นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 305 เสื้อแบบเดียวกัน คนอื่นเข้าใจผิดอีกแล้ว

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

เวลาเหมาะสมอย่างมาก เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเห็นว่าเสื้อของตนและเสด็จอาเก้านั้นเป็นสีเดียวกัน แบบคล้ายกัน ในขณะที่นางอยากไปเปลี่ยนก็พบว่ามันไม่ทันแล้ว แขกของเสด็จอาเก้ามาถึงแล้ว….

เสด็จอาเก้าส่งคำเชิญให้ใคร ถือเป็นเกียรติของผู้นั้น หนึ่งปีคงไม่มีสักครั้งเดียว คนที่ได้รับนั้นอย่างมาก

เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ใบเชิญของเสด็จอาเก้า ไม่ว่าจะคิดอย่างไร มีความสุขหรือไม่ ก็ไม่มีใครกล้ามาสาย

โดยปกติแล้วผู้มีอำนาจสูงสุดจะต้องมาถึงคนสุดท้ายเพื่อที่จะแสดงยศศักดิ์ของตนออกมา เพื่อที่จะได้รับชื่นชมยินดีของทุกคน แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป คนที่มาถึงคนแรกเป็นเสด็จอาเก้า

ร่างกายขององค์รัชทายาทอ่อนแอเช่นเคย เมื่อเห็นเสด็จอาเก้ามาแต่ไกล องค์รัชทายาทก็เร่งฝีเท้า เดินเร็วเพียงไม่กี่ก้าวก็ทำให้องค์รัชทายาทหน้าแดงและหายใจหอบเหนื่อย

ไม่น่าแปลกใจที่ตงหลิงจื่อลั่วไม่รีบจัดการองค์รัชทายาทเช่นนี้ ทำให้ผู้คนไม่สามารถมองว่าเขาเป็นคู่แข่งได้จริง ๆ ร่างกายอ่อนแอเช่นนี้ จะแบกรับหน้าที่ดูแลบ้านเมืองได้อย่างไร

เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินที่สวมชุดหรูหรายืนอยู่ตรงหัวมุม องค์รัชทายาทก็ตกใจ เขารู้สึกตกใจและไม่เข้าใจเล็กน้อย

เสด็จอาเก้าเชิญทานข้าว แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับแต่งกายเด่นเช่นนี้ นางต้องการเป็นที่สนใจมากกว่าเสด็จอาเก้าหรือ? ๆ โชคดีที่จวนของเสด็จอาเก้าไม่มีพระชายา ไม่เช่นนั้นเฟิ่งชิงเฉินทำเช่นนี้จะต้องโดนเกลียดอย่างแน่นอน

“ชิงเฉินคาราวะองค์รัชทายาท” เฟิ่งชิงเฉินโค้งตัวและคำนับ ไม่ใช่เพราะนางไม่อยากคุกเข่า แต่เพราะว่าหากนางคุกเข่าลง เสื้อจะเลอะเทอะ

“มิต้องมากพิธีรีตอง” ดวงตาขององค์รัชทายาทเป็นประกาย และส่งยิ้มให้เฟิ่งชิงเฉิน จากนั้นเขาเดินตรงเข้าไปหาเสด็จอาเก้า เมื่อเข้าไปและเห็นชุดของเสด็จอาเก้าแล้ว องค์รัชทายาทตกใจอย่างมาก จากนั้นก็เผยรอยยิ้มที่กระจ่างออกมา

เฟิ่งชิงเฉินผู้นี้ไม่ลืมแสดงเจตจำนงของตนตลอดเวลา ไม่คิดว่านางจะไปสืบการแต่งกายของเสด็จอาเก้ามา เพื่อที่จะสวมชุดคล้ายกัน นางต้องการให้ซูหว่านยอมถอยให้นางหรือ?

ผู้หญิงนี่ชอบใช้เล่ห์กลเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เสียจริง แต่พวกนางไม่รู้ว่าเสด็จอาเก้าไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ องค์รัชทายาทคำนับเสด็จอาเก้า ” เสด็จอา”

เขาไม่ได้เอ่ยคำว่า “เก้า” ออกมา องค์รัชทายาทจงใจกล่าวให้ทั้งสองใกล้ชิดกันมากขึ้น

“องค์รัชทายาท มานั่งเถิด” หลังจากที่เสด็จอาเก้านั่งลง องค์รัชทายาทก็เดินตามและนั่งในตำแหน่งแรกจากด้านล่างซ้าย เฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่ที่มุมห้อง ไม่รู้ว่าตนควรเข้าไปหรือไม่ และนางควรนั่งที่ไหน

ตามหลักแล้ว ชายและหญิงจะต้องแยกกันนั่ง แต่เสด็จอามีโต๊ะเพียงตัวเดียว เสด็จอาเก้าคงอยากให้ทุกคนนั่งด้วยกัน

เสด็จอาเก้าดูเหมือนจะรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินรู้สึกอึดอัด เขาจึงยกมือขึ้น “นั่ง”

ชายและหญิงจะไม่นั่งในที่นั่งเดียวกันนี่คือกฎ แต่เมื่ออยู่ในพระราชวังกฎเหล่านี้จะเบาลงเล็กน้อย ใครจะกล้าว่าราชวงศ์

“ใช่” เฟิ่งชิงเฉินตอบรับและก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ หลังจากเดินไปสักพัก เฟิ่งชิงเฉินตระหนักได้ว่าชายเสื้อของนางปักด้วยไหมทองเป็นรูปดอกบัว นางไม่ได้สังเกตมาก่อน เพราะตอนแรกนางมิได้มองดูที่ชายเสื้อ

เมื่อเฟิ่งชิงเฉินก้าวไปข้างหน้า ชายเสื้อพลิ้วไหวไปมา ดอกบัวชายเสื้อนั้นผลิบานออกมา เมื่อชายเสื้อเก็บกลับมาเป็นทรงเดิม ดอกบัวก็หุบลงอีกครั้ง หากมิใช่เพราะเดิน หรือเพราะแสง จะไม่มีทางพบลายนี้แน่นอน

เพราะเมื่อมีแสงมาก ไหมทองเห็นไม่ค่อยชัดเท่าไหร่

“เป็นงานปักที่ประณีตงดงามอย่างมาก” อย่าว่าแต่องค์รัชทายาท แม้แต่เฟิ่งชิงเฉินเองก็ยังตกตะลึงเมื่อมองดูดอกบัวบานที่ชายกระโปรงขณะเดิน

เมื่อก่อนเคยได้ยินแต่คำว่า “ดอกบัวบานทุกย่างก้าว” ตอนนี้นางได้เห็นกับตา เฟิ่งชิงเฉินตะลึงอย่างมาก หากมิใช่เพราะว่ากาลเทศะ เฟิ่งชิงเฉินอยากเดินมากกว่านี้ เพื่อที่จะได้เพลิดเพลินไปกับความงามของชายกระโปรที่ “ดอกบัวบานทุกย่างก้าว” นี้

เฟิ่งชิงเฉินอุทานอย่างมีความสุข เสด็จอาเก้าพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แต่องค์รัชทายาทดูงงงวยอย่างมาก เฟิ่งชิงเฉินไม่ทราบหรือว่าเสื้อตนมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง? หรือว่านางตั้งใจทำให้เสด็จอาเก้าสนใจ

องค์รัชทายาทหันข้าง จากนั้นเห็นเสด็จอาเก้ามองดูเฟิ่งชิงเฉินด้วยรอยยิ้ม เขาแอบยอมใจในตัวเฟิ่งชิงเฉินที่ตั้งใจวางเล่ห์กลเช่นนี้ หญิงสาวในสมัยนี้นี้ เหตุใดจึงเอาแต่สนใจเรื่องดึงดูดผู้ชาย

กลุ่มผู้หญิงในวังหลังก็เป็นแบบนี้เช่นกัน และกลุ่มผู้หญิงในจวนของเขาก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน วันๆ เอาแต่ครุ่ยนคิดว่าจะเรียกร้องความสนใจจากนางอย่างไร

แต่ว่าเมื่อเทียบกับผู้หญิงเหล่านั้นและ พวกนางเทียบเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้เลย เฟิ่งชิงเฉินนั้นตั้งใจในเรื่องนี้อย่างมาก อย่าว่าแต่เสด็จอาเก้าที่ไม่ชอบหญิงสาวเลย แม้แต่ชายหนุ่มที่เจอหญิงงามบ่อยก็คงต้องเผลอหลงไปบ้าง

ผู้หญิงเหล่านั้นไม่อาจต้านทานกับชุดที่สวยงามหรือเครื่องประดับราคาแพง เมื่อเจอกันชุดที่สวยงามเช่นนี้ ความไม่พอใจของเสด็จอาเก้าก็เบาลง เพราะเสื้อตัวนี้ นางจึงยอมให้เสด็จอาใช้เป็นเครื่องมือชั่วคราวก็ย่อมได้

เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าฐานะตนนั้นเป็นอย่างไร นางจึงได้นั่งแค่ที่นั่งสุดท้าย ฉะนั้นนางเลือกไปนั่งที่นั่นเองโดยไม่ต้องมีใครบอกกล่าว แต่ไม่คาดคิด…. มันเป็นที่นั่งที่อยู่ตรงข้ามเสด็จอาเก้าพอดี

หลังจากนั่งลง เฟิ่งชิงเฉินพบว่านางไม่สามารถเปลี่ยนที่นั่งได้อีก อีกอย่างที่นั่งอื่นนางไม่สามารถนั่งได้ จึงทำได้แค่ส่งยิ้มขอบใจให้กับเสด็จอาเก้าที่นั่งอยู่ที่นั่งหลัก

เสด็จอาเก้าตอบอย่างไม่ใส่ใจ บรรยากาศเย็นลงเล็กน้อย เจ้าชายยิ้มและพยายามทำให้บรรยากาศดีขึ้น เขาพยายามคุยกับเสด็จอาเก้าหลายครั้ง แต่เสด็จอาเก้าไม่สนใจเขาเท่าไหร่ และตอบเพียง “อืม” เท่านั้น

เสด็จอาเก้าและองค์รัชทายาทอายุใกล้เคียงกัน แต่เขาถือท่าทีเป็นผู้ใหญ่เอาไว้ อีกคนแสดงท่าทีเป็นเด็กน้อย เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่ามันแปลกอย่างมาก

เมื่อเห็นว่ามองค์รัชทายาทเริ่มเอาไม่อยู่แล้ว ตงหลิงจื่อลั่ว องค์หญิงอันผิง ตงหลิงจื่อชุน หวังชี เซี่ยซานและหวังจิ่นหลิง ตี๋ตงหมิงก็มาถึงพอดี

เสด็จอาเก้าและองค์รัชทายาทมิต้องยืนขึ้น แต่เฟิ่งชิงเฉินนั้นต่างจากพวกเขา ปกติแล้วนางต้องคำนับคนเหล่านี้ ตอนนี้แม้ว่าไม่ต้องคำนับ แต่นางก็ต้องยืนขึ้นต้อนรับ

เมื่อเป็นเช่นนี้ ดูเหมือนว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นคุณหญิงในจวน ช่วยพวกเขารับแขก แม้ว่าองค์รัชทายาทจะรู้สึกแปลกๆ แต่เสด็จอาเก้ามิได้ว่ากระไร เขาจึงพูดกระไรมิได้

เมื่อทุกคนเห็นเฟิ่งชิงเฉินต่างก็ตะลึงอย่างมาก พวกเขาคิดไม่ถึงว่าเสด็จอาเก้าจะเชิญเฟิ่งชิงเฉินมาด้วย และเมื่อเห็นเสื้อผ้าของเฟิ่งชิงเฉิน มีหลายคนไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

ตงหลิงจื่อลั่วเย็นชาเช่นเดิม สีหน้าของเขาประชดประชัน ตงหลิงจื่อชุนนั้นเป็นกันเองอย่างมาก แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อเสด็จอาเก้ามองอยู่ เขาไม่กล้าเอ่ยปาก เขายิ้มให้เฟิ่งชิงเฉินและเดินขึ้นไปข้างหน้าอย่างเชื่อฟัง

องค์หญิงอันผิงไม่กล้าก่อปัญหาต่อหน้าเสด็จอาเก้า จึงทำได้แค่เฉยเมยต่อเฟิ่งชิงเฉิน ทำได้เพียงส่งยิ้มดูหมิ่นนางไปเป็นครั้งคราว เห็นได้ชัดว่านางดูถูกเฟิ่งชิงเฉินอย่างมาก

หวังจิ่นหลิงยังคงยิ้ม แต่เซี่ยซานและหวังชีเป็นเหมือนกับองค์รัชทายาท พวกเขามองไปที่เฟิ่งชิงเฉิน จากนั้นมิได้กล่าวกระไร

เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าชุดนี้จะสร้างปัญหา แต่ทำได้เพียงอดทน ก็ที่นี่เป็นถิ่นจองเสด็จอาเก้า นางรับของเขามาจึงต้องยอมเขาเป็นธรรมดา

“นั่งได้ตามสบาย” ในที่สุดเสด็จอาเก้าก็รับแขก แต่พวกเขาไม่กล้านั่งลง เพราะที่นั่งนั้นมีตำแหน่งพิเศษ ตงหลิงจื่อลั่วนั่งถัดจากเสด็จอาเก้า ต่อมาเป็นองค์หญิงอันผิง ตงหลิงตื่อชุนและตี๋ตงหมิง

ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างชายและหญิง แน่นอนว่าต้องนั่งตามตำแหน่งสถานะ ระหว่างตี๋ตงหมิงและ เฟิ่งชิงเฉินมีที่นั่งว่างอยู่หนึ่งที่ ที่นั่งนี้เซี่ยซานหรือหวังชีมานั่งก็ย่อมได้ เพราะเฟิ่งชิงเฉินนั่งอยู่ส่วนท้ายของโต๊ะอยู่แล้ว ฉะนั้นทั้งซ้านและขวาจึงต้องเป็นหวังชีและเซี่ยซาน คนใดคนหนึ่ง แต่ว่า

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท