เลือกแม่หรือเลือกลูก
ตัวเลือกเช่นนี้ไม่ว่าในสมัยปัจจุบันสมัยโบราณล้วนเป็นตัวเลือกที่น่าปวดใจเหลือเกิน
ในมือของกั๋วกงฮูหยินถือคำสายประคำเอาไว้ จากนั้นหมุนอย่างรวดเร็ว ทุกคนที่นั่นล้วนเป็นกังวลใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเร่งนาง ทุกคนล้วนเข้าใจดีถึงความรู้สึกปวดใจของกั๋วกงฮูหยิน นางไม่อาจจะตัดสินใจได้ในเวลาอันสั้น
จิ้นหยางโหวฮูหยินหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตา ไม่ว่าจะเป็นทางเลือกใด สำหรับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ล้วนเป็นเรื่องที่ขมขื่นเหลือเกิน หากถามความคิดเห็นของจิ้นหยางโหวฮูหยิน แน่นอนว่าจะต้องเลือกแม่ ซึ่งเป็นน้องสาวของนาง เพียงแต่ว่านางไม่มีสิทธิในการพูด
บุตรหลานนั้นสำคัญนัก
ระหว่างที่กั๋วกงฮูหยินพยายามในการเลือกว่าจะเลือกสิ่งใด เฟิ่งชิงเฉินก็เริ่มเปิดกระเป๋าอัจฉริยะของนางออกมาแล้วลงมือทำการผ่าตัดให้แก่ซื่อจื่อฮูหยิน และระหว่างนี้นางจะต้องแน่ใจให้ได้ว่าซื่อจื่อฮูหยินสามารถอดทนได้จนกระทั่งการผ่าตัดเสร็จสิ้น
ทั้งแม่และลูกสามารถเก็บไว้เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น นี่คือจุดมุ่งหมายขั้นพื้นฐานของเฟิ่งชิงเฉินที่นางพยายาม เนื่องจากการรักษาไว้ทั้งแม่และลูกคาดว่านางคงไม่อาจทำได้ ดังนั้นนางจึงได้เลือกที่จะละทิ้งคนหนึ่ง ซึ่งก็ยังดีกว่าจะต้องเสียชีวิตไปทั้งสองคน
หมอทำได้เพียงกล่าวแสดงความคิดเห็นของตนออกมา ท้ายที่สุดแล้วญาติของผู้ป่วยจะตัดสินใจเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับญาติเหล่านั้น อาทิเช่นกรณีที่ผู้ป่วยอาการสาหัสจำเป็นจะต้องได้รับการผ่าตัด หมอก็จะบอกถึงความเป็นไปได้ในการประสบความสำเร็จของการผ่าตัด ท้ายที่สุดแล้วจะยอมผ่าตัดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของญาติ
ผลที่ออกมาไม่ว่าจะดีหรือร้าย ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับหมอ ซึ่งสำหรับญาติของผู้ป่วยแล้วนั้นการที่ต้องเลือกเป็นวิธีที่ขมขื่นใจยิ่งนัก แต่ความรู้สึกของหมอก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเลย
“ตึง……!” สายประคำในมือกั๋วกงฮูหยินขาดออกจากกัน เม็ดประคำเหล่านั้นกระโดดกระเด็นกระจายไปทั่ว
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปทันที
สายประคำขาด นี่เป็นลางสังหรณ์ที่ไม่ดีนัก ทุกคนมองไปทางห้องคลอด หวังว่าเฟิ่งชิงเฉินจะกล่าวบางอย่างออกมาเพื่อปลอบโยนพวกนาง
แต่ว่าขณะนี้นางกำลังยุ่งอยู่กับการผ่าตัด ไม่มีเวลาไปสนใจคนภายนอกว่าเป็นเช่นไร
การทำการผ่าคลอดด้วยตัวเองเพียงลำพังไม่ใช่เรื่องง่าย อีกอย่างสภาพร่างกายของซื่อจื่อฮูหยินเรียกได้ว่าย่ำแย่เหลือเกิน และจะเกิดเรื่องผิดพลาดได้ขึ้นไม่ได้เลย
“ฮูหยินเจ้าคะ!” บ่าวรับใช้ข้างกายของกั๋วกงฮูหยินเห็นว่าฮูหยินตาลอยใจลอยจึงได้เรียกเตือนสติ
กั๋วกงฮูหยินชะงักลงแล้วได้สติกลับคืนมา นางมองไปยังห้องคลอดด้วยท่าทางเศร้าโศก “เลือกลูก……”
เมื่อนางกล่าวจบ หนิงกั๋วกงซื่อจื่อก็ได้พุ่งกายเข้ามาแล้วตะโกนด้วยน้ำเสียงอันดังว่า “ไม่! เลือกแม่! รักษาชีวิตภรรยาของข้า ข้า ต้องการให้รักษาชีวิตนาง!”
กั๋วกงฮูหยินหันไปมองดูลูกบุตรชาย
เหตุใดนางจึงคลอดบุตรที่รักเดียวใจเดียวเช่นนี้ออกมานะ?
“ท่านแม่ เลือกนางเถิด ท่านแม่ข้าขอ ข้าและซินโหรวยังอายุน้อย ในอนาคตยังมีลูกได้อีก หากว่าในอนาคตซินโหรวไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีกแล้ว ข้าจะรับอนุภรรยาเข้ามา เมื่อมีบุตรแล้วจะให้เป็นบุตรของซินโหรวได้หรือไม่!” ตามปกติแล้วเรือนด้านในจะไม่ให้ชายเข้ามา แต่หนิงกั๋วกงซื่อจื่อไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ เขาพุ่งกายเข้ามาโดยไม่สนใจผู้ใด
เมื่อประโยคนี้ถูกกล่าวออกไป สตรีมากมายในเรือนนั้นก็ได้อิจฉา จิ้นหยางโหวฮูหยินเผยถึงรอยยิ้มออกมา และแสดงความดีใจแทนน้องสาวของนาง โลกใบนี้ชายหนุ่มที่รักเดียวใจเดียวเช่นหลิวซื่อจื่อมีน้อยนัก การได้พบเข้ากับชายเช่นนี้นับว่าน้องสาวของนางมีบุญวาสนายิ่งลักษณ์
กั๋วกงฮูหยินเลือกที่จะเก็บเด็กเอาไว้ แท้จริงในใจนางก็รู้สึกผิด เมื่อหลิวซื่อเฉิงเข้ามายืนยันดังนั้นก็พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “อืม เลือกแม่!”
“ข้าเข้าใจแล้ว และจะพยายามทำให้ดีที่สุดในการรักษาชีวิตนาง” แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะยุ่งมากแต่นางก็ได้ยินความเคลื่อนไหวที่ด้านนอก เมื่อได้ยินประโยคนั้นของหลิวซื่อเฉิง เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกดีใจยิ่งนัก
ไม่เสียแรงที่นางฝ่าอันตรายวิ่งเข้ามาที่นี่ หนิงกั๋วกงซื่อจื่อทำให้นางรู้ว่ายังมีชายหนุ่มบนโลกนี้ที่สมบูรณ์แบบยิ่งนัก เพียงแค่นางยังไม่เจอเท่านั้นเอง
“ซื่อจื่อฮูหยินได้ยินคำพูดของซื่อจื่อหรือไม่? เขายอมเสียลูกไปเพื่อเจ้า เจ้าจะต้องพยายามอดทน พวกเราจะต้องพยายามไปด้วยกัน พยายามรักษาไว้ทั้งชีวิตเจ้าและลูก” เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าความมหัศจรรย์ของหมอและการรักษา แท้จริงแล้วนั่นก็คือผู้ป่วยมีความสู้ชีวิตในการอยู่ต่อไปเช่นไร เฟิ่งชิงเฉินจึงพยายามกระตุ้นซื่อจื่อฮูหยินให้แสวงหาชีวิตรอด
เป็นจริงดังนั้น เมื่อนางเพิ่งจะพูดจบลง ซื่อจื่อฮูหยินก็ขยับเขยื้อนร่างกาย ดวงตาของนางมีน้ำตาไหลรินออกมา
เฟิ่งชิงเฉินจึงผ่อนคลายลง ซื่อจื่อฮูหยินมีปฏิกิริยาเป็นเรื่องดี “ซื่อจื่อฮูหยินอย่าได้ยอมแพ้เป็นเด็ดขาด ข้าจะช่วยเจ้าเองช่วยรักษาชีวิตทั้งเจ้าและลูก!”
ขนตาของซื่อจื่อฮูหยินขยับเขยื้อนเล็กน้อย เป็นความหมายว่านางก็ได้ยินแล้ว
“ซื่อจื่อฮูหยิน ข้ารู้ว่าเจ้าได้ยินคำพูดของข้า บัดนี้จงทำตามที่ข้าบอก สูดหายใจเข้า……หายใจออก”
ทั้งคืนนั้นเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้หยุดการเคลื่อนไหวของตนเลย สภาพจิตใจและร่างกายของนางค่อนข้างตึงเครียด นี่เป็นครั้งแรกที่นางลงมือผ่าตัดคลอด ก่อนหน้านี้แม้นางจะเคยดูขั้นตอนการผ่าตัดมาก่อน แต่นางไม่เคยลงมือเองเลย
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง สถานการณ์ของซื่อจื่อฮูหยินดูไม่ค่อยดีนัก แต่ลูกในท้องของนางจะรออีกต่อไปอีกไม่ได้แล้ว เฟิ่งชิงเฉินจึงทำได้เพียงให้น้ำเกลือแก่ซื่อจื่อฮูหยิน
“ฮูหยิน ข้าจะนำลูกๆ ของท่านออกมา แต่จะเจ็บสักหน่อยเจ้าจะต้องอดทนเอาไว้” สภาพร่างกายของซื่อจื่อฮูหยินเป็นเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินจึงไม่กล้าจะฉีดยาชาให้นางทั้งตัว นางฉีดยาชาเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น
“เจ้าจงลงมือเถิด ข้ารับได้” ซื่อจื่อฮูหยินหายใจเหนื่อยหอบ แต่ก็พยายามกล่าวออกมาเป็นประโยคสมบูรณ์ เห็นได้ชัดว่าบัดนี้ร่างกายของซื่อจื่อฮูหยินดีขึ้นกว่าเดิม
โสมพันปี เจ้าสิ่งนี้ไม่เลวเลยจริงๆ
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้กล่าวสิ่งใดให้มากความ หลังจากที่นางจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว นางก็ทำการผ่าตัดไปที่หน้าท้องขนาดความกว้างประมาณหนึ่งนิ้ว หลังจากที่ผ่าตัดหน้าท้องเรียบร้อยแล้ว นางก็ดึงมดลูกออกมา ตัดมดลูก ดึงทารกในครรภ์ออกมา และจัดการกับรก……
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เฟิ่งชิงเฉินยุ่งอยู่ในห้องคลอดจนเหงื่อท่วมกาย กั๋วกงฮูหยินและหลิวซื่อเฉิงรออยู่ด้านนอกด้วยจิตใจอันร้อนรน ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วด้านในยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดเลย หลิวซื่อเฉิงแทบจะเป็นบ้าคลั่ง แต่เขาก็ไม่กล้าจะเดินไปที่ประตูห้องผ่าคลอด จึงทำได้เพียงกัดฟันหันหลังเดินออกไปด้านนอก……
“ตามไปเร็วเข้า อย่าให้ซื่อจื่อกระทำการโง่เง่า” กั๋วกงฮูหยินกล้ามเนื้อใบหน้ากระตุก จากนั้นรีบกำชับบ่าวรับใช้ บัดนี้กั๋วกงฮูหยินทั้งกังวลสะใภ้และกังวลบุตรชาย
จนกระทั่งมีคนมารายงานว่าซื่อจื่อนั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าศาลบรรพบุรุษ จึงทำให้กั๋วกงฮูหยินวางใจลง
ผ่านไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง กั๋วกงฮูหยินแทบจะทนไม่ไหวแล้ว ร่างกายของนางสั่นคลอนแต่ก็ไม่กล้านั่งลง ขณะที่ร่างกายของกั๋วกงฮูหยินค่อนข้างโอนเอน จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงร้องไห้ออกมาจากห้องผ่าคลอด
“คลอดแล้ว คลอดแล้ว!” กั๋วกงฮูหยินตื่นเต้น ร่างกายของนางที่โอนเอนเมื่อครู่ก็ตั้งตรง
“คลอดลูกแล้ว นางคลอดแล้ว!” กั๋วกงฮูหยินดีใจจนน้ำตาไหล ก่อนจะหันไปกำชับบ่าวรับใช้ข้างกายว่า “เร็วเข้า รีบไปบอกซื่อจื่อว่าฮูหยินคลอดบุตรแล้ว!”
“บ่าวจะรีบไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!”
เสียงทารกที่ร้องไห้ออกมาเมื่อครู่ทำให้ภายในห้องอันเงียบสงัดดูมีความครึกครื้นขึ้นมาทันใด แม้แต่จิ้นหยางโหวฮูหยินก็ร้องไห้น้ำตานองหน้าด้วยความดีใจ
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าข้ามองคนไม่ผิดไป ใต้หล้านี้คนที่จะสามารถช่วยซินโหรวได้มีเพียงแค่คุณหนูเฟิ่ง มีเพียงนางคนเดียวเท่านั้น!”
เฟิ่งชิงเฉินได้รับการแนะนำมาจากจิ้นหยางโหวฮูหยิน อีกทั้งหนิงกั๋วกงซื่อจื่อฮูหยินเป็นน้องในไส้ของนาง จินตนาการได้เลยว่าก่อนหน้านี้นางกดดันเพียงใด
“คลอดแล้วหรือ? ซินโหรวเป็นอะไรหรือไม่? ซินโหรวเล่า?” หลิวซื่อเฉิงวิ่งเข้ามาในเรือนด้านในอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นเข้าไปดึงชายเสื้อของหนิงกั๋วกงฮูหยินแล้วเอ่ยถามด้วยความรีบร้อน
“ไม่รู้ ข้าไม่รู้เหมือนกัน” กั๋วกงฮูหยินได้สติกลับคืนมา ความดีใจของนางลดไปกว่าครึ่ง ในขณะเดียวกันนั้นเฟิ่งชิงเฉินก็เปิดประตูห้องผ่าตัดออกมากล่าวว่า “ฮูหยินและซื่อจื่อโปรดวางใจเถิด บัดนี้ปลอดภัยทั้งแม่และลูก คุณชายน้อยทั้งสองสภาพร่างกายแข็งแรงยิ่งนัก แต่ร่างกายของซื่อจื่อฮูหยินบาดเจ็บอย่างรุนแรง จำเป็นจะต้องพักรักษายาระยะหนึ่ง”
นางอุ้มเด็กทารกเกิดใหม่ออกมา เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของทารกน้อย ในที่สุดเฟิ่งชิงเฉินก็เข้าใจแล้วว่า สิ่งที่บรรดาหมอและพยาบาลแผนกสูติกล่าวกันว่าเสียงของธรรมชาติหมายความว่าอย่างไร……
เพื่อเสียงร้องไห้นั่นแล้ว ต่อให้เหนื่อยก็คุ้มค่ายิ่งนัก!