นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 307 ไล่ฆ่า เรียกใช้คุณชายใหญ่

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

อะไร? ชิงเฉินของข้า?

เมื่อพูดจบ ราวกับเวลาพลันหยุดนิ่งไปในทันที ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ต่างก็หยุดการกระทำทุกอย่างของตนลงไป ปากของพวกเขาพลันอ้าค้างเอาไว้เป็นเวลานาน พร้อมกับมองไปที่หวังจิ่นหลิงพร้อม ๆ กัน เสมือนกับจะถามเขาว่า สิ่งที่เขาพูดไปเมื่อครู่ หมายความเช่นไรกันแน่?

มันเป็นคำพูดเหลวไหลของหวังจิ่นหลิง หรือจะเป็นการประกาศกลาย ๆ ให้พวกเขารู้ว่า เฟิ่งชิงเฉินถูกจับจองเป็น “สะใภ้ของตระกูลหวัง”แล้ว คำพูดของหวังจิ่นหลิงได้รับการยืนยันจากตระกูลหวังแล้วหรือ?

เมื่อเผชิญหน้ากับผู้คนที่กำลังขบคิดปัญหาของพวกเขาอยู่นั้น หวังจิ่นหลิงเพียงทำหน้าไม่รู้ทุกข์ไม่รู้ร้อน ทั้งยังไม่เปิดปากอธิบายอันใดออกมาอีกด้วย สีหน้าของตงหลิงจื่อชุนพลันแดงก่ำไปในทันที หากมิใช่ว่าตี๋ตงหมิงรั้งเขาเอาไว้ ตงหลิงจื่อชุนคงลุกขึ้นตบโต๊ะไปแล้ว

การที่เขาได้พบเจอสตรีที่ถูกใจนั้น ไม่ง่ายเลย แต่หวังจิ่นหลิงหมายความว่าอันใดกัน ถึงได้กล้ามาแย่งของเขาไปเช่นนี้

แววตาทั้งสองข้างของตงหลิงจื่อชุนราวกับมีลูกไฟออกมา ทว่า ที่นี่เป็นตำหนักแยกของเสด็จอาเก้า เขาจึงไม่กล้าทำการเสียมารยาทต่อหน้าเสด็จอาเก้านัก เพียงแต่แอบเก็บความเคียดแค้นนี้เอาไว้ในใจตนเอง

คิ้วของซีหลิงเทียนเหล่ยพลันเลิกขึ้นมาเล็กน้อย ราวกับไม่พอใจนัก ทว่า ผู้อื่นพลันมีสีหน้าขบคิดเรื่องนี้ไม่ต่างกัน หากแต่ด้วยแววตาเฉียบคมของหวังจิ่นหลิงที่มองมาหาทุกคนนั้น ทำให้ทุกคนค่อย ๆ ละสายตาจากไป

มีเพียงเสด็จอาเก้าเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์หรือการกระทำของพระองค์ เสด็จอาเก้าทำทีเป็นไม่ได้ยินเรื่องราวมาตั้งแต่ต้น

เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกตกตะลึงยิ่งนัก พร้อมกับมองไปที่หวังจิ่นหลิงด้วยท่าทีตกใจตั้งแต่ที่เขาพูดคำนั้นออกมา เฟิ่งชิงเฉินได้แต่มองหวังจิ่นหลิงด้วยสายตาเหม่อลอยอยู่นาน หาได้คิดที่จะไปสนใจปฏิกิริยาของผู้อื่นไม่ เพียงแต่อยากจะถามหวังจิ่นหลิงว่า เขาพูดเช่นนั้นหมายความว่าอันใดกัน?

อีกทั้งการประกาศต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ เขาต้องการจะฆ่านางหรืออย่างไร?

ตระกูลหวังย่อมไม่ยินยอมให้นางแต่งเข้าตระกูลอย่างแน่นอน หากคนในตระกูลหวังรู้ว่าหวังจิ่นหลิงพูดเช่นนี้ออกมา ย่อมต้องมาฆ่านางเป็นแน่ เพื่อดับฝันหวังจิ่นหลิง

เพียงแค่คิดถึงปฏิกิริยาของคนในตระกูลหวังเมื่อมาได้ยินคำพูดนี้แล้ว ทั่วร่างของเฟิ่งชิงเฉินพลันขนลุกซู่ไปในทันที พร้อมกับกะพริบตาไปทางหวังจิ่นหลิงด้วยท่าทีหมดอาลัยตายอยาก เสมือนกับว่า นางต้องการขอความช่วยเหลือโดยด่วน หากแต่หวังจิ่นหลิงเพียงส่งยิ้มปลอบใจนางกลับมาเท่านั้น พร้อมกับกะพริบตาส่งให้กับเฟิ่งชิงเฉิน เพื่อสื่อว่ามิให้นางเป็นกังวลมากไป

ภายในใจของเฟิ่งชิงเฉินพลันรู้สึกร้อนรนยิ่งนัก ทว่า นางรู้ดีว่าหวังจิ่นหลิงหาใช่คนที่ชอบพูดเรื่องหยอกล้อไม่ ดังนั้น การที่เขากระทำเช่นนี้ ย่อมต้องมีเหตุผล ถึงแม้ว่าในใจของเฟิ่งชิงเฉินจะเต็มไปด้วยคำถามและความกังวลมากมาย แต่ในยามนี้นางรู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก

เมื่อทุกคนเห็นท่าทีที่ไม่ต้องการตอบคำถามของหวังจิ่นหลิง พวกเขาจึงได้เปลี่ยนสีหน้าไม่เข้ามาถามอันใดอีก เฟิ่งชิงเฉินจึงได้แต่ปลอบใจตนเองเอาไว้ คงจะไม่มีเรื่องอันใดอีกกระมัง หวังจิ่นหลิงย่อมไม่ให้นางโดนตระกูลหวังไล่ฆ่าอย่างแน่นอน

อ๊าก เพราะคำพูดของหวังจิ่นหลิง ภายในใจของเฟิ่งชิงเฉินรู้สึกฟุ้งซ่านยิ่งนัก เมื่อเห็นน้ำแกงไก่ที่อยู่ตรงหน้านั้น เพราะความอึดอัดใจที่อยู่ในอก จึงทำให้นางเผลอซดน้ำแกงจนหมดภายในสองสามคำ แล้วจึงยื่นถ้วยเปล่าส่งให้กับหวังจิ่นหลิง “เอาอีก!”

โอกาสที่จะเรียกใช้คุณชายใหญ่มีไม่มากนัก ก่อนที่นางจะโดนคนของตระกูลหวังไล่ฆ่านั้น นางขอเก็บเกี่ยวสิ่งดี ๆ เอาไว้ก่อน

ถึงแม้เสียงจะมิได้ดังมาก แต่ทว่า นางกับหวังจิ่นหลิงที่กลายเป็นตัวเอกของงานเลี้ยงโดยมิได้ตั้งใจไปแล้ว รวมไปถึงการกระทำของพวกเขาในทุก ๆ ย่างก้าว สามารถดึงดูดสายตาผู้คนได้เป็นอย่างดี เพียงเพราะคำพูดนั้น ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะหันไปมองดูพวกเขาเป็นครั้งคราว

ตงหลิงจื่อชุนเกือบบุกเข้าไปเอาเรื่องหวังจิ่นหลิงแล้ว หากไม่นับว่าข้างกายของเขามีตี๋ตงหมิง ที่กำลังกดตัวเขาให้นั่งอยู่บนเก้าอี้ละก็

ยามที่ต้องมาเผชิญหน้ากับสายตาที่อิจฉาริษยาของทุกคนเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินจึงได้แต่ต้องแสร้งทำเป็นไม่เห็นเท่านั้น พร้อมกับหันไปหาหวังจิ่นหลิงที่กำลังบริการนางอย่างไม่ทุกขืไม่ร้อนแทน

เมื่อสาวใช้ ได้รับสัญญาณมือลับ ๆ ของเสด็จอาเก้านั้น ก็พลันก้าวเข้ามาเพื่อที่จะทำการเตรียมคีบอาหารให้ในทันที หากแต่ถูกหวังจิ่นหลิงปฏิเสธกลับมาว่า “ไม่ต้องหรอก ชิงเฉินของข้าเลือกกินยิ่งนัก ให้ข้าจัดการเองจักดีกว่า”

คำพูดเช่นนี้แสดงถึงความใกล้ชิดของพวกยิ่งนัก

เฟิ่งชิงเฉินได้แต่ยิ้ม หาได้ตอบโต้กลับไม่ แต่ใช้โอกาสนี้ ในการลอบดูปฏิกิริยาของผู้คนแทน โดยปกติแล้ว หวังจิ่นหลิงหาใช่คนเช่นนี้ไม่ อย่าได้พูดถึงการกระทำเช่นนี้ต่อหน้าผู้คนเลย แม้แต่อยู่ในที่ลับตา พวกเขาทั้งสองคนหาได้เคยทำเช่นนี้ไม่ การกระทำของหวังจิ่นหลิงคล้ายว่าจงใจทำให้คนผู้หนึ่งได้เห็น

ทว่า จงใจให้ผู้ใดเห็นกัน?

เฟิ่งชิงเฉินพลันกวาดสายตามองผู้คนไปทั่ว จากซ้ายไปขวา ไปกับไปกับเช่นนั้น ก็หาได้มองออกไม่ ต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ พวกเขาจักไปกล้าแสดงสีหน้าออกมาได้อย่างไรกัน

บุคคลที่น่าสงสัยที่สุดคือเสด็จอาเก้า หากแต่เสด็จอาเก้าหาได้มีท่าทีปกติอันใดไม่ แม้แต่เปลือกตาก็หาได้ลืมตาขึ้นมามองนาง นั่นทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก

เฮ้อ เขาหาได้คิดอันใดกับนางไม่ นางยังคิดไปสนใจท่าทีของเขาอีกงั้นหรือ นางตั้งใจกินอาหารตรงหน้าต่อไปจักดีกว่า ด้วยสมองของนางในตอนนี้แล้ว ย่อมไม่อาจมีกะจิตกะใจเล่นเกมกับผู้คนในนี้ได้ หวังจิ่นหลิงย่อมไม่อาจทำร้ายนาง ไม่ว่าหวังจิ่นหลิงต้องการจะทำเช่นไร นางย่อมให้ความร่วมมือกับเขาอย่างเต็มที่

อย่างมากที่สุด ก็คงโดนตระกูลหวังเกลียดแค้นนางไปเป็นชั่วโคตรกระมัง สำหรับปัญหาของหวังจิ่นหลิงนั้น เขาย่อมแก้ไขมันได้แน่ ถึงอย่างไร เฟิ่งชิงเฉินหาได้ต้องการแต่งเข้าตระกูลหวัง เป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลหวังไม่

หวังจิ่นหลิงกับเฟิ่งชิงเฉินได้กลายเป็นตัวเอกในงานนี้ไปเลยในทันที ยามที่องค์รัชทายาทและตงหลิงจื่อลั่วหาเรื่องมาพูดคุยกับซีหลิงเทียนเหล่ยนั้น ก็ยังอดมิได้ที่ลอบมองทั้งหวังจิ่นหลิงและเฟิ่งชิงเฉิน พร้อมด้วยคิ้วที่ขมวดขึ้นลงเป็นครั้งคราว

พวกเขาทั้งสองคนคิดไม่ได้หรืออย่างไรกัน ว่าทำเช่นนี้เป็นการเสียมารยาท?

เมื่อเห็นองค์รัชทายาทและตงหลิงจื่อลั่วมีสีหน้าที่มิใคร่พอใจนัก ตี๋ตงหมิงจึงอดมิได้ที่จะกระแอมกระไอขึ้นมาสองสามครั้ง เพื่อส่งสัญญาณให้กับหวังจิ่นหลิงและเฟิ่งชิงเฉินว่า อย่าได้แย่งตัวเอกของงานนี้ไป พวกเขามิมองเห็นแววตาอาฆาตขององค์หญิงอันผิง ซูหว่านและซีหลิงเหยาหวาหรืออย่างไรกัน พวกเขาทั้งสองยังกล้านั่งลงอีกหรือ หวังจิ่นหลิงทำเช่นนี้ ต้องการให้สตรีในใต้หล้าอิจฉาริษยาเฟิ่งชิงเฉินจนตายหรืออย่างไรกัน?

หวังจิ่นหลิงเพียงหันหน้าหาทุกคน พร้อมกับแย้มยิ้มเป็นเชิงต้องการขอโทษออกมา หลังจากนั้น จึงก้มหน้าลงเพื่อกินอาหาร ทั้งยังไม่ลืมที่จะคีบอาหารให้กับเฟิ่งชิงเฉินด้วย

จะบอกว่าหวังจิ่นหลิงทำเช่นนี้เป็นการเสียมารยาทงั้นหรือ แต่ทว่า การกระทำของเขาเช่นนี้ เต็มไปด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ยิ่งนัก หากว่ากันตามสายตาอของผู้คนที่มองในที่แห่งนี้ หวังจิ่นหลิงเพียงแค่คีบอาหารให้กับเฟิ่งชิงเฉินมิใช่หรือ นอกนั้นเขาหาได้มีท่าทางสนิทสนมอีนใดไม่ นอกจากคำว่า “ชิงเฉินของข้า” จากนั้นก็มิได้มีสิ่งใดอีก

หลังจากที่ทานอาหารจนเสร็จแล้ว นอกจากเฟิ่งชิงเฉินและหวังจิ่นหลิงแล้วนั้น ผู้ใดก็มิได้ตั้งหน้าตั้งตากินอาหารเฉกเช่นสองคนนี้นัก ทั้งเซี่ยซานและหวังชีเอง เนื่องจากว่าเป็นห่วงทั้งหวังจิ่นหลิงและเฟิ่งชิงเฉิน จึงมิได้มีอารมณ์กินอาหารมากนัก

แน่นอนว่า ทุกคนหาได้มาที่นี่เพื่อที่จะทานอาหารไม่ ที่ทุกคนมาที่นี่ ก็เพื่อต้องการบรรลุเป้าหมายของตนเองทั้งนั้น

หลังจากรับสำรับเสร็จแล้วนั้น เสด็จอาเก้าก็ได้พาทุกคนไปที่จุดชมวิวดอกบัวในทันที ที่ตำหนักแยกของเสด็จอาเก้าได้มีการจัดเตรียมโคมไฟประดับประดามากมาย ทั้งยังส่องสว่างไปทั่วไม่แพ้ในยามกลางวันเลยทีเดียว

ดูหมือนว่า เสด็จอาเก้าหาได้มีท่าทีโมโหอันใดไม่ ทั้งยังมิได้แสดงท่าทีสนใจในเรื่องนี้อีก เฟิ่งชิงเฉินจึงรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย นางไม่ค่อยมีความสุขมากนัก แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ได้แต่พยายามทำเป็นไม่สนใจเท่านั้น

นางเองก็ไม่อาจไปบังคับให้เสด็จอาเก้าให้ทำสิ่งใดได้ นางเข้าใจทุกอย่างได้เป็นอย่างดี หากวันใดเสด็จอาเก้าอารมณ์ดีนั้น เขาจักต้องพูดหยอกล้อนางแล้ว ไม่ว่าอย่างไรนางก็แค่สตรีผู้หนึ่ง ที่ต้องการให้เสด็จอาเก้าสนใจเฉกเช่นสำรับอาหารที่อยู่ตรงหน้า

องค์รัชทายาทและเสด็จอาเก้าเดินนำหน้า ซีหลิงเทียนเหล่ย เป่ยหลิงเฟิ่งเฉินและตงหลิงจื่อลั่ว จื่อชุน กับตี๋ตงหมิงเดินช้า ๆ เพียงครึ่งก้าวเท่านั้น หากมิได้สังเกตุดี ๆ จักคิดว่า พวกเขาเดินอยู่ในกลุ่มเดียวกัน

องค์หญิงอันผิงเชิญชวนซีหลิงเหยาหวาและซูหว่านเดินด้วยกัน เซี่ยซานและหวังชีเองหาได้สนใจไม่ เพียงเดินตามอยู่ด้านหลังด้วยท่าทีสบาย ๆ พวกเขามิได้ต้องการเอาหน้าต่อเสด็จอาเก้ามากนัก

คุณชายรองตระกูลเซี่ยเอง การวางตัวเป็นเลิศ แม้จักต้องมาเดินอยู่กับพวกราชนิกุล หาได้มีท่าทีอ่อนแอออกมาให้เห็นไม่ แม้ว่าเขาจะถูกผู้คนในงานหลงลืมไปบ้าง แต่ก็ยังคงมีท่าทีสบาย ๆ เช่นเดิม

หากว่ากันตามจริงแล้ว ถึงแม้ว่าหวังจิ่นหลิงจักเป็นผู้ที่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ดีนัก แต่ในครานี้ เขากลับตั้งใจที่จะเดินช้าลงหลาย ๆ ก้าว เพื่อมาเดินอยู่ด้านหลังเป็นเพื่อนเฟิ่งชิงเฉิน

ค่ำคืนนี้ ดูเหมือนว่าหวังจิ่นหลิงจักตัวติดกับเฟิ่งชิงเฉินยิ่งนัก เสด็จอาเก้าเองก็คอยแอบมองดูท่าทีของหวังจิ่นหลิงอยู่ห่าง ๆ ทั้งยังแอบสร้างโอกาสให้กับเขาในบางครั้งอีกด้วย

“จิ่นหลิง? เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?” เฟิ่งชิงเฉินดึงหวังจิ่นหลิงเอาไว้ พร้อมทั้งจงใจเดินช้า ๆ เพื่อให้ห่างจากผู้คน แล้วจึงแอบกระซิบถามด้วยน้ำเสียงเบาๆ

หากมิถามเรื่องราวให้แน่ชัด นางย่อมต้องอึดอัดตายอย่างแน่นอน เรื่องที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้แลดูแปลกประหลาดยิ่งนัก ตั้งแต่เสื้อผ้าอาภรณ์ของนาง รวมไปถึงการกระทำของหวังจิ่นหลิงที่มีต่อนาง อย่างไรก็ไม่พ้นคำว่าผิดปกติสองคำนี้ไปอย่างแน่นอน

หวังจิ่นหลิงจึงชะลอฝีเท้า เมื่อได้ยินคำถามของเฟิ่งชิงเฉินนั้น ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มเมื่อครู่กลับมีความรู้สึกกังวลใจขึ้นมาแทน พร้อมทั้งชี้ไปที่แถวของตี๋ตงหมิง “ชิงเฉิน เจ้ามิได้ยินที่พวกเขาพูดกัน ยามอยู่บนโต๊ะสำรับหรือ?”

“พูดอะไร?” องค์รัชทายาทพูดออกมาหลายเรื่องนัก มีบางเรื่องที่คล้ายจะพูด และมิได้พูดออกมา เรื่องความสัมพันธทางด้านการทูตเช่นนี้ นางย่อมมิได้คิดสนใจ

“งามแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี!”น้ำเสียงของหวังจิ่นหลิง หาได้เต็มไปด้วยความมั่นใจเฉกเช่นปกติไม่ ทั้งยังเต็มไปด้วยความกังวลและไม่สบายใจมากมายอีกด้วย

ภาพหวังจิ่นหลิงที่เป็นเช่นนี้ หาดูได้ยากยิ่งนัก เฟิ่งชิงเฉินจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนรนออกมา ทว่า”มันเกี่ยวข้องอันใดกับข้ากัน?”

เฟิ่งชิงเฉินไม่เข้าใจ งานแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีของทั้งสี่แคว้น เกี่ยวข้องอันใดกับนางกันเล่า?

คนพวกนี้มิใช่ต้องการงานแต่งงานเพื่อเชื่อมความสันติภาพ ทั้งยังเป็นการบอกกับทุกคนว่า ข้าไม่ต้องการสู้รับกับพวกเจ้าไม่ใช่หรือ ไม่เพียงแต่เพราะต้องการสร้างความสัมพันธ์อันดีด้วย ทั้งยังต้องการสันติภาพมาสู่แว่นแคว้นของตนเองอีก

ทั้งหนานหลิงและซีหลิงต่างก็พาสตรีที่สูงส่ง เพื่อแต่งเข้าตงหลิง อีด้านเพื่อต้องการโน้มน้าวใจองค์จักรพรรดิ อีกด้านก็เพื่อต้องการแฝงสายลับเจ้ามาในตงหลิงให้ได้มากที่สุด เป่ยหลิงมาสู่ขอองค์หญิงของตงหลิง ก็เพื่อต้องการบอกว่า ตงหลิงยิ่งใหญ่กว่าแคว้นของตนเอง จึงต้องการยืมความรุ่งโรจน์ของตนหลิงมาพัฒนาแว่นแคว้นของตน

ทุกคนต่างพากันยกยอตงหลิงว่าเป็นแคว้นที่เป็นมหาอำนาจ หากแต่ตงหลิงกลับวางแผนที่จะตลบหลังพวกเขาแทน ทว่า เรื่องที่ใหญ่โตเช่นนี้เกี่ยวข้องอันใดกับนางกัน

“เจ้านะ บางทีก็เฉลียวฉลาดจนเกินไป บางทีก็โง่เง่าไม่รู้เรื่องยิ่งนัก” หวังจิ่นหลิงพลันเขกหัวไปที่หน้าผากเฟิ่งชิงเแินไปในทันที เฟิ่งชิงเฉินรีบร้อนถอยห่างจากเขาไปโดยพลัน พร้อมกับลูบหน้าผากของตน และส่งเสียงโอดครวญออกมาว่า “เหตุใด พวกเจ้าชอบเขกหัวข้านัก แต่เดิมข้าก็ไม่ฉลาดอยู่แล้ว ทำเช่นนี้ไม่ใช่ว่าข้าโง่ลงกว่าเดิมหรือ”

“อะไร?มีคนเขกหัวเจ้าเช่นนี้ด้วยหรือ?” แววตาของหวังจิ่นหลิงพลันมองมาด้วท่าทีจับผิดไปในทันที พร้อมกับมองไปที่เสด็จอาเก้าแล้วจึงแย้มยิ้มออกมา โดยมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก

เฟิ่งชิงเฉินมิต้องการเป็นนางสนม เขาเองก็ไม่อาจแต่งนางเข้าเป็นฮูหยินได้ คนพวกนั้นก็ไม่อาจมอบตำแหน่งพระชายาเอกให้กับเฟิ่งชิงเฉินได้เช่นกัน ถึงแม้ว่าฝ่าบาทจะยินยอมแล้วอย่างไร พวกบัณทิตข้าราชบริพารทั้งหลายย่อมมิยินยอมเช่นกัน ผู้คนในใต้หล้าก็ย่อมไม่เห็นด้วย

ถึงแม้จะรู้ว่าไม่อาจทำเช่นนี้ได้ ก็ยังคิดที่จะมาหาเรื่องอีก มิรู้ว่าเจ้าไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจากที่ใดกันแน่

ถึงแม้ว่าหวังจิ่นหลิงจะไม่ต้องการสร้างบาดแผลให้กับเฟิ่งชิงเฉิน เขาไม่อาจแต่งนางเข้าจวนได้ แต่ก็ไม่ต้องการให้ผู้ใดมาทำลายความสุขของเฟิ่งชิงเฉินไปเช่นกัน

เฟิ่งชิงเฉินพลันส่งเสียงพึมพำออกมาเล็กน้อย หาได้ตอบกลับไม่ เมื่อเห็นว่าหวังจิ่นหลิงมิได้ไล่บี้ถามเรื่องราว เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกโล่งใจในทันที

แค่เรื่องอาภรณ์ในวันนี้ นางก็ไม่อาจอธิบายให้เขาเข้าใจได้แล้ว หากต้องเล่าเรื่องราวในบึงบัวตอนบ่ายให้เขาฟัง แม้นางจะต้องกระโดดลงแม่น้ำหวางเหอก็ไม่อาจลบมลทินลงไปได้แน่

บางที ซูหว่านอาจจะเกลียดนางไปจนตายเลยก็ได้ องค์หญิงอันผิงอาจจะต้องริษยานางจนขาดใจตาย และยังมีซีหลิงเหยาหวา

นางไม่อาจลืมได้เลยว่าในวันนี้ ตงหลิงจื่อลั่วแอบมองนางและหวังจิ่นหลิงมากเพียงใด สายตานั้น เฮอะเฮอะเฮอะ เสมือนกับนางเป็นสิ่งของของเขาก็ไม่ปาน

เมื่อเบ้ปากออกมาเล็กน้อย เฟิ่งชิงเฉินก็ตัดสินใจที่จะไม่สนใจเรื่องนี้ ยามที่นางเปลี่ยนอาภรณ์นั้น เสด็จอาเก้าก็ได้ผลักนางไปแนวหน้าในทันที นางอยากจะหนีก็ไม่อาจหนีไปได้ เรื่องที่สำคัญที่สุดในยามนี้ก็คือ “จิ่นหลิง เรื่องงานแต่งเชื่อมสัมพันธไมตรีทั้งสี่แคว้นนี่เป็นเช่นไรกันแน่ มันเกี่ยวข้องกับข้าจริง ๆ หรือ?”

หวังจิ่นหลิงพยักหน้าลงเล็กน้อย แต่เดิมเขามิค่อยมั่นใจนัก ทว่า เมื่อเห็นท่าทีของซีหลิงเทียนเหล่ยในวันนี้ เมื่อคิดไปถึงอาภรณ์ที่เสด็จอาเก้าให้เฟิ่งชิงเฉินใส่ เขาก็เข้าใจทุกอย่างได้ในทันที

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท