การที่เฟิ่งชิงเฉินสวมใส่อาภรณ์สีเดียวกับเสด็จอาเก้า เกรงว่าจะไม่ใช่อุบัติเหตุ แล้วก็มิใช่เรื่องบังเอิญแล้วกระมัง การที่พระองค์วางแผนขึ้นมาเช่นนี้ ย่อมมีจุดประสงค์ของพระองค์อยู่แล้ว
ค่ำคืนนี้ ทั้งองค์รัชทายาทและซีหลิงเทียนเหล่ยอาจจะคิดว่า เฟิ่งชิงเฉินทำเช่นนี้ ก็เพื่อที่จะเปิดเผยว่าตนเองแอบรับกับเสด็จอาเก้าข้างเดียวหรือไม่ ทว่า เมื่อถึงวันพรุ่งนี้นั้น พวกเขาก็จักรู้ว่า อาภรณ์ของเสด็จอาเก้าเป็นสิ่งที่เสด็จอาเก้าตระเตรียมไว้ให้นางจนหมด
การที่เสด็จอาเก้ากระทำเช่นนี้ หาใช่เพราะพระองค์เบื่อหน่ายไม่ หรือเป็นการสร้างความลำบากให้กับเฟิ่งชิงเฉินแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพราะพระองค์ได้ยินข่าวมาว่า ซีหลิงเทียนเหล่ยต้องการมาที่ตงหลิงเพื่อเลือกเฟ้นหานางสนมนั่นเอง
เสด็จอาเก้าย่อมต้องใช้โอกาสนี้ ในการเตือนซีหลิงเทียนเหล่ยเอาไว้ เฟิ่งชิงเฉินเป็นสตรีที่ตงหลิงต้องการจะรักษาเอาไว้ หากซีหลิงต้องการเลือกสนมในตงหลิงละก็ ต้องดูให้ดี ๆ มิใช่ผู้ใด เจ้าอยากได้ก็จะสามารถได้ไป อย่างน้อยก็ไม่อาจเลือกเฟิ่งชิงเฉินได้แล้ว
ผู้อื่นจักเข้าใจหรือไม่ หวังจิ่นหลิงมิรู้ ทว่า หวังจิ่นหลิงมั่นใจว่าซีหลิงเทียนเหล่ยต้องเข้าใจอย่างแน่นอน ถึงแม้จักไม่เข้าใจก็ไม่เป็นอันใด เขาจักใช้วิธีการของเขาเอง ทำให้ซีหลิงเข้าใจ หากต้องการสร้างปัญหาให้กับเฟิ่งชิงเฉินละก็ ย่อมต้องเป็นศัตรูกับตระกูลหวังด้วยเช่นกัน หากซีหลิงเทียนเหล่ยฉลาดละก็ ย่อมต้องเข้าใจว่าสมควรทำเช่นไรต่อไป
สำรับที่เสด็จอาเก้าเตรียมไว้ให้นั้น มิได้มีความอร่อยมากนัก ทว่า ผู้ที่ถูกเสด็จอาเก้าเชิญมา ย่อมมิใช่ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือผู้ที่ไร้ประโยชน์แต่อย่างใดเช่นกัน
ค่ำคืนนี้มีทั้งเซี่ยซาน ตี๋ตงหมิง และยังมีเขา ที่เป็นคนคอยปกป้องเฟิ่งชิงเฉินเช่นนี้ พวกเขาต้องการที่จะบอกซีหลิงเทียนเหล่ยว่า เฟิ่งชิงเฉินมีเครือข่ายมากมายที่อยู่ในตงหลิง หากเขาต้องการจะใช้ประโยชน์จากเฟิ่งชิงเฉินนั้น เกรงว่าจะไม่ง่ายดายนัก
ไม่ต้องพูดว่า แม้แต่ตัวของเฟิ่งชิงเฉินเอง ก็หาใช่บุคคลที่จะเข้าไปรังแกได้ง่ายอยู่แล้ว รวมพวกเขาอีกสองสามคนเข้าไปด้วย อย่างไรก็ไม่ยอมให้เฟิ่งชิงเฉินถูกซีหลิงเทียนเหล่ยเลือกไปเป็นสนมอย่างแน่นอน อีกทั้งทางที่ดี ซีหลิงเทียนเหล่ยมิควรมาสร้างปัญหาให้เฟิ่งชิงเฉินจะดีที่สุด
หวังจิ่นหลิงพลันอธิบายเรื่องนี้ให้เฟิ่งชิงเฉิน เข้าใจง่าย ๆ อีกครั้ง ทว่า เรื่องที่เสด็จอาเก้าส่งสัญญาณแอบเตือนให้ซีหลิงเทียนเหล่ยได้ทราบนั้น หวังจิ่นหลิงมิได้เอ่ยออกไป เขาเพียงเล่าให้ฟังว่า เป้าหมายของซีหลิงเทียนเหล่ยคือนางแต่เพียงเท่านั้น
“ซีหลิงเทียนเหล่ยต้องการแต่งข้าเป็นนางสนมของเขา? เขาไม่มีสมองหรืออย่างไรกัน? ข้ามีสิ่งใดให้ใช้การได้กัน สิ้เปลืองตำแหน่งพระชายาไปเปล่าประโยชน์เสียจริง” เฟิ่งชิงเฉินตกตะลึงเสียจนลืมก้าวเท้าเดินตามพวกเขาไปในทันที
มิใช่ว่าเฟิ่งชิงเฉินคิดว่าตนเองต่ำต้อย หากแต่ ไม่ว่าจะพิจารณาในด้านใดแล้ว นางก็ไม่เหมาะที่จะเป็นเป้าหมายของซีหลิงเทียนเหล่ยทั้งนั้น
หากว่าดูจากมุมมองทางการเมืองแล้ว นางที่เป็นสตรีกำพร้าบิดามารดาไร้อำนาจในมือเช่นนี้ จะไปมีประโยชน์อันใดต่อเขา ทั้งยังไม่อาจช่วยเหลืออสิ่งใดต่อซีหลิงเทียนเหล่ยได้เสียด้วยซ้ำ หากพูดถึงมุมมองในเรื่องโลกสวยแล้ว ถึงแม้ว่านางจะเป็นสตรีที่มีหน้ามีตา แต่ก็หาได้จัดอยู่ในสตรีที่งามล่มเมืองไม่ หากนางงามจนถึงจุดนั้นจริง ๆ แล้ว เป็นไปได้ว่า จักรพรรดิอาจจะเรียกนางเข้าไปเป็นสนม โดยไม่ปล่อยโอกาสนี้หลุดลอยไปหาซีหลิงเทียนเหล่ยหรอก
เฟิ่งชิงเฉินก็มิคิดเช่นกัน ว่าซีหลิงเทียนเหล่ยจะรู้สึกชมชอบนาง หรือมีความรู้สึกรักแรกพบต่อนาง นางหาได้ไร้เดียงสาไม่ การที่ถูกบุรุษชมชอบนาง นับว่าเป็นเรื่องปกตินัก
จากประสบการณ์ชีวิตของนางที่ผ่านมา มันบอกกับนางว่า อย่าได้ไปให้ค่ากับความรู้สึกของบุรุษที่เล่นการเมือง ถึงแม้ว่าความรู้สึกของเขาจักเป็นเรื่องจริง แต่ทว่า ความรู้สึกของพวกเขาที่ออกมาทุก ๆ ครั้งนั้น ล้วนแต่ถูกกลั่นกรองออกมาหมดแล้ว ทุก ๆ วินาทีล้วนแต่มีจุดประสงค์ของมันเองทั้งนั้น
ในสายตาของพวกเขา สตรีถูกแบ่งออกเป็นสองอย่าง คือสิ่งที่มีค่าและสิ่งที่ไร้ค่า ไม่ว่าจะมองด้านใด นาง เฟิ่งชิงเฉินย่อมจัดเป็นสตรีที่ไร้ค่า การที่เขาจะทุ่มทุกอย่างมาเลือกนางนั่น ย่อมไม่อาจเป็นไปได้
หวังจิ่นหลิงไม่รู้ว่าตนเองควรจะร้องไห้หรือหัวเราะออกมาดี ทำอย่างไร เขาก็ไม่คิดเลยว่า เฟิ่งชิงเฉินจะพูดเช่นนั้นออกมา ทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงนางยิ่งนัก เฟิ่งชิงเฉินทั้งเข้าใจทุกอย่าง และมองทุกอย่างออกแล้ว
นางรู้ดีว่าการแต่งงานของพวกเขานั้น จักต้องมีจุดประสงค์และมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าความสัมพันธ์จะลึกซึ้งเพียงใดก็ตาม มันย่อมต้องถูกพังทลายไปตามแนวคิดของการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันออกไป บางทีอาจจะเกิดความกดดันของบรรพบุรุษเข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย
ฮูหยินของพวกเขานั้นต้องแบกรับความรับผิดชอบของตระกูลเอาไว้ด้วยเช่นกัน มันไม่อาจจะรักษาได้เพียงแค่ความรักเพียงอย่างเดียวได้ ไม่ว่าเขาจะขัดการปัญหาทั้งหมด เพื่อมาแต่งกับเฟิ่งชิงเฉินนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่อาจจะแบกรับภาระของนายหญิงตระกูลเอาไว้ได้เช่นกัน หากเขาเอาแต่ช่วยเฟิ่งชิงเฉินจัดการปัญหาละก็ ไม่ช้าก็เร็ว พวกเขาก็จะเหนื่อยล้าและไปกันไม่รอดเอง
เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี ฉะนั้นแล้ว นางถึงได้ปฏิเสธเขาไปตั้งแต่แรก เช่นนั้น นางก็จะปฏิเสธผู้อื่นด้วยเหตุผลนี้เช่นกัน
ดูเหมือนว่า เขาจะไม่ต้องเป็นกังวลอีกแล้ว เสด็จอาเก้าย่อมไม่อาจทำร้ายเฟิ่งชิงเฉินไปได้ เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจเรื่องนี้ดี สิ่งที่นางต้องการ เสด็จอาเก้าไปไม่อาจให้นางได้
“เจ้าที่เป็นเช่นนี้ ช่างทำให้คนอื่นเป็นห่วงเสียจริง เจ้าสมควรที่จะได้รับบุรุษที่ดีที่สุดในใต้หล้าแล้วกระมัง” ยามที่หวังจิ่นหลิง กำลังจะลูบหัวเพื่อปลอบเฟิ่งชิงเฉินนั้น ก็พลันพบว่า บนหัวของเฟิ่งชิงเฉินพลันเต็มไปด้วยเครื่องประดับเสียมากมาย เขาจึงค่อย ๆ เก็บมือตนเองลงไป
หวังจิ่นหลิงมิใคร่คุ้นชินกับเฟิ่งชิงเฉินที่แต่งองค์ทรงเครื่องเช่นนี้นัก ถึงแม้นางจะดูงดงามมากก็ตาม ทว่า กลับดูเหมือนการใส่หน้ากากอีกชั้นหนึ่งยิ่งนัก หาใช่ตัวตนที่แท้จริงของนางไม่
เฟิ่งชิงเฉินพลันส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ยออกมา นางหาได้เป็นเหมือนสตรีพวกนั้นไม่ ที่ต้องการให้ผ่ายตรงข้ามรักและเคารพนางเพียงผู้เดียว มิต้องการให้มีสตรีอื่นอีก
นางเพียงแค่ต้องการเป็นพระชายาเอกเท่านั้น นางเพียงต้องการความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีที่สตรีในยุคนี้ควรจะมีก็พอแล้ว ถึงกระนั้น ความคิดของนางเช่นนี้ มันเหมือนเป็นความฝันลม ๆ แล้ง ๆ เท่านั้น
“ข้าก็เชื่อว่า ข้าจะได้บุรุษที่ดีที่สุดในใต้หล้าเช่นเดียวกัน แล้วมันอย่างไรเล่า? บุรุษที่ดีที่สุดในใต้หล้า ก็ไม่อาจให้ในสิ่งที่นางต้องการได้เช่นกัน จิ่นหลิง ขอบคุณเจ้าที่ช่วยข้ามาโดยตลอด หวังว่าซีหลิงเทียนเหล่ยจะตระหนักถึงอำนาจของตระกูลหวังก็แล้วกัน พร้อมทั้งยกเลิกแผนการทุกอย่าง ข้ายอมตายเสียดีหว่าที่จะเป็นหนึ่งในนางสนมของเขา”
นี่ถือเป็นสิ่งที่น่าเศร้าใจที่สุดของสตรีในยุคนี้ แว่นแคว้นและชาติของตนล้วนเป็นใหญ่ที่สุด ยามที่เกิดเรื่องราวขึ้นมา ผู้ที่ถูกผลักไสย่อมต้องเป็นสตรี ผู้ที่ถูกบังคับให้เสียสละมากที่สุดก็คือสตรี
หากมิใช่หวังจิ่นหลิงที่ขวางทางเอาไว้อยู่ละก็ แม้ว่าซีหลิงเทียนเหล่ยจะเอ่ยปากของกับองค์จักรพรรดิ เพื่อต้องการสร้างสัมพันธไมตรี ฝ่าบาทย่อมมิคิดอันใดมาก ทั้งยังร่างราชโองการส่งนางออกไปสมรสด้วยอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น นางอาจจะไม่มีโอกาสให้ได้ร่ำไห้แล้วก็เป็นได้
การขัดขวางพระราชโองการย่อมต้องรับโทษตายสถานเดียว ต่อให้นางมีอำนาจเพียงใด ก็ไม่อาจต่อกรกับเครื่องมือของแว่นแคว้นได้ เมื่อถึงยามนั้น ไม่ว่านางจะยินยอมหรือไม่ นางก็ได้แต่ต้องถูกแต่งออกไปด้วยความเชื่อฟัง เป็นพระชายารองของซีหลิงเทียนเหล่ยในทันที
เมื่อคิดถึงความเป็นไปเช่นนั้น เฟิ่งชิงเฉินพลันรู้สึกว่าทั่วร่างของตนรู้สึกเย็นเยียบขึ้นมา นางเป็นสตรีที่ไม่มีภูมิหลังอันใด จักไปใช่ชีวิตที่ซีหลิงได้อย่างไรกัน?
“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความตายแล้ว เจ้าวางใจเถิด สิ่งใดที่ซีหลิงเทียนเหล่ยมันได้วางแผนเอาไว้ จักต้องไม่เป็นไปตามที่เขาหวัง ข้าจักไม่ยอมให้เจ้าถูกแต่งออกไปเป็นสนมอย่างแน่นอน” อย่าได้พูดถึงเพียงแค่เขา แม้แต่เสด็จอาเก้าก็ยังไม่ยินยอมเป็นแน่ มิเช่นนั้น พระองค์คงไม่คิดจัดงานเลี้ยงนี้ขึ้นมา อีกทั้งคงไม่สั่งให้องค์หญิงอันผิงเรียกที่ซีหลิงเหยาหวาและซูหว่านมาด้วยอย่างแน่นอน
ผู้คนที่อยู่ที่นี่ หาใช่คนไม่รู้ความไม่ จากคำพูดของซีหลิงเทียนเหล่ย หวังจิ่นหลิงสามารถคาดเดาได้ว่า ผู้ที่เป็นเป้าหมายในการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีในครานี้ ซีหลิงเทียบนเหล่ยเลือกเสด็จอาเก้า และในขณะเดียวกันซูหว่านก็เลือกเสด็จอาเก้าเช่นกัน
การเคลื่อนไหวของเสด็จอาเก้าในครานี้ ก็เพื่อเป็นการเตือนทั้งซีหลิงเทียนเหล่ยและซูหว่านว่า หากต้องการบรรลุปรารถนาของตนแล้ว พวกเขาควรจะมาทำข้อตกลงกันเสียก่อน นั่นเพราะว่า ตำแหน่งพระชายาของเสด็จอาเก้ามีเพียงตำแหน่งเดียวเท่านั้น
เสด็จอาเก้ามิชอบเรื่องยุ่งยาก จึงต้องการให้พวกเขาต่อสู้กันเอง ทว่า ผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นเช่นไร หาใช่เรื่องที่ซูหว่านและซีหลิงเหยาหวาจักคาดเดาได้ เมื่อถึงยามนั้น หากเสด็จอาเก้ามิต้องการตบแต่งกับผู้ใด ซูหว่านและซีหลิงเหยาหวาก็ไม่อาจทำอันใดได้เช่นกัน เนื่องจากเสด็จอาเก้าหาได้เอ่ยสัญญาอันใดไว้ไม่
เมื่อเห็นสีหน้าคิ้วขมวดของเฟิ่งชิงเฉินเช่นนั้น หวังจิ่นหลิงพลันตบไปที่บ่าของเฟิ่งชิงเฉินเบา ๆ “มิต้องคิดมาก และก็ห้ามแสดงออกมากเกินไปนัก ปล่อยให้มันเป็นไปตามทางของมันเถิด หากซีหลิงเทียนเหล่ยต้องการจะแต่งเจ้าเป็นนางสนมของเขา เกรงว่าจะไม่ง่ายนัก โดยเฉพาะ ผู้ใดก็รู้ว่าเจ้าเคยเป็นคู่หมั้นคู่หมายกับลั่วอ๋องเช่นนี้”
สถานะเช่นนี้ ถูกกำหนดขึ้นมา เพื่อป้องกันไม่ให้บุรุษธรรมดาคนใดกล้าตบแต่งกับเฟิ่งชิงเฉิน อีกทั้งผู้ที่กล้าตบแต่งกับเฟิ่งชิงเฉิน ก็ไม่อาจยกนางขึ้นเป็นพระชายาเอกได้เช่นกัน
“ข้ารู้ ข้าเพียงไม่ค่อยเข้าใจว่าซีหลิงเทียนเหล่ยถูกใจข้าที่ใดกัน” เฟิ่งชิงเฉินค่อย ๆ ฝืนยิ้มออกมา ทว่า มันกลับดูน่าเกียจมากกว่ายามที่นางไม่ยิ้มออกมามากนัก
เฟิ่งชิงเฉินในยามนี้ยิ้มไม่ออกจริง ๆ นางกลัวเหลือเกินว่า ซีหลิงเทียนเหล่ยจะไม่สนอันใด พร้อมกับเข้าไปขอสมรสพระราชทานจากฝ่าบาทแทน ฝ่าบาทเอง ย่อมไม่สนใจความคิดเห็นของนางอย่างแน่นอน เมื่อถึงยามนั้น นางก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงหมากในกระดานได้อีกต่อไปแล้ว
ในเมื่อนางสามารถรู้ล่วงหน้าได้เช่นนี้แล้ว นางย่อมต้องหาวิธีมาป้องกันตนเองเอาไว้ เฉกเช่นยามที่นางพูดไปก่อนหน้านั้นว่า ซีหลิงเทียนเหล่ยถูกใจนางที่ใด นางก็เปลี่ยนมันเสีย!