หนิงกั๋วกงซื่อจื่อฮูหยินปลอดภัยดีทั้งแม่และลูก แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับไม่ได้โชคดีเช่นนั้น เดิมทีร่างกายของนางก็ได้รับบาดเจ็บ ประกอบกับการที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ตัวนางเองแทบจะอ่อนโรยไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว
สิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินอยากทำมากที่สุดในตอนนี้ก็คือเอนกายลงบนที่นอนแล้วหลับตาลง
แต่นางเป็นนักโทษที่มีความผิด ต่อให้คนจากหนิงกั๋วกงพยายามจะรั้งนางเอาไว้ นางก็ไม่กล้าที่จะอยู่ต่อเนื่องนาน ก่อนที่แสงตะวันจะเข้ามาแทรกแซงท้องฟ้าอันมืดมิด เฟิ่งชิงเฉินพยายามพาร่างกายอันอ่อนล้าของนางขี่ม้ากลับไปที่จวนเฟิ่ง
หัวหน้าหน่วยราชองครักษ์อยู่ข้างกายเฟิ่งชิงเฉินตลอดเวลา เมื่อเห็นร่างกายของเฟิ่งชิงเฉินนางโอนเอนอยู่บนหลังม้า ดูเหมือนจะล้มลงมาได้ทุกเมื่อ หัวใจของเขาก็ตุ้มๆ ต่อมๆ พยายามเข้าไปอยู่ข้างกายของนาง เผื่อว่านางล้มลงมาเขายังพอเข้าไปประคองไว้ทัน
แต่จนกระทั่งเดินทางมาถึงจวนเฟิ่ง เฟิ่งชิงเฉิน ก็ไม่ได้หล่นลงมาจากหลังม้า หัวหน้าหน่วยราชองครักษ์ต้องยอมรับว่าทักษะการขี่ม้าของเฟิ่งชิงเฉินเก่งกาจเหลือเกิน เขารู้สึกคันขยุกขยิกในใจ และคิดว่าภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนนี้ควรจะหาเวลาว่างมาเรียนรู้วิธีการขี่ม้าจากเฟิ่งชิงเฉินเสียแล้ว
เนื่องจากว่าเฟิ่งชิงเฉินใช้ทักษะควบคุมม้าได้อย่างเป็นเลิศนี้ แสดงออกมาในสนามสัตว์หลวง ทำให้ฝ่าบาทชื่นชอบยิ่งนัก ดังนั้นจึงได้แต่งตั้งตำแหน่งของบิดามารดานาง การที่จะเรียนรู้กับเฟิ่งชิงเฉินจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย
เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร ก่อนหน้านี้นางเองก็เคยทำงานพร้อมบาดแผล แต่ไม่เคยเป็นดังเช่นครั้งนี้มาก่อน หากไม่ใช่เพราะความมุมานะของนางอันยิ่งใหญ่ คาดว่านางคงจะล้มเอนกายหมดสติไปนานแล้ว
เมื่อได้ยินคนข้างกายกล่าวว่าถึงจวนเฟิ่งแล้ว กล้ามเนื้อที่ตึงเครียดของนางก็ผ่อนคลายลงทันที มือของนางคู่นั้นปล่อยแส้บังคับม้าออก นางเอนกายฟุบไปที่ด้านหน้า
“คุณหนูเฟิ่ง ระวัง!” หัวหน้าหน่วยราชองครักษ์ตกใจเสียจนกระโดดขึ้น เขาต้องการเอื้อมมือเข้าไปพยุงเอาไว้ แต่พบว่าตัวเขายังอยู่บนหลังม้า จึงได้รีบกระโดดลงไปจากหลังม้าทันที
มือทั้งคู่ของเฟิ่งชิงเฉินจับเอาไว้ที่อานม้า นางลุกขึ้นอีกครั้งแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่เป็นไร”
ไม่เป็นไรคงจะแปลก
แม้ว่าจะถึงเวลาใกล้รุ่งแล้ว แต่ท้องฟ้ายังคงมืดมิดไปทั่ว หัวหน้าราชองครักษ์มองไม่ชัดเจนนักถึงใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉิน หากว่าบัดนี้เขาจุดตะเกียงขึ้นละก็คงจะพบว่าบัดนี้เฟิ่งชิงเฉินร้อนผ่าวดั่งกับกุ้งลวก ร่างกายที่โผล่ออกมาจากเสื้อผ้าร้อนระอุ
เฟิ่งชิงเฉินเคาะไปที่ศีรษะของนางแล้วรู้สึกว่าปวดหัวเสียจนไม่เป็นตัวเอง บัดนี้ศีรษะนางหนักมาก แต่ขาช่างเบาโหวง นางยื่นมือออกมาสัมผัสศีรษะอีกครั้ง “เป็นไข้เสียแล้ว”
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มขึ้นอย่างขมขื่น
ฝนตกหลังคารั่วเสียจริง บัดนี้ฝ่าบาทลงโทษนางให้กักบริเวณและไม่ให้คนภายนอกเข้ามาเยี่ยม หากต้องการจะเชิญหมอเข้ามาตรวจอาการก็ต้องรายงานต่อองค์จักรพรรดิ ขั้นตอนเหล่านี้ไปๆ มาๆ กว่าจะได้รักษานางคงจะหมดสติไปเสียก่อน
“เมื่อกลับไปคงจะต้องกินยาลดไข้” เฟิ่งชิงเฉินได้แต่กำชับตนเองอยู่ในใจ
“คุณหนูเฟิ่งลงจากรถม้าเถิด” หัวหน้าหน่วยราชองครักษ์เห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินนั่งอยู่บนรถม้าไม่ขยับเขยื้อนจึงได้เอ่ยปากเตือนขึ้น
“อืม” เฟิ่งชิงเฉินตอบกลับด้วยท่าทางอันไร้เรี่ยวแรง ก่อนจะก้าวขาหนักอึ้งออกไปเพื่อต้องการลงจากรถม้า แต่คิดไม่ถึงว่า……
“พลั่ก!……” เฟิ่งชิงเฉินร่วงลงมาจากหลังม้าทันควัน แต่ขาของนางยังคาอยู่
หัวหน้าราชองครักษ์เห็นดังนั้นก็ตกอกตกใจ บัดนี้เขาไม่มีเวลาไปสนใจข้อห้ามแตะเนื้อต้องตัวของชายหญิงแล้ว ได้แต่รีบก้าวเข้าไปอุ้มเฟิ่งชิงเฉินไว้ในอ้อมกอด เฟิ่งชิงเฉินไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะต่อต้านเขา
“เหตุใดร่างกายจึงร้อนผ่าวเช่นนี้?” หัวหน้าราชองครักษ์ตื่นตระหนกขึ้นมา เขาอุ้มเฟิ่งชิงเฉินแล้วรีบก้าวเข้าไปในจวนเฟิ่ง
“เร็วเข้าเถิด เข้าไปทูลต่อฝ่าบาทว่าคุณหนูเฟิ่งป่วย!”
“ขอรับ!”
“รีบไปตามบ่าวรับใช้ของคุณหนูเฟิ่งมาให้พวกนางมาดูแลคุณหนูเฟิ่ง” หัวหน้าหน่วยราชองครักษ์กำชับอย่างรวดเร็ว ส่วนบรรดาลูกน้องก็รีบเร่งลงมือทำตามคำสั่งโดยไม่มีใครกล้ารีรอ
ตอนที่เสด็จอาเก้ารับรู้เรื่องราวนี้ท้องฟ้าก็สว่างขึ้นแล้ว
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเฟิ่งชิงเฉินที่ไม่รู้ถึงอาการหนักเบาตนเอง อีกทั้งยังเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของชาวบ้าน ตัวเขาเองก็ไม่รู้จะพูดเช่นไร นอกจากโบกไม้โบกมือกำชับให้บ่าวรับใช้ถอยออกไป จากนั้นนั่งอยู่คนเดียวภายในห้องหนังสือไม่รู้ว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่
แต่คนที่อยู่เบื้องล่างต่อให้จัดการอย่างดีก็ไร้ประโยชน์ เนื่องจากว่าพวกเขาเข้ามาในวังแต่ไม่เห็นองค์จักรพรรดิ ต่อให้เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิจริงๆ ฝ่าบาทก็ไม่แน่ว่าจะอนุญาตให้หมอเข้าไปตรวจหรือไม่
บ่าวรับใช้จึงทำได้เพียงใช้น้ำเย็นเช็ดร่างกายของเฟิ่งชิงเฉิน หวังว่าร่างกายอันร้อนผ่าวของนางจะผ่อนคลายลง แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉินสภาพร่างกายอ่อนแอหรืออย่างไร ไข้ของนางร้อนโดยไม่ลดลงเลย บัดนี้ตัวนางสะลึมสะลือ และโอดครวญออกมาไม่ขาด “ไม่ใช่ข้า!” “ข้าไม่ได้หลบหนี” “ข้าไม่ได้ทำผิด”
และยังมีคำพูดอื่นที่ค่อนข้างคลุมเครือ บรรดาบ่าวรับใช้ฟังไม่ชัดเจนนัก บัดนี้พวกนางรู้สึกเป็นกังวลยิ่ง เกรงว่าเฟิ่งชิงเฉิน จะเป็นไข้เสียจนเสียสติไป จนทำให้ลืมมองความผิดปกติของมือข้างซ้ายของเฟิ่งชิงเฉินไปเสียสิ้น
“แค่กๆ!” บัดนี้หากว่าเฟิ่งชิงเฉินตื่นขึ้นมาล่ะก็ นางจะพบว่ากระเป๋าแพทย์อัจฉริยะของนางกำลังมีเส้นกราฟกะพริบอยู่ ขณะเดียวกัน ณ สำนักงานวิจัยในค่ายทหารจีนแห่งหนึ่ง มีคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งที่จู่ๆ ก็เปิดขึ้นเอง และเอ่ยเตือนเป็นสัญญาณเดียวกัน
อาจจะเป็นเพราะว่าตอนนี้ค่อนข้างเช้าอยู่ คนในสำนักงานวิจัยยังไม่ตื่นขึ้น ดังนั้นจึงไม่มีใครพบถึงความผิดปกตินี้
เมื่อท้องฟ้าสว่าง ประชุมราชวงศ์เช้าก็สิ้นสุดลง แต่หมอก็ยังไม่เดินทางมาสักที บ่าวรับใช้ทั้งสองคนเป็นกังวลใจจนไม่อาจรอได้ จึงเข้าไปหาหัวหน้าหน่วยราชองครักษ์แล้วกล่าวว่า “นายท่านเจ้าคะ ฝ่าบาทตรัสว่าอย่างไร? หมอเล่า? หมอจะเดินทางมาเมื่อไหร่?”
คนที่เดินทางเข้าไปในวังยังไม่กลับเข้ามา หัวหน้าราชองครักษ์เองก็รีบร้อนเป็นกังวลใจยิ่งนัก เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนที่เสด็จอาเก้าและตระกูลหวังให้ความสำคัญมาก เขาเองก็กลัวว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเกิดเรื่องขึ้น
“อะไรกัน บัดนี้ประชุมราชวงศ์เช้าก็สิ้นสุดลงแล้วมิใช่หรือ!” ประโยคนี้เมื่อกล่าวออกไปมีความหมายสื่อให้เห็นว่าหัวหน้าหน่วยราชองครักษ์ไม่พยายามอย่างเต็มที่
บ่าวรับใช้ของตระกูลหวังได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดีกว่าคุณหนูบางตระกูลเสียอีก ท่าทางและบุคลิกของพวกนางเหล่านั้น หากจริงจังขึ้นมาน่าเกรงขามนัก เมื่อได้ยินประโยคนี้ หัวหน้าราชองครักษ์ก็รู้สึกเสียหน้าแล้วสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
ช่างเถอะ เขาไม่อยากจะไป ถือสากับบ่าวรับใช้ต่ำต้อย
บ่าวรับใช้ผู้นั้นสีหน้าซีดเผือดแล้วคุกเข่าลงไปต่อหน้าหัวหน้าหน่วยราชองครักษ์ “นายท่าน บ่าวเพียงแค่เป็นห่วงกังวลคุณหนูจึงทำให้ปากร้อนใจร้อนไปเสียหน่อย นายท่านโปรดอย่าถือสาบ่าวเลย อย่าได้ติดใจเอาความบ่าวเลยนะเจ้าคะ!”
นับจากนี้อีกหนึ่งเดือน พวกนางทุกคนจะต้องถูกนายท่านผู้นี้จับตามอง บัดนี้จะหาเรื่องเขาไม่ได้
“ลุกขึ้นเถิด” หัวหน้าหน่วยราชองครักษ์ก็ไม่ได้ทำให้แม่นางผู้นี้ต้องอึดอัดใจ “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วย แต่ข้าเองก็พยายามอย่างเต็มที่แล้ว หากไม่มีพระราชโองการของฝ่าบาท ข้าเองก็ไม่อาจทำไปโดยพลการได้ เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ข้าจะส่งคนไปถามดูอีกครา”
นับตั้งแต่เช้าจนตอนบ่าย คนที่หัวหน้าหน่วยราชองครักษ์ส่งออกไปนั้นไม่ต่างอันใดกับโยนลูกชิ้นให้สุนัขที่โยนออกไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย
“เกิดเรื่องขึ้นอย่างงั้นหรือ?” หัวหน้าหน่วยราชองครักษ์รู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก เกรงว่าคนที่เขาส่งออกไปอาจถูกฆ่าตาย รออยู่จนกระทั่งอาทิตย์แทบจะลาลับขอบฟ้า ในที่สุดหัวหน้าหน่วยราชองครักษ์ก็ไม่อาจจะหยุดอยู่นิ่งได้ จึงกำชับให้ข้าหลวงคนหนึ่งเข้าไปในพระราชวัง
เมื่อเข้าไปถึงในพระราชวังจึงได้พบว่าคนของเขาถูกรั้งตัวเอาไว้ แต่ยังไม่ได้ถูกฆ่า เพียงแค่ถูกกักตัวเอาไว้ในคุกด้วยเหตุผลที่ว่าชนเข้ากับบุคคลชั้นสูง
หากว่าเพียงคนสองคนก็ยังไม่เท่าไหร่เนื่องจากภายในวังบุคคลชั้นสูงนั้นมีมากมาย แต่ทั้งสี่ห้าคนที่ส่งมากลับชนเข้ากับบุคคลเหล่านั้น มันช่างบังเอิญไปหรือไม่?
หัวหน้าหน่วยราชองครักษ์เข้าใจดีว่ามีคนกำลังจัดการกับเขาอยู่ ให้เขารู้ว่าอย่าได้ใส่ใจเฟิ่งชิงเฉินให้มากนัก
ในใจของหัวหน้าหน่วยราชองครักษ์อึดอัดยิ่งนัก นี่คือความโชคร้ายของปีศาจตัวน้อยที่ถูกโจมตีด้วยเทพเจ้า เขาไปรังแกใครเข้าหรือ? เพียงก้าวขาเข้ามาในวังก็ถูกไล่ให้กลับไปแล้ว เช่นนั้นเขาจึงไม่อาจทำให้ทั้งสองฝ่ายพึงพอใจได้ เมื่อพบเข้ากับขันทีที่ทำใบหน้ายิ้มแย้ม หัวหน้าหน่วยราชองครักษ์ก็ฝืนยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านขันที ข้าน้อยมีเรื่องที่จะต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
“ใต้เท้าหลี่ ช่างบังเอิญเหลือเกินในวันนี้ตอนกลางวัน ฝ่าบาทพากุ้ยเฟย พระสนมเสียนและพระสนมเต๋ออีกทั้งพระสนมซู เข้าไปชมแมกไม้พร้อมกับคุณหนูซูหว่านและองค์หญิงเหยาหวาเสียแล้ว” สีหน้าของขันทีผู้นั้นกล่าวออกมาอย่างเย็นชา ไม่มีความเมตตาแต่อย่างใด
ผู้บัญชาการหลี่มีตาหามีแววไม่ เขาเอาอกเอาใจเพียงสตรีกำพร้านางหนึ่ง แต่กลับทำให้จักรพรรดินีและลั่วอ๋องต้องไม่พอพระทัย เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไร?
“แล้วฝ่าบาทเสด็จกลับมาเมื่อไหร่?” หัวหน้าหน่วยราชองครักษ์ทำท่าทางตกอกตกใจ
เหตุใดจึงบังเอิญเช่นนี้ ฝ่าบาทต้องการอะไรกันแน่?
“จักรพรรดิ ท่านต้องการทำสิ่งใดกันแน่?” เสด็จอาเก้าเคาะไปที่โต๊ะเบาๆ ฉวยโอกาสนี้ในการระบายความรู้สึกกังวลใจ