รู้ว่านางจะสามารถก้าวเข้าไปที่ประตูใหญ่ของหอจู๋เฟิงได้หรือไม่

นางจะเลี้ยงอาหารหวังจิ่นหลิง แต่ทว่าตัวของนางไม่อาจเข้าไปได้แม้แต่ที่ประตู เมื่อถึงเวลาแล้วไม่รู้ว่าหวังจิ่นหลิงจะหัวเราะเยาะนางเช่นไร……

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท