สระบัวของเสด็จอาเก้างดงามเสียจนไม่อาจหาคำใดมาบรรยาย บรรยากาศยามเย็นดุจดั่งอยู่บนสรวงสวรรค์ และยามเช้าก็ให้ความรู้สึกอีกอย่าง
มันแตกต่างจากความรู้สึกที่มีหมอกลอยขึ้นปกคลุมยามค่ำคืนและเงียบสงบ เมื่อดวงตะวันลอยขึ้นจากฟากฟ้า แสงตะวันสาดทอมาบนใบบัวเหล่านั้น มองไปเหมือนมีแสงทองส่องประกาย น้ำค้างที่อยู่บนใบบัวกลิ้งไปมาดุจดั่งเด็กเล็กวิ่งซน เมื่อกลิ้งไปที่ขอบใบบัวก็กลิ้งกลับมาตรงกลางดังเดิม ทำให้คนมองอยากจะเอื้อมมือไปหยุดการกระทำเหล่านั้นอันซุกซน บรรยากาศของสระบัวบัดนี้ราวกับเหล่าเซียนที่กำลังเที่ยวเล่น ความมีชีวิตชีวาปกคลุมไปทั่ว
เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่บริเวณสูงสุด ณ ศาลาแห่งหนึ่ง เมื่ออยู่บนศาลาแห่งนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของจวนทั้งจวนได้สุดลูกหูลูกตา นี่จึงนับได้ว่าเป็นหอชมวิวอย่างแท้จริง
นับตั้งแต่หอชมวิวถูกสร้างขึ้น เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนที่สองซึ่งได้ขึ้นมายืนอยู่ตรงนี้ และคนแรกก็คือเสด็จอาเก้านั่นเอง
ทั้งสองคนยืนห่างกันประมาณครึ่งไม้บรรทัด แสงตะวันสาดส่องมาบนร่างของทั้งสอง มองไปดุจดั่งภาพวาดและไม่มีผู้ใดตั้งใจจะกล่าวสิ่งใดออกมา
เสด็จอาเก้ายังคงยืนชมพระอาทิตย์ขึ้นอย่างสงบนิ่ง ส่วนเฟิ่งชิงเฉินเป็นกังวลเรื่องของระเบิดเทียนเหล่ยเมื่อวานนี้ เสด็จอาเก้าช่างร้ายเหลือเกิน ดูเหมือนจะไม่ได้บีบบังคับนาง แต่แท้จริงแล้วกลับบีบบังคับนางให้จนมุม
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ไร้เดียงสาถึงขนาดเชื่อว่าเสด็จอาเก้าสร้างระเบิดเทียนเหล่ยเหล่านี้ขึ้นมาเพียงเพราะสนุกสนาน ระเบิดเทียนเหล่ยนี้คาดว่าคงจะนำไปใช้ในสนามรบ และกลายเป็นอาวุธของชายหนุ่มผู้สูงส่งผู้นี้
สิ่งที่เป็นอันตรายต่อผู้คนเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินไม่ต้องการให้มันปรากฏขึ้นอย่างแน่นอน นางอยากจะบอกกับเสด็จอาเก้า แต่เสด็จอาเก้ากลับไม่ให้โอกาสนางเลย
นับตั้งแต่อยู่ในห้องลับ เสด็จอาเก้าได้กล่าวออกมาเพียงประโยคหนึ่งและไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีกเลย บัดนี้เขาทอดสายตามองไปยังทิศตะวันออก ช่างดูสงบนิ่งเหลือเกิน มองจากภายนอกบริสุทธิ์สง่างาม แต่เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่านี่คือภาพจอมปลอม ชายผู้นี้ทั้งเยือกเย็นและโหดเหี้ยม เขาสามารถฆ่าคนได้โดยไม่มีเลือด
“กรี๊ด……!”
ความคิดกำลังดำเนินมาถึงจุดนี้ เรือนในฝั่งที่ตะวันออกก็มีเสียงกรีดร้องแหลมสูงดังขึ้น เฟิ่งชิงเฉินตกใจเสียจนสะดุ้ง แล้วสงสัยตาไปถามเสด็จอาเก้า “เริ่มต้นแล้วหรือ?”
เนื่องจากระยะห่างที่ค่อนข้างไกล นอกจากเสียงกรีดร้องแหลมคมเมื่อครู่จึงไม่ได้ยินเสียงอันใดอีกเลย แต่เฟิ่งชิงเฉินมองเห็นสตรีนางหนึ่งที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยดูท่าทางตื่นตระหนกวิ่งออกมาจากห้องนอน มองไปร่างนั้นคล้ายกับ……
องค์หญิงเหยาหวา! เหตุการณ์เมื่อคืนที่เกิดขึ้นเฟิ่งชิงเฉินคิดมาเสมอว่าเสด็จอาเก้าจะลงมือจัดการกับซูหว่าน เนื่องจากซูหว่านเข้ามาพัวพันกับเสด็จอาเก้า เรื่องนี้ใครก็รู้
“ทำไมหรือ ประหลาดใจหรือไร? ข้าเพียงแค่ใช้วิธีตาต่อตาฟันต่อฟัน แม้ว่าจะเป็นกลยุทธ์เก่าๆ แต่มีประโยชน์ก็เพียงพอ” เสด็จอาเก้าหันหลังเดินลงมาจากหอชมทิวทัศน์ “หากอยากจะเห็นละก็รีบเดินเข้า”
ตาต่อตาฟันต่อฟันหรือ? เฟิ่งชิงเฉินวิ่งเหยาะๆ ตามไป “ในตอนนั้นวันแต่งงานของข้า ข้าตื่นขึ้นมาอยู่ชานเมืองเป็นฝีมือขององค์หญิงเหยาหวาหรือ?”
แม้นางจะเดาได้มาก่อนหน้าแล้ว แต่เมื่อได้ยินเสด็จอาเก้ากล่าวออกมาอย่างชัดเจนเช่นนี้ก็ยังคงรู้สึกตกตะลึง
“มิเช่นนั้นเล่า? เจ้าคิดว่ายังมีผู้ใดอีกที่คิดวิธีอันต่ำต้อยได้เพียงนี้ ต่อให้จักรพรรดินีไม่ยินยอมให้ตงหลิงจื่อลั่วแต่งงานกับเจ้า ก็ไม่อาจทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้หรอก เพราะคนที่ขายหน้าไม่ได้มีเพียงเจ้าแค่คนเดียว” เสด็จอาเก้าหยุดฝีเท้าลงแล้วหันกลับมา “เจ้าเดาออกตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ?”
หากไม่ใช่เพราะเดาออก เหตุใดนางจึงได้บีบบังคับตงหลิงจื่อลั่วให้ปกป้องนาง
“ข้าพอจะเดาออกก็จริงอยู่แต่ไม่แน่ใจนัก นางเป็นถึงองค์หญิงของราชวงศ์ซีหลิง ข้ามักรู้สึกว่าการที่นางเดินทางมาตงหลิงคงไม่สะดวกนัก และต่อให้นางเดินทางมาที่ตงหลิงจริงๆ ก็คงไม่เสียเวลามาจัดการเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้” เฟิ่งชิงเฉินคิดมาตลอดว่าตัวนางที่เป็นเพียงตัวละครเล็กๆ ผู้ต่ำต้อย เหตุใดจึงทำให้คนใหญ่คนโตมากมายต้องคอยจับตามอง?
“เจ้ามองนางต่ำไป ไปกันเถิด ยากนักที่จะนำคนมาร่วมกันได้ครบขนาดนี้ ละครในวันนี้หากไม่เล่นต่อไปก็คงจะขัดต่อความตั้งใจของข้า” เสด็จอาเก้าเดินย่ำไปบนน้ำค้างที่เกาะอยู่บนหญ้าด้วยท่าทางสงบนิ่งไม่รีบร้อนกระวนกระวายแต่อย่างใด หากไม่ใช่เพราะนางรู้ว่าทุกสิ่งอย่างนี้เป็นฝีมือของเสด็จอาเก้าที่วางแผนเอาไว้ เฟิ่งชิงเฉินคงจะคิดว่าชายผู้นี้ไม่เกี่ยวข้องอันใดเลย
ในใจของเฟิ่งชิงเฉินแอบรู้สึกว่าเสด็จอาเก้าเป็นคนที่อันตรายยิ่งนัก ก่อนจะรีบดึงกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งตามเสด็จอาเก้าไป
ที่นางรีบร้อนเช่นนี้เพราะนางได้ยินว่าเหยาหวาเกิดเรื่องขึ้นในเรือนแยกของเสด็จอาเก้า ข่าวดีก็คือการเดินทางมาครั้งนี้ไม่ได้สูญเปล่า
เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินเดินทางมาค่อนข้างช้า ด้วยเหตุนี้เองเหตุการณ์ยุ่งเหยิงเมื่อครู่จึงถูกทหารยามเข้ามารั้งคนเอาไว้แล้ว เพียงแต่ไม่มีผู้ใดกล้ารั้งเสด็จอาเก้าเอาไว้ เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็ได้ยินซีหลิงเหยาหวาร้องไห้ด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มว่า “เสด็จพี่ ท่านต้องช่วยข้า ข้ามิอยากอยู่แล้ว พวกเขารังแกข้า พวกเขาทำร้ายข้า!”
“องค์หญิงเหยาหวา อย่าได้เอาแต่ร้องไห้ จงกล่าวออกมาให้ชัดเจนก่อนว่าเกิดเรื่องใดขึ้น?” องค์รัชทายาทเอ่ยปลอบใจ
“กล่าวให้ชัดเจนหรือ? ต้องกล่าวสิ่งใดอีกเล่า? ความจริงปรากฏอยู่ตรงหน้า คนที่เสียหายคือน้องข้า! องค์หญิงแห่งราชวงศ์ซีหลิงไม่ใช่หมาแมวที่ใด องค์รัชทายาท ทางที่ดีท่านควรจะให้คำตอบอันน่าพึงพอใจแก่พวกเรา องค์หญิงแห่งราชวงศ์ซีลิงไม่ใช่รังแกกันได้ง่ายๆ!”
ซีหลิงเทียนเหล่ยโมโหยิ่งนัก เป็นชายใดก็ได้แต่เหตุใดจึงใดเป็นผู้ที่ไร้อำนาจ ไร้ตำแหน่ง เป็นเพียงแค่องค์ชายชุนหยูที่องค์จักรพรรดิเพียงทะนุถนอมเท่านั้น ชายหนุ่มเช่นนี้ไม่คู่ควรกับเหยาหวา
ซีหลิงเทียนเหล่ยไม่ยินดีนัก องค์รัชทายาทเองก็เช่นกัน แต่การที่เขามีบุคลิกนิ่งเงียบนั่นเป็นเพราะร่างกายของเขาที่เจ็บป่วยไม่อาจทนทานต่ออารมณ์ที่หวั่นไหวได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นลูกพลับในกำมือที่สามารถให้ใครบีบบังคับเล่นได้
“องค์รัชทายาทเหล่ย ท่านกล่าวว่าความจริงปรากฏอยู่ตรงหน้านี้ แต่สิ่งที่ข้าเห็นก็คือองค์หญิงเหยาหวาเข้าไปในห้องนอนขององค์ชายชุนหยู อย่าลืมไปเล่าว่านี่คือจวนที่ข้า ลั่วอ๋องและชุนหยูอาศัยอยู่ด้วยกัน ท่านกล่าวว่าองค์หญิงเหยาหวา เสียเปรียบ ข้าเองยังอยากจะถามเจ้านักว่าการที่องค์หญิงเหยาหวาไม่หลับไม่นอนในยามค่ำคืน กลับเดินทางมาที่เรือนนี้ด้วยเหตุใด?” แม้น้ำเสียงขององค์รัชทายาทจะไม่ดังนัก แต่ก็ดูหนักแน่นโดยเฉพาะประโยคสุดท้าย เป็นการเน้นย้ำว่าองค์หญิงเหยาหวามีความคิดอื่น
“ท่านหมายความว่าเช่นไร?” ซีหลิงเทียนเหล่ยดวงตาแดงเดือด ท่าทางเหมือนจะสามารถกลืนกินผู้คนเข้าไปได้ เหยาหวาเป็นน้องสาวของเขาในสายเลือด ต่อให้เขาไม่ค่อยชื่นชอบเหยาหวาเท่าไรนักแต่ก็ไม่ยอมให้ใครมารังแก
ราชวงศ์ไม่อาจจะขายหน้าเช่นนี้ได้
“ข้าหมายความว่าเช่นไรนั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือองค์หญิงเหยาหวาหมายความว่าเช่นไร อย่าลืมไปว่าข้างห้องขององค์ชายชุนหยูนั้นคือลั่วอ๋อง เรื่องที่องค์หญิงเหยาหวาชื่นชอบลั่วอ๋องผู้คนใต้หล้าล้วนรู้ดี” เมื่อองค์รัชทายาทกล่าวจบก็หันไปกึ่งยิ้มแล้วกล่าวกับตงหลิงจื่อลั่วว่า “น้องเจ็ด ข้ากล่าวได้ถูกต้องหรือไม่?”
“เสด็จอาเก้า ประโยคของท่านหมายความว่าเช่นไร?” ซีหลิงเทียนเหล่ยตกใจ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดปฏิกิริยาแรกของเขาไม่ใช่โมโหแต่กลับเป็นกระสับกระส่ายแล้วมองไปทางเฟิ่งชิงเฉิน จังหวะเดียวกันแววตาของเฟิ่งชิงเฉินก็เยาะเย้ยมองไปทางเขาและเผยอยิ้มที่มุมปากอย่างขี้เล่น
นางรู้แล้วหรือ?
ซีหลิงเทียนเหล่ยรู้สึกกังวลและรู้สึกโชคดี ในเมื่อเฟิ่งชิงเฉินรู้แล้ว นางก็ควรจะรู้ว่าในตอนนั้นคนที่ทิ้งรอยจูบไว้บนร่างนางก็คือเขา และถ้าเป็นเช่นนี้……
เขาก็จะสามารถรับนางมาเป็นอนุภรรยาได้?
สายตาของซีหลิงเทียนเหล่ยจ้องมองไปที่เฟิ่งชิงเฉินอย่างแน่วแน่ เผยให้เห็นความคิดในหัวใจของเขา เฟิ่งชิงเฉินหันหน้าหนีด้วยความรังเกียจ
นางไม่กลัวหรอก เสด็จอาเก้ากล่าวไว้แล้วว่าหากไม่ได้รับการอนุญาตจากเขา นางจะไม่สามารถแต่งงานกับใครได้
ซีหลิงเทียนเหล่ยอยากจะแต่งงานกับนางหรือ ชาติหน้าก็คงเป็นไปไม่ได้!
แอบมองดูผู้หญิงที่เขาชื่นชอบต่อหน้าต่อตา ซีหลิงเทียนเหล่ยเจ้ากล้านัก! เดิมทีเสด็จอาเก้าต้องการจะไว้หน้าซีหลิงเทียนเหล่ยและเหยาหวาสักเล็กน้อย น่าเสียดายเหลือเกินที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่เห็นค่า ถ้าเช่นนั้นก็อย่าโทษที่เขาโหดร้ายเกินไป เสด็จอาเก้ามองไปยังตงหลิงจื่อชุนเป็นความหมายว่าให้เขาหยุด
“จื่อชุน เมื่อคืนนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น จงบอกข้ามา!” เสด็จอาเก้าไม่สนใจซีหลิงเทียนเหล่ยแต่กลับหันไปถามผู้อยู่ในเหตุการณ์โดยตรง
ตงหลิงจื่อชุนไม่ใช่คนโง่เง่า เขารู้ว่าควรจะกล่าวเช่นไรจึงได้กล่าวออกมาด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความกล่าวหาว่า “เสด็จอาเก้า ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ข้าครึ่งหลับครึ่งตื่นและพบว่ามีสตรีนอนอยู่บนเตียง อีกทั้งกระตือรือร้นร้อนแรงยิ่งนัก เดิมทีข้าคิดว่าสาวรับใช้คนใดอยากจะปีนขึ้นมาบนเตียงข้าเสียอีก จึงไม่ได้คิดอะไรมากและหลับนอนกับนาง เพราะคิดอยู่ในใจว่าเป็นเพียงแค่บ่าวรับใช้ จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นองค์หญิงเหยาหวา”
หากจะกล่าวถึงเรื่องความหดหู่ใจ แท้จริงแล้วตงหลิงจื่อชุนหดหู่ใจยิ่งกว่าตงหลิงจื่อลั่วเสียอีก ตงหลิงจื่อลั่วเห็นองค์หญิงเหยาหวาเป็นเช่นของล้ำค่า แต่ตงหลิงจื่อชุนกลับมองว่าองค์หญิงเหยาหวาเป็นตัวปัญหา
หากหลับนอนกับสาวใช้ อย่างมากก็นอนไปเปล่าๆ เท่านั้น แต่กับซีหลิงเหยาหวานั้นแตกต่างกันไป ในเมื่อเขานอนกับนางก็จำเป็นจะต้องแต่งงานกับนาง
ฮือๆๆ คนที่เขาอยากแต่งงานด้วยคือเฟิ่งชิงเฉินต่างหาก……