นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 325 ใจกล้า นี่แหละคือเฟิ่งชิงเฉิน

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

เมื่อฮั่วซานเห็นท่าทางที่ขี้ขลาดของจ้าวหวายเฉิงแล้วนั้น เขารู้สึกรyงเกียจคนพวกนี้จากก้นบึ้งของหัวใจเลยเชียว ภูมิหลังชาติตระกูลดูดีถึงเพียงนี้ เหตุใดคนไร้ความสามารถพวกนี้ถึงได้ก้าวเข้ามาเป็นขุนนางภายในจวนผู้ว่ามณฑลได้กัน แต่กลับกัน พวกเขากลับต้องออกไปรบกินกลางดินนอกกลางทราย เพื่อเอาชีวิตรอด กลับเป็นได้แค่นายกองตัวเล็ก ๆ การจะเลื่อนขั้นขึ้นไปได้ในแต่ละทีต้องมีสิ่งของไปแลกเปลี่ยน

เมื่อฮั่วซานเห็นจ้าวหวายเฉิงไม่ขยับตัวเป็นเวลานานนั้น ฮั่วซานพลันหยิบศพขึ้นมาร่างหนึ่ง พร้อมกับโยนไปในกลุ่มคนพวกนั้นในทันที “ใต้เท้าจ้าว รีบสั่งให้คนของท่าน ขนศพโยกย้ายไปเสีย” หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินมอบอำนาจให้กับเขานั้น ฮั่ซานย่อมไม่เกรงใจที่จะใช้ประโยชน์จากมันในทันที

พวกขุนนางทั้งหลายพลันหน้าซีดเผือดไปในทันที พร้อมกับมองไปที่จ้าวหวายเฉิง ราวกับว่ากำลังรอคอยให้ลูกพี่ใหญ่ของตนออกหน้าช่วยเหลือ พวกเขามิเคยต้องมาทำงานเช่นนี้ไม่ เรื่องพวกนี้ ล้วนแต่โยนให้พวกพลทหารชั้นผู้น้อยจัดการกันจนหมด พวมเขามีหน้าที่การงานเช่นนี้ เหล่าราษฎรย่อมไม่ต้องการให้มือของขุนนางเช่นพวกเขามาทำงานหนักเช่นกัน

น่าเสียดายนัก ที่ใต้เท้าจ้าวของพวกเขานิ่งเป็นหมีไปแล้ว จะไปมีเวลาออกหน้าช่วยพวกเขาได้อย่างไร เจ้าหน้าที่เหล่านั้น ย่อมไม่มีทางเลือกจึงได้แต่ก้าวเดินไปด้านหน้า พร้อมกับปิดจมูก เพื่อช่วยกันยกศพขึ้นมา

ถึงแม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินที่นั่งอยู่ในรถม้าจะไม่ได้เห็นเหตุการณ์นั้น แต่ก็พอจะเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ไม่ยาก

แน่นอนว่าพวกเขาต้องบ่นโอดครวญออกมาเป็นขบวนอยู่แล้ว

หวังว่าพวกขุนนางเหล่านี้จะไม่สามารถยกมือยกไหล่ไปอีกนานเลย จวบจนใกล้ค่ำแล้ว พวกเขาก็ยังไม่อาจขนย้ายศพได้หมด ท้ายที่สุดแล้ว เฟิ่งชิงเฉินต้องสั่งให้องครักษ์เข้าไปช่วยดเหลือ

หลังจากที่มีคนคอยช่วยเหลือแล้วนั้น ไม่ว่าจะมีพยานหรือไม่ พวกขุนนางเหล่านั้น ขนย้ายศพเพียงไม่กี่ศพ ก็พลันทำเอาเลือดอาบไปทั่ว ราวกับว่าพวกเขาเป็นคนสังหารเองก็ไม่ปาน ทั้งเหนื่อยทั้งล้ายิ่งนัก

ทหารองครักษ์ของเฟิ่งชิงเฉินสังหารคนไปมากมายเช่นนี้ พร้อมทั้งวางศพลงอย่างเป็นระเบียบ ทว่า บนร่างของพวกเขามีเพียงร่องรอยของเลือดที่เปรอะเปื้อนเพียงไม่กี่หยดเท่านั้น อีกทั้งยังคงมีพลังงานล้นเหลือ แววตาที่ดุดันราวกับสัตว์ป่า พลันมองมาคล้ายว่า สามารถจะกระโดดเข้าต่อสู้ได้ทุกเมื่อ

หลังจากที่จัดเรียงศพเสร็จแล้วนั้น เฟิ่งชิงเฉินจึงได้สั่งให้จ้าวหวายเฉิงตรวจสอบดูอีกครั้ง

“ใต้เท้าจ้าว มีพยานหรือไม่เล่า” นางต้องการที่จะบีบคั้นหนทางสุดท้ายของจ้าวหวายเฉิงให้จมดิน หากเขาพูดใน ณ ที่นี้ว่า ไม่มีพยานแล้วนั้น เขาย่อมไม่อาจออกไปหา “พยาน”ที่ใดมาสาดหลักฐานใส่นางได้อีก หากว่าหาพยานเจอละก็ นางสามารถทำให้คำว่า “มี” เปลี่ยนเป็น “ไม่มี”ได้เช่นกัน

ไม่ว่าจะฆ่าคนเพียงคนเดียว อย่างไรก็คือฆ่า ไม่ว่าจะฆ่าคนเป็นกลุ่มอย่างไรก็คือฆ่า สองมือที่เปื้อนเลือดก็สามารถกลายเป็นพระพุทธเจ้าได้เช่นกัน

ในเมื่อจ้าวหวายเฉิงขึ้นหลังเสือ ก็ย่อมไม่อาจลงมาได้ง่ายนัก ไม่ว่าจะทำเช่นไร เขาก็จะทำให้เฟิ่งชิงเฉินต้องมารับโทษให้ได้ เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจที่จะทำตัวเป็นคนโง่อีกครั้ง พร้อมทั้งแสดงจุดยืนของตนเองออกมาให้ชัดเจน “เฟิ่งซิ่ว ผู้บาดเจ็บในวันนี้มีมากเกินไปนัก ถึงอย่างไรก็ขอเชิญเฟิ่งซิ่วไปกับพวกเราด้วยเทิด กระหม่อมเพียงต้องการสะสางงานของตนเองเท่านั้น หากเฟิ่งซิ่วมิพอใจอันใด สามารถเรียนกับท่านผู้ว่ามณฑลได้ทุกเมื่อ”

“ใต้เท้าจ้าวพูดไม่ผิดนัก หากข้าต้องการรู้ถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังในเรื่องนี้ ข้าต้องไปสอบถามกับผู้ว่ามณฑลอยู่แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ “เฟิ่งชิงเฉินจงใจที่จะเว้นช่วงเอาไว้ครู่หนึ่ง เพื่อหลอกล่อให้จ้าวหวายเฉิงดีใจเล่น ๆ จากนั้นก็กลับคำกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้ท่านผู้ว่ามณฑลไปหาเสด็จอาเก้าเถิด เสด็จอาเก้ากำลังรั้งรอข้าอยู่ที่วัง หากข้าไปสายละก็ เสด็จอาเก้าจักต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน”

มิใช่บอกว่านางเป็นสตรีของเสด็จอาเก้างั้นหรือ ข่าวลือที่ทำร้ายนางเช่นนั้น นางย่อมต้องใช้ประโยชน์จากมัน ถึงนางจะอธิบายไปอย่างไรก็ย่อมไม่มีความหมาย หากจะให้นางยอมรับก็ไม่ได้อีก

“เฟิ่งซิ่ว อย่าทำให้กระหม่อมลำบากใจเลย” ทั่วหน้าผากเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อมากมาย จ้าวหวายเฉิงย่อมไม่กล้าสืบหาความจริงอยู่แล้ว

“ลำบากใจ? ใต้เท้าจ้าวพูดเรื่องน่าขันแล้ว หากว่าผู้ว่ามณฑลไม่มีเวลาไปที่วังของเสด็จอาเก้านั้น เช่นนั้นข้าขอถามท่านสักคำ การสังหารในครานี้มีพยานหลักฐานหรือไม่เล่า?” เฟิ่งชิงเฉินพลันกล่าวถามด้วยท่าทีบีบคั้น ทั้งยังเต็มไปด้วยอารมณ์โมโหมากมาย พร้อมทั้งยังยืมอำนาจของเสด็จอาเก้ามาใช้อีกด้วย

ทุกครั้ง นางมักจะโดนเสด็จอาเก้าใช้เป็นเครื่องมือตลอดเลย ในยามนี้นางมีโอกาสแล้ว นางก็จักใช้เขากลับมั้ง หากนางปล่อยโอกาสนี้ทิ้งไป นางก็เป็นคนโง่แล้ว

จ้าวหวายเฉิงโมโหยิ่งนัก ถึงได้กล้าเอาเสด็จอาเก้ามากดขี่เขาเช่นนี้อีก น่ารังเกียจจริง ๆ

ผู้ว่ามณฑลไม่อาจฉีกหน้าเสด็จอาเก้าได้ นั่นเป็นเพราะท่านผู้ว่ามณฑลเป็นน้องชายของฮองเฮา มีทั้งฮองเฮาและลั่วอ๋องปกป้องเเขาช่นนั้น แต่เขามิใช่ เขามิอาจกล่าวโทษเสด็จอาเก้าได้ หากเขาว่าตามเฟิ่งชิงเฉิน เขาก็จะโดนฮองเฮาลงโทษ

ในยามนี้ จ้าวหวายเฉิงเข้าใจความหมายของคำว่าขุดหลุมฝังตัวเองยิ่งนัก

“อะไร? ใต้เท้าจ้าวตอบไม่ได้หรือ? หรือท่านมิยินยอมตอบคำถามข้ากันแน่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ใต้เท้าจ้าวก็ตามข้าไปที่วังของเสด็จอาเก้าเถอะ ข้าเชื่อเป็นอย่างมากว่า เสด็จอาเก้าจักสามารถชี้แจงเรื่องนี้ให้ท่านได้ ฮั่วซาน” คำพูดนี้คือคำขู่โดยตรง ในเมื่อนางไม่อาจเรียกท่านผู้ว่ามณฑลออกมาได้ ทั้งยังไม่อาจทำอะไรกับจ้าวหวายเฉิงขุนนางตัวเล็ก ๆ ได้อีก

หากผู้ใดรู้ว่าเขาทำตัวเป็นผู้ร้ายเช่นนี้ แม้เขาจะกล้าเข้าไปวังของเสด็จอาเก้า แต่ก็ไม่แคล้วถูกคนหิ้วปีกออกมาจากวังเป็นแน่ จ้าวหวายเฉิงค่อย ๆ พูดออกมาด้วยความยากลำบาก”เฟิ่งซิ่ว เมื่อครู่กระหม่อมได้ทำการตรวจสอบแล้ว ไม่พบพยานขอรับ” เขามิกล้าพูดว่าคนพวกนี้คือกลุ่มคนลอบสังหารหรือว่า ราษฎรที่ก่อการจลาจล จึงได้เอ่ยขึ้นมาอย่างลวก ๆ

“น่าเสียดายยิ่งนัก ข้าหวังว่าท่านจะหาพยานเจอ อีกทั้งจะได้บ่งชี้คนที่อยู่เบื้องหลังได้อีกด้วย” น้ำเสียงของเฟิ่งชิงเฉินหาได้มีท่าทีเสียดายหรืออาลัยอาวรณ์ไม่ ทั้งยังมิได้ไล่บี้จ้าวหวายเฉิงให้จนมุมอีก ขอเพียงแค่นางทำตามเป้าที่วางไว้ได้ก็พอแล้ว

“เฮ้อ หากใต้เท้าจ้าวมาเร็วกว่านี้ก็คงจะดี ไม่แน่ท่านอาจจะจับพยานที่เหลืออยู่ได้สักสองสามคน” น้ำเสียงของเฟิ่งชิงเฉินพลันแสดงท่าทีเยาะเย้ยออกมาอย่างชัดเจนยิ่งนัก สีหน้าของจ้าวหวายเฉิงพลันแดงก่ำไปด้วยความโกรธเกรี้ยวในทันที เขารู้สึกอับอายยิ่งนัก ที่ถูกสตรีรุ่นลูกบีบคั้นจนมุมเช่นนี้ หากเรื่องนี้ถูกเล่าขานออกไป ย่อมไม่ดีแน่ จ้าวหวายเฉิงได้แต่ยืนอยู่ที่เดิมมิได้ขยับไปที่ใดอีก

เมื่อเห็นจ้าวหวายเฉิงมิพูดอันใดอีก เฟิ่งชิงเฉินก็หาได้สนใจไม่ “ใต้เท้าจ้าว เรื่องในส่วนที่เหลือข้ามอบให้ท่านเป็นคนจัดการ หวังว่าท่านจะสืบหาผู้ที่อยู่เยื้องหลังในเหตุการณ์ครั้งนี้ได้ มิเช่นนั้น ข้าคงมิกล้าออกมานอกจวนอีกแน่ ใช่แล้ว ใต้เท้าจ้าว หากท่านหาตัวคนกระทำได้แล้ว เรียนท่านไปทูลกับเสด็จอาเก้าถึงเรื่องนี้ด้วย ข้าไม่สนใจที่จะฟัง”

พูดจบพลันสั่งให้ฮั่วซานจัดแจงพื้นที่ เพื่อออกเดินทางในทันที

หากว่ากันตามตรงแล้ว นางสมควรจะกลับจวนเฟิ่งเพื่อไปพักผ่อน แต่นางบอกกับจ้าวหวายเฉิงไปแล้วว่า นางกำลังเดินทางไปจวนเสด็จอาเก้า จักหันหัวเรือได้อย่างไรกัน มีแต่ต้องไปที่จวนตระกูลซุนเพื่อวางแผนเท่านั้น ถึงอย่างไรนางก็สนิทสนมกับตระกูลซุนนัก ซุนเจิ้งเต้าคงจะไม่ว่าอะไรหากนางจะไปหลบที่จวนเขาเพื่อหลีกหนีปัญหาชั่วคราว

แน่นอนว่า ก่อนที่นางจะไปจวนตระกูลซุน รถม้าของนางต้องไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูวังของเสด็จอาเก้าเสียก่อน การแสดงงิ้วถึงจะได้ครบองค์ประกอบ

ยามที่เฟิ่งชิงเฉินโบกมือลาหายไปกับกลีบเมฆนั้น พร้อมทั้งโยนความยุ่งเหยิงเป็นกระบุงมาทิ้งไว้ที่ตัวของจ้าวหวายเฉิงในทันที จ้าวหวายเฉิงในยามนี้อยากจะตายยิ่งนัก อีกทั้งยังอดไม่ได้ที่จะลากเฟิ่งชิงเฉินลงมาจากรถม้า เพื่อให้กลับไปที่จวนท่านผู้ว่ามณฑลด้วยกันในทันที

ในขณะเดียวกัน พลันมีเจ้าหน้าที่นายหนึ่ง วิ่งเข้ามาถามว่า “ใต้เท้า ศพคนพวกนี้ให้ทำอย่างไรดีขอรับ?”

หากว่ากันตามวิธีการของพวกเขาแล้วนั้น เพียงเลือกผู้โชคร้ายมาจัดการเรื่องนี้ก็พอแล้ว เขามิคิดเลยว่า จะเป็นการโยนหินมาทับขาตนเองเช่นนี้ได้ จ้าวหวายเฉิงไม่อาจสร้างความเดือดร้อยให้กับเฟิ่งชิงเฉินได้แล้ว ทั้งยังไม่อาจสะสางกับกลุ่มคนที่โดนลงมือไปได้อีก พลางนำอารมณ์โกรธของตนเองไปลงกับผู้ใต้บังคับบัญชาว่า “จะจัดการเช่นไร? พวกเจ้ารออะไรกันอยู่เล่า มาลากศพพวกนี้ไปทิ้งที่สุสานไร้ญาติเร็ว”

ในฝั่งหัวมุมของถนนฝั่งตรงข้าม พลันมีชายสวมใส่หน้ากากที่มองเห็นเหตุการณ์ตั้งนานแล้วนั้น แต่เดิมเขาคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเสียท่าในครานี้แล้ว มิคิดเลยว่า เฟิ่งชิงเฉินจะไม่ปล่อยโอกาสของตนให้มีวีรีบุรุษมาช่วยสาวงามเลยแม้แต่น้อย

หลังจากที่เห็นท่าทางยโสโอหังของเฟิ่งชิงเฉินเดินจากไปนั้น บุรุษผู้นั้นพลันหันกายจากไปในทันที

“เฟิ่งชิงเฉิน นี่ถึงจะเป็นเจ้า!”

ไม่มีทางที่จะปิดบังเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นบนท้องถนนได้พ้น ก่อนที่เท้าของเฟิ่งชิงเฉินจะก้าวเข้าสู่จวนตระกูลซุนนั้น ก็พลันมีม้าเร็วเข้าไปแจ้งเหตุการณ์ถึงภายในราชสำนักในทันที

องค์จักรพรรดิโมโหยิ่งนัก ทั้งยังทุบโต๊ะสั่งให้กองกำลังส่วนพระองค์ไปนำตัวคนมา

ยามที่เสด็จอาเก้าได้รับเรื่องมานั้น ก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่ฝ่าบาทได้รับข้อมูลมาเช่นกัน เสด็จอาเก้าพลันหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้

เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าไม่คิดที่จะเสียเปรียบให้ผู้ใดเลยสักนิด ทั้งยังนำความลำบากมาให้เปิ่นหวางเสียด้วย

“พวกเจ้าเข้ามา ช่วยเปิ่นหวางเปลี่ยนอาภรณ์ที”

เขาต้องเข้าวัง!

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท