นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 312 สุรากลั่นหิมะ, เสด็จอาเก้าคนนี้

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

ทรยศ?

ถ้าหากนางจริงจังขึ้นมา นั้นหมายถึงการทรยศต่อความหวังดีของเสด็จอาเก้าอย่างแท้จริง สถานะที่เสด็จอาเก้าสามารถให้นางได้มากที่สุดในตอนนี้คือ ฮูหยินของเสด็จอาเก้า!

สถานะและตัวตนเช่นนี้ไม่เป็นที่พูดถึงและไม่เป็นที่ยอมรับของผู้คน

อย่าพูดว่า เพียงแค่รักกันสถานะก็ไม่มีความสำคัญ เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนธรรมดา และคนธรรมดาก็สนใจสถานะและตัวตนบนโลกใบนี้

ถ้าหากไม่มีสถานะดังกล่าว เสด็จอาเก้าก็สามารถแต่งงานได้ทุกเมื่อ นางไม่สามารถอยู่โดยวิตกกังวลได้ในทุกๆวัน และไม่ต้องการให้ความสุขของนางเป็นเหมือนกับฟองสบู่ ที่สามารถระเบิดได้เพียงการจิ้มเพียงครั้งเดียว

นอกจากนี้ คำพูดของเสด็จอาเก้านั้นเป็นเรื่องจริงจังหรือเป็นเพียงเรื่องล้อเล่นก็ต้องรอดูกันต่อไป

เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะเยาะเย้ยตัวเอง “ชิงเฉินไม่รู้จะยกย่องเกียรตินี้อย่างไร”

ฮึ……

เสด็จอาเก้าถอนหายใจเบาๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาผิดหวังหรือโล่งใจ และปลดปล่อยเฟิ่งชิงเฉินจากความกดดัน เขาเดินไปข้างหน้าและเดินผ่านเฟิ่งชิงเฉินไปได้ไม่กี่ก้าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าเองก็จะไม่บังคับเจ้า เมื่อเจ้าทรยศต่อความหวังดีของข้าแล้ว เจ้าจะชดใช้ให้กับข้าอย่างไร?”

“ชดใช้? เสด็จอาเก้าหวังจะให้ชิงเฉินชดใช้อย่างไร? ตราบใดที่ชิงเฉินสามารถทำได้ ชิงเฉินจะไม่บ่ายเบี่ยงอย่างแน่นอน” เมื่อได้ฟังคำพูดของเสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้อีกครั้งว่า นี่คงจะเป็นจุดประสงค์ของเสด็จอาเก้า แบบนี้ก็ดี แม้ว่านางจะไม่เข้าใจว่านางเป็นอะไรในใจของเสด็จอาเก้า

“เห็นแก่ที่เจ้าอยากจะชดใช้ให้กับข้าอย่างจริงใจ ข้าก็คงไม่อาจปฏิเสธได้ เนื่องจากเป็นการชดใช้ให้กับข้า ดังนั้นก็ทำตามความตั้งใจของข้าก็แล้วกัน ในไม่ช้าข้าจะบอกเจ้า ว่าต้องทำอย่างไรเพื่อเป็นการชดใช้

ในตอนนี้กลับไปกับข้าจะดีกว่า เรือนแห่งนี้มืดแล้ว ทางที่ดีอย่าเดินไปไหนตามลำพัง ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาในตอนกลางคืน ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร เข้าใจไหม?” เสด็จอาเก้าหันกลับไป และก้าวอย่างช้าๆ อย่างตั้งใจที่จะให้เฟิ่งชิงเฉินก้าวไปด้วย

“เพคะ” เฟิ่งชิงเฉินเดินช้า เสด็จอาเก้าก็ก้าวสั้นลงครึ่งหนึ่ง และเดินไปด้วยกันอย่างไม่รีบร้อน ระยะห่างแบบนี้ได้เตือนสตินาง ระยะห่างของนางและเสด็จอาเก้าในตอนนี้ ยังมีที่ว่างของความพยายามที่มากมาย

ความสำคัญของสถานะทางการเมืองและครอบครัวที่เท่าเทียมกันของคนที่เหมาะจะแต่งงานกัน ไม่เคยเปลี่ยนไปตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หรือก็คือทั้งสองไม่มีทางที่จะเหมาะสมกัน เพราะทั้งสองคนนั้นต่างกันมาก เฟิ่งชิงเฉินคิดว่าในตอนนี้ นางและเสด็จอาเก้าเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว เสด็จอาเก้ายังไม่ได้แต่งงาน นางเองก็ยังไม่ได้แต่งงาน ทั้งสองรักษาระยะห่างและทุกอย่างก็เป็นไปตามสถานการณ์

ลมพัดมา พัดพาความรู้สึกข้างในจิตใจของเฟิ่งชิงเฉินให้กระจายออกมา นางเริ่มครุ่นคิดถึงความหมายของเสด็จอาเก้า มีความรู้สึกอยู่รางๆว่าคืนวันนี้อาจจะอยู่อย่างไม่สงบ ไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้โชคร้ายที่จะถูกเสด็จอาเก้าจำอย่างไม่มีวันลืม

แน่นอนว่าไม่มีงานเลี้ยงที่ดี เสด็จอาเก้าไม่เคยเชิญใครมากินข้าวโดยไม่มีเหตุผล เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากที่เสด็จอาเก้าจะเชิญคนอื่นมากินข้าว แถมยังรวบรวมคนมาได้เยอะขนาดนี้ คงจะไม่ปล่อยผู้คนเหล่านี้ไปได้ง่ายๆ หวังเพียงว่าเสด็จอาเก้าจะลดหย่อนให้นางได้บ้าง

เมื่อเงยหน้ามองเห็นดาวที่เต็มอยู่บนท้องฟ้า เฟิ่งชิงเฉินยิ้มออกมาอย่างสบายใจ ไม่ว่าคืนนี้จะเกิดอะไรขึ้น วันพรุ่งนี้จะเป็นวันที่สดใส ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย

เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินปรากฏตัวขึ้นพร้อมๆกัน สร้างความสนใจให้กับเหล่าผู้คนได้สำเร็จ องค์รัชทายาท ซีหลิงเทียนเหล่ย ตี๋ตงหมิง หวังซี และคนอื่นๆ ต่างก็มีสายตาที่จับจ้องมาที่ทั้งสองคนนี้ เมื่อสังเกตที่เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินอย่างละเอียด ราวกับว่าต้องการจะเห็นอะไรบางอย่างจากพวกเขาทั้งสองคน

ซีหลิงเทียนเหล่ยมองไปที่หวังจิ่นหลิงโดยมีเจตนาร้ายแฝงอยู่ สายตาเช่นนั้นราวกับว่ากำลังหัวเราะเยาะหวังจิ่นหลิง ผู้หญิงที่เจ้าโปรดปรานและเอ็นดูเหมือนดั่งอัญมณี ในตอนนี้กลับมาเดินอยู่กับเสด็จอาเก้า

เสด็จอาเก้ากับเฟิ่งชิงเฉินเดินอยู่ด้วยกัน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งแรกและเป็นความคิดที่ยากที่จะยอมรับ ทุกคนคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินนั้นเข้าไปพัวพันกับเสด็จอาเก้าเอง คนอย่างเสด็จอาเก้ามีความคิดที่จะใช้เวลาอยู่กับผู้หญิงด้วยหรือ?

ถ้าหากเป็นเสด็จอาเก้าสนใจเฟิ่งชิงเฉินขึ้นมาจริงๆ ไม่จำเป็นที่ต้องทำเช่นนี้หรอก เพียงแค่พานางเข้ามาอยู่ร่วมจวนเดียวกันก็ได้ เพียงแค่เสด็จอาเก้าเต็มใจ ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนบนโลกนี้ เขาก็โบกมือเรียกหาได้

ซีหลิงเทียนเหล่ยคิดว่าหวังจิ่นหลิงจะโกรธหรือไม่ก็ไม่พอใจ แต่คาดไม่ถึงว่าหวังจิ่นหลิงจะมีท่าทีที่ไม่ได้สนใจเลยโดยสิ้นเชิง

ทุกคนคิดว่าพวกเขารู้จักเสด็จอาเก้า แต่หวังจิ่นหลิงนั้นเชื่อใจเฟิ่งชิงเฉิน และเข้าใจเฟิ่งชิงเฉินมากขึ้นกว่าเดิม เฟิ่งชิงเฉินไม่มีทางพูดแบบนั้น

เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนที่ภาคภูมิใจในตัวเอง ต่อให้นางจะชอบเสด็จอาเก้า ก็ไม่มีทางที่จะยืมชื่อเสียงหรือไปหาเสด็จอาเก้าด้วยตนเอง พาตัวเองไปอยู่ในตำแหน่งที่อยู่ภายใต้อิทธิพลและแรงกดดันโดยไม่มีเหตุผล

หวังจิ่นหลิงยังคงยิ้มได้ และยังคงอุ่นใจได้มากกว่าค่ำคืนอันหนาวเหน็บนี้ ลุกขึ้นมายิ้มและกล่าว “เป็นอย่างไร? ดอกใบในเรือนของเสด็จอาเก้าเป็นเหมือนกับที่ข้าได้บอกหรือไม่ สวยเหมือนกับสวรรค์บนดินหรือเปล่า?”

ประโยคนี้ช่วยทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกโล่งใจ เฟิ่งชิงเฉินยิ้มออกมาอย่างขอบคุณ แต่ในตอนที่นางกำลังจะเอ่ยปากพูด เสด็จอาเก้าก็ได้ชิงพูดออกมาเสียก่อน “ไม่คิดเลยว่าดอกบัวในสระของข้าจะสามารถเข้าตาองค์ชายใหญ่ได้ ดอกบัวเหล่านี้สวยเหมือนสวรรค์บนดินหรือไม่ ข้าเองก็ไม่รู้ แต่เรือนของข้ามีสุราเซียนที่เรียกว่าสุรากลั่นหิมะอยู่หลายไห เมื่อสักครู่เฟิ่งชิงเฉินนั้นพูดว่ามีวิวทิวทัศน์ที่ดีแต่ไม่มีสุรา นั้นน่าเบื่อหน่ายเกินไป ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจึงได้นำสุรากลั่นหิมะออกมา”

สุราหิมะ? เมื่อได้ยินคำนี้ ทุกๆคนต่างก็มองข้ามเรื่องที่เสด็จอาเก้าใช้เวลาว่างกับเฟิ่งชิงเฉิน

ทันทีที่คำว่าสุรากลั่นหิมะได้พูดออกมา ทุกๆสายตาที่มองไปยังเสด็จอาเก้าก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ทุกคนในที่นี้ต่างถามขึ้นมาในใจว่า ผู้ชายที่ชื่อเสด็จอาเก้านี้ แท้ที่จริงแล้วเป็นใครกันแน่?

ท่านอ๋องที่ไม่มีอำนาจเพียงคนหนึ่งในเมืองหลวงตงหลิง จะสามารถหาของที่ล้ำค่าอย่างสุรากลั่นหิมะมาได้อย่างไร?

สุรากลั่นหิมะ เป็นสุราที่ทำขึ้นมาโดยฮองเฮาคนหนึ่งของราชวงศ์ เป็นสูตรลับที่ไม่มีการสืบทอดของราชวงศ์ก่อนหน้า มีคำพูดของคนที่เคยดื่มกล่าวไว้ว่า หลังจากที่ได้ดื่มสุรากลั่นหิมะแล้ว การดื่มสุราอื่นๆก็ไม่สามารถดื่มสุราชนิดอื่นได้อีกเลย สุรากลั่นหิมะสมควรเป็นสุราอันดับหนึ่งในใต้หล้า

แต่ว่า การล่มสลายของราชวงศ์ก่อนหน้า ทำให้สูตรของการทำสุรากลั่นหิมะนี้ได้หายไป หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีสุรากลั่นหิมะปรากฏขึ้นอีกเลย

ในแผ่นดินจิ่วโจว นอกจากเมืองเหลียนเฉิงที่ห่างไกล ที่มีมรดกของอดีตราชวงศ์อย่างสุรากลั่นหิมะหลงเหลืออยู่ ที่อื่นๆก็ไม่มีที่ไหนที่สามารถทำสุรากลั่นหิมะขึ้นมาได้

การกลั่นสุราหิมะทุกๆไหต่างมีการจดบันทึก ที่เมืองเหลียนเฉิงนั้นมีเพียงร้อยไหเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สุรากลั่นหิมะมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น ขนาดเจ้าเมืองเหลียนเฉิงเองก็ยังไม่กล้าที่จะดื่มมัน

เจ้าเมืองเหลียนเฉิงยังพูดไว้อีกว่า สุรากลั่นหิมะเป็นสมบัติที่ล้ำค่าอย่างหนึ่งของอดีตราชวงศ์ เขาไม่ยอมที่จะให้สมบัติของราชวงศ์ก่อนหน้าหายไปจากมือของเขา สุรากลั่นหิมะร้อยไหของเมืองเหลียนเฉิงไม่ได้มีไว้ให้ใครดื่ม เป็นได้เพียงความคิด และเป็นการมีอยู่ที่พิเศษเท่านั้น

ราชวงศ์ของทั้งสี่อาณาจักรไปที่เมืองเหลียนเฉิงทุกๆปีเพื่อที่จะไปขอสุรากลั่นหิมะ แต่ก็ไม่เคยมีใครที่ได้ไป แสดงให้เห็นว่าสุรากลั่นหิมะนั้นมีค่าเพียงใด แต่เสด็จอาเก้าที่ได้พูดออกมาว่าหลายไห จะไม่ให้พวกเขาตกใจได้อย่างไรกัน

สิ่งของที่แม้กระทั่งองค์จักรพรรดิก็ไม่สามารถขอมาได้ แต่เสด็จอาเก้ากลับมีอยู่ นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน? หมายความว่าเกียรติยศและศักดิ์ศรีของเสด็จอาเก้านั้นมีมากกว่าองค์จักรพรรดิอีกหรือ คนของเหลียนเฉิงถึงได้เห็นคุณค่าในเกียรติของเสด็จอาเก้า

การที่สามารถให้คนเหลียนเฉิงยอมเห็นคุณค่าในเกียรติได้ แสดงว่าเสด็จอาเก้านั้นไม่ธรรมดา ไม่ธรรมดาจริงๆ สายตาของทุกคนที่มองเสด็จอาเก้า นอกจากความคิดที่จะเข้าหาและตีสนิท ส่วนมากเป็นเรื่องการเตรียมตัวรับมือเสียมากกว่า

ผู้ชายคนนี้ เป็นผู้ที่มีความทะเยอทะยานอันสูงส่ง และทำให้ซีหลิงเทียนเหล่ยต้องการเพิ่มความสัมพันธ์ที่ดีกับเสด็จอาเก้ามากยิ่งขึ้น อยากจะตีสนิทกับเสด็จอาเก้ามากจริงๆ ถ้าหากมีคนแบบนี้เป็นศัตรู เกรงว่าคงเป็นศัตรูที่น่ากลัว

ทุกคนไม่ได้สติกลับมาเป็นเวลานาน เฟิ่งชิงเฉินมองไปยังแต่ละคนด้วยความไม่เข้าใจ และกระซิบที่ด้านหลังของเสด็จอาเก้าว่า “สุรากลั่นหิมะนี่พิเศษมากเลยหรือ? ทำไม่ทุกคนถึงได้มีท่าทางที่แสดงออกมาเช่นนี้ ”

“พิเศษมาก พิเศษมากแค่ไหนแต่ก็เป็นแค่สุรา สุรานั้นมีไว้ให้คนดื่ม สุราไหหนึ่งจะเป็นตัวแทนของราชวงศ์ก่อนหน้าได้อย่างไร และไม่สามารถมองเห็นความเจริญรุ่งเรืองของราชวงศ์ก่อนหน้าได้ อดีตราชวงศ์นั้นได้ล่มสลายไปแล้ว ปัจจุบันแผ่นดินจิ่วโจวนี่เป็นอาณาจักรภายใต้ตงหลิง หนานหลิง ซีหลิง และเป่ยหลิง สุรากลั่นหิมะนี้เป็นของอดีตราชวงศ์ แต่ในตอนนี้จะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับอดีตราชวงศ์”

อดีตราชวงศ์ได้ล่มสลายไปแล้ว สิ่งที่หลงเหลืออยู่เหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร สุรากลั่นหิมะหนึ่งไห ไม่สามารถปรากฏให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของอดีตราชวงศ์ได้ ไม่สามารถสืบทอดสายเลือดของอดีตราชวงศ์ได้ และไม่สามารถทำให้ความรุ่งโรจน์ของอดีตราชวงศ์กลับมาส่องสว่างขึ้นได้อีกครั้ง

ไม่เพียงเท่านี้ เพื่อเป็นการแทนที่ภาพความเจ็บปวด สุรากลั่นหิมะร้อยไหที่อยู่ในเมืองเหลียนเฉิง ได้กล่าวเตือนให้กับคนทั้งโลกโดยไม่มีข้อยกเว้นว่า อดีตราชวงศ์ได้ดับสลายไปแล้ว!

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท