นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 341 น่าเสียดาย เป็นตายอย่างไรช่วยบอกข้าที

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

บทที่ 341 น่าเสียดาย เป็นตายอย่างไรช่วยบอกข้าที

สถานการณ์ในภายนอกช่างวุ่นวายยิ่งนัก ทว่า ภายในจวนเฟิ่งกลับเงียบสงบหาได้ยากเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีผู้ใดเข้ามารบกวน ทั้งยังไม่มีผู้ใดมาสร้างความวุ่นวายที่หน้าประตูจวนดั่งเช่นเคยอีก ภายในไม่ถึงสิบวัน เฟิ่งชิงเฉินก็สามารถเดินลงจากเตียงได้แล้ว

แต่ทว่า การแสร้งป่วยนั้น อย่างไรก็ต้องทำทีนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงนอน สองเท้าของเฟิ่งชิงเฉินจึงแทบจะไม่เคยได้แตะพื้นเลยแม้แต่น้อย

ยามที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังพักผ่อนอยู่นั้น นางพลันหันไปดูระบบการให้คะแนนจริยธรรมทางการแพทย์ในกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะของนาง พลางเห็นว่า คะแนนจริยธรรมทางการแพทย์ของนางเพิ่มขึ้นมาถึงห้าคะแนน

ถึงแม้ว่าคะแนนจริยธรรมทางการแพทย์ของนางนั้น จะเพิ่มคะแนนให้ได้ไม่ยาก แม้ว่าในยามปกตินางจะมิได้รักษาคนไข้ คะแนนในส่วนตรงนี้ก็จะไม่ลดลงไปเช่นกัน มิคิดเลยว่า ยามที่นางยื่นมือไปทำคลอดให้ฮูหยินซื่อจื่อนั้น คะแนนจะเพิ่มขึ้นมาถึงสามคะแนนเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินมองแล้วมีความสุขยิ่งนัก

อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีเลย ถึงแม้ว่าคะแนนจริยธรรมทางการแพทย์ของนางจะน้อยมาก อย่างมากที่สุดคะแนนก็จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ นอกเสียจากว่า จะเกิดโรคระบาดขึ้นมา มิเช่นนั้น หากนางจะต้องมาคอยรักษาคนไข้ทีละคนละก็ การที่นางจะมีคะแนนเพิ่มขึ้นชั่วข้ามคืน ย่อมไม่อาจเป็นจริงได้เลย

เฟิ่งชิงเฉินหาได้รู้ไม่ว่า ในอีกไม่นาน ความคิดของนางนั้น จะทำให้คะแนนจริยธรรมทางการแพทย์ของตนสูงขึ้นมาอย่างน่าใจหาย โดยที่ตนเองยังไม่อยากจะเชื่อเสียด้วยซ้ำ

ในช่วงสิบวันที่ผ่านมานั้น เฟิ่งชิงเฉินจึงได้แต่อยู่ในห้องนอนของตนอย่างสบายใจ หากแต่ผู้ที่เป็นทุกข์นั้น ย่อมต้องเป็นองค์จักรพรรดิและตงหลิงจื่อลั่ว เนื่องจากว่า พวกเขากำลังจับจ้องรอเสด็จอาเก้าลงมืออยู่ ทั้งยังรอฟังข่าวการตายของเฟิ่งชิงเฉินออกมาอีกด้วย ทว่า หลังจากที่พวกเขารอมาเป็นเวลานานพลันรู้สึกหมดหวังยิ่งนัก

ฝ่าบาทที่รอฟังข่าวอยู่ที่เรือนแยกหลวงหลีซานนั้น ก็พลันต้องเดินทางกลับพระราชวังไปในทันที พระองค์เข้าใจอาการของเฟิ่งชิงเฉินเป็นอย่างดี นางเป็นไข้ไปถึงสามวันเต็ม ๆ เช่นนี้ หากฟื้นขึ้นมา อย่างไรก็ย่อมกลายเป็นคนโง่ไปแล้ว เรื่องนี้ทำให้ฝ่าบาทรู้สึกเสียดายยิ่งนัก ที่พระองค์ต้องมาเสียหมากในมือไปเช่นนี้ แม้แต่ปลาสักตัวก็ไม่อาจตกขึ้นมาได้อีก

หลังจากที่ฝ่าบาทเสด็จกลับพระราชวังในวันที่สองนั้น หลี่ซุนจึงได้เดินทางเข้าวัง เพื่อขอเข้าพบฝ่าบาทในทันที หากแต่ในครานี้ ฝ่าบาทหาได้มีท่าทีทำให้ลำบากใจไม่ พร้อมทั้งยังสั่งให้หมอหลวงออกมาดูอาการให้เฟิ่งชิงเฉินอย่างใจกว้าง

หลังจากที่หมอหลวงทั้งหลายต่างจับชีพจรให้กับเฟิ่งชิงเฉินแล้วนั้น สีหน้าพลันมืดครึ้มไปในทันที พร้อมทั้งยกมือขึ้นเขียนอะไรบางอย่างลงไปในกระดาษ พลางหันกายเดินกลับไปยังราชวังด้วยฝีเท้าที่หนักอึ้ง ทั้งยังแอบส่งสัญญาณบอกกล่าวกับผู้คนในจวนเฟิ่งว่า อาการของเฟิ่งชิงเฉินมิใคร่ดีนัก ให้เตรียมใจเผื่อกันไว้ด้วย

ทั้งทงจือและทงเหยา สาวใช้ทั้งสองต่างพากันร่ำไห้ออกมาราวกับหยาดน้ำตากลายเป็นสายเลือด จวนเฟิ่งในยามนี้ พลันตกอยู่ในความโศกเศร้าไปในทันที ราวกับว่า อีกไม่นานเฟิ่งชิงเฉินจะต้องจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ

หากแต่ฝ่าบาทหาได้มีท่าทีแปลกใจอันใดไม่ เรื่องนี้อยู่ในความคาดการณ์ของพระองค์แล้ว แต่ทว่า พระองค์ยังคงแสร้งขู่หมอหลวงทั้งหลายว่า ให้ทำการชุบชีวิตของเฟิ่งชิงเฉินขึ้นมาให้ได้ หมอหลวงต่างก็มีสีหน้าหนักใจยิ่งนัก จึงได้แต่ขอตัวลากลับไป พร้อมกับข่าวลือที่กระจายออกมาว่า เฟิ่งชิงเฉินใกล้จะตายแล้ว

เพียงข่าวลือถูกแพร่กระจายออกมานั้น หวังจิ่นหลิงพลันรีบมุ่งหน้าไปที่จวนเฟิ่งในทันที แต่ทว่า เขากลับโดนหลี่ซุนขัดขวางเอาไว้ ยามที่มุ่งหน้าเข้าวังเพื่อไปขอเข้าเฝ้าต่อฝ่าบาท เพื่อต้องการเข้าไปเยี่ยมเยียนเฟิ่งชิงเฉินนั้น ฝ่าบาทกลับมิยินยอม เพียงกล่าวปลอบใจหวังจิ่นหลิงกลับมาว่า มีหมอหลวงอยู่เฟิ่งชิงเฉินมิอาจเป็นอันใดได้ ทั้งยังบอกกับหวังจิ่นหลิงว่ามิต้องเป็นกังวลและมิต้องไปเชื่อในข่าวลือมากนัก

ไม่เพียงแค่นั้น การลงมือของฝ่าบาทในครานี้ พระองค์พลันกล่าวว่า เกิดการลอบสังหารภายในจวนเฟิ่ง เฟิ่งชิงเฉินในยามนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส พร้อมทั้งสั่งให้ทหารอีกห้าร้อยนายไปทำการปกป้องเฟิ่งชิงเฉินที่จวนในทันที

ผู้คนภายนอกย่อมต้องมองว่า องค์จักรพรรดิทรงเอ็นดูเฟิ่งชิงเฉินยิ่งนัก หากแต่ผู้ใดจะล่วงรู้จิตใจของโอรสมังกรได้เล่า การกระทำของฝ่าบาทในครานี้ ถือเป็นการจับตาและส่งสัญญาณเตือนมิให้หวังจิ่นหลิงบุกเข้าไปที่จวนเฟิ่ง ในยามนี้ จวนเฟิ่งจึงมีองครักษ์เงาอยู่ภายในจวนมากมายมิต่างกับในวังหลวงเลยทีเดียว หากหวังจิ่นหลิงต้องการจะลักลอบเข้าไปนั้น ยังไงเขาก็ไม่อาจทำได้

การเคลื่อนไหวขององค์จักรพรรดิเช่นนี้ ผู้ที่มีแววตาเฉียบแหลมย่อมรับรู้ได้ว่า ฝ่าบาทกำลังพยายามบีบบังคับให้หวังจิ่นหลิงทำอะไรเกินเลยอยู่ ทั้งยังแสร้งปั่นหัวให้หวังจิ่นหลิงเกิดความกังวลใจ เพียงแค่ทำเรื่องบุ่มบ่ามขึ้นมานั้น ฝ่าบาทย่อมต้องจัดการตระกูลหวังในทันที

การที่ฝ่าบาทอยากจะจัดการตระกูลหวังนั้น มิอาจจัดการได้ภายในหนึ่งวันหรือสองสามวันนี้ไม่ แต่น่าเสียดายนัก เนื่องจากตระกูลหวังจะกระทำสิ่งใด มักจะทำด้วยความรอบคอบเสมอ จึงเป็นการยากที่พวกเขาจะเผลอพลั้งพลาดออกมาได้ง่าย ๆ แต่หากโอกาสตกมาอยู่ในมือของฝ่าบาทเมื่อใดแล้ว พระองค์ย่อมมิปล่อยโอกาสที่จะจัดการตระกูลหวังไปโดยง่ายอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าในคราแรก เป้าหมายของพระองค์หาใช่หวังจิ่นหลิงไม่ หวังจิ่นหลิงเป็นเพียงผลพลอยได้ในหมากตานี้เฉย ๆ

แต่เดิมฝ่าบาทต้องการยืมมือเรื่องของเฟิ่งชิงเฉิน เพื่อทำให้หมากในกระดานของเสด็จอาเก้าเกิดความสับสนวุ่นวาย ทั้งยังอยากให้เสด็จอาเก้าออกหน้าเพื่อช่วยเหลือเฟิ่งชิงเฉิน แต่ในความเป็นจริงแล้ว หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ยามที่เสด็จอาเก้าได้ยินข่าวการใกล้ตายของเฟิ่งชิงเฉินนั้น พระองค์มีเพียงใบหน้าที่เศร้าหมองลงเท่านั้น นอกนั้นเสด็จอาเก้ายังทำตัวเป็นปกติดียิ่งนัก

ฝ่าบาทรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง แต่ในขณะเดียวกัน ฝ่าบาทก็คิดการณ์ใดด้วยความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น

สตรีงามในแผ่นดินใหญ่ ย่อมต้องอยู่เบื้องหลังของแว่นแคว้นเสมอ หากว่า เพียงเพราะสตรีนางเดียว ทำให้ตงหลิงจิ่วถึงกับขาดสติในการรับมือ นั่นย่อมมิใช่ตงหลิงจิ่วที่เขารู้จัก ทั้งยังมิใช่คนของตระกูลตงหลิงอีกด้วย บุรุษตระกูลตงหลิงนั้น มิมีวันยอมทำทุกอย่างเพียงเพราะสตรีนางหนึ่งอย่างแน่นอน

สตรีงามในแผ่นดินใหญ่ ย่อมต้องอยู่เบื้องหลังของแว่นแคว้นเสมอ หากว่า เพียงเพราะสตรีนางเดียว ทำให้ตงหลิงจิ่วถึงกับขาดสติในการรับมือ นั่นย่อมมิใช่ตงหลิงจิ่วที่เขารู้จัก ทั้งยังมิใช่คนของตระกูลตงหลิงอีกด้วย บุรุษตระกูลตงหลิงนั้น มิมีวันยอมทำทุกอย่างเพียงเพราะสตรีนางหนึ่งอย่างแน่นอน

ชื่นชอบนับว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เพียงเพราะสตรีนางเดียว ถึงกับทำให้สูญเสียตนเองไปนั้น บุรุษในตระกูลตงหลิงมิมีทางทำเช่นนั้น

บุรุษในตระกูลตงหลิงหาใช่เช่นตระกูลหลานในราชวงศ์ก่อนไม่ ที่จะได้เดินทางบุกป่าฝ่าดงเพื่อสร้างหลุมฝังศพให้สตรีของตน ที่จะได้กล้าทำลายเลือดเนื้อตนเองเพียงเพื่อสตรีนางหนึ่ง

เมื่อไม่อาจจับปลาตัวใหญ่เช่นเสด็จอาเก้าได้ หากสามารถตักกุ้งตัวเล็กเช่นหวังจิ่นหลิงได้ ฝ่าบาทย่อมต้องใช้โอกาสนี้ ในการเพ่งเล็งไปที่หวังจิ่นหลิงแทน

น่าเสียดายนักที่ฝ่าบาทประเมินเสด็จอาเก้าสูงส่งเกินไป ทั้งยังประเมินหวังจิ่นหลิงต่ำไปอีกด้วย แม้ว่าหวังจิ่นหลิงจะร้อนใจมากเพียงใด แต่เขาหาได้ทำในสิ่งที่ฝ่าบาทคิดไม่ ทั้งยังมิได้คิดทำสิ่งใดที่เป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ของตระกูลหวังอีกด้วย

ฝ่าบาททำได้แต่ทนรอ จนกระทั่งผ่านไปได้สิบกว่าแล้ว ไม่เพียงแต่จะไม่ได้ยินข่าวการตายของเฟิ่งชิงเฉินออกมา ทั้งยังมิอาจหาเรื่องมาจับผิดหวังจิ่นหลิงได้อีก

นับว่าชีวิตของเฟิ่งชิงเฉินไม่ธรรมดาเสียจริง หมอหลวงถึงกับรายงานว่านางใกล้จะตายแล้ว ทว่า ผ่านไปนับสิบวันแล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววข่าวการตายของเฟิ่งชิงเฉินหลุดออกมาไม่

ฝ่าบาทโมโหยิ่งนัก ไม่ว่าจะเปลี่ยนหมอหลวงไปดูอาการสักกี่คน ทุกครั้งที่หมอหลวงมีการจับชีพจรของนางนั้น ต่างพากันกล่าวว่า ขาข้างหนึ่งของนางได้ก้าวเข้าไปสู่ปรโลกแล้ว ในยามนี้เหลือเพียงลมหายใจสุดท้ายของนางเท่านั้นที่จะไปเมื่อไหร่ก็ย่อมได้

แต่ทว่า ผ่านไปได้สิบกว่าวันแล้ว เฟิ่งชิงเฉินยังไม่ตกตายไปแต่โดยดี หากมิใช่สายลับที่เขาส่งไปในจวนเฟิ่งกลับมารายงานว่า อาการของเฟิ่งชิงเฉินมิสู้ดีนัก ฝ่าบาทย่อมต้องสงสัยในตัวหมอหลวงว่าพวกเขาทำการวินิจฉัยอาการผิดพลาดหรือไม่

หากว่าไม่ตายก็ไม่ตาย อีกทั้งภายในสิบวันที่ผ่านมานั้น มิเห็นทั้งเสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงจะเคลื่อนไหวอันใดไม่ องค์จักรพรรดิในยามนี้จึงรู้สึกท้อใจเล็กน้อย

“ดูเหมือนว่า ข้าจะประเมินหมากเช่นเจ้าผิดไปนักเฟิ่งชิงเฉินตระกูลหลานในราชวงศ์ก่อนนั้น เพียงเพื่อสตรีนางหนึ่ง ถึงกลับสามารถทำลายบรรพบุรุษของตนเองได้ แม้ว่าคุณชายใหญ่ของตระกูลหวังจะเป็นคนเช่นกัน แต่ก็ไร้ใจมิต่างกับเจ้าเก้าเลยทีเดียว ” องค์จักรพรรดิพลันกล่าวพึมพำออกมาด้วยท่าทีเยาะเย้ย

อีกทั้งหมากในการกำจัดเฟิ่งชิงเฉินในครานี้ หาใช่เขาที่เป็นคนวางแผนขึ้นมาไม่ เขาเพียงพายเรือไปตามน้ำเท่านั้น ถึงแม้ว่าฝ่าบาทจะมิใคร่พอใจนัก แต่พระองค์ก็แสดงออกมาอย่างชัดเจนมากไม่ได้

ยิ่งใกล้วันงานราชสมภพขึ้นมาเมื่อใด อาการของหลี่เซี่ยงพลันดีขึ้นมาเรื่อย ๆ ฝ่าบาทจึงเลิกสนใจเรื่องของเฟิ่งชิงเฉินไปในทันที หมากที่ไร้ประโยชน์ จะมีสิ่งใดที่ฝ่าบาทคู่ควรให้ความสนใจกัน หากเปรียบเทียบทุกอย่างในใต้หล้าแล้ว เฟิ่งชิงเฉินหาได้มีค่าถึงเพียงนั้นไม่

“พี่ใหญ่” เพียงแค่หวังชีมาถึงเรือนลั่วถังนั้น ก็พลันเห็นร่างซูบผอมร่างหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นลั่วถังในทันที พร้อมกับเหม่อมองไปยังทิศทางของจวนเฟิ่งโดยมิเอ่ยสิ่งใดออกมา

กลิ่นอายโดยรอบของหวังจิ่นหลิงพลันเต็มไปด้วยความโศกเศร้ายิ่งนัก แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานนับสิบวันแล้วก็ตาม ทั่วร่างของเขาดูซูบผอมลงเป็นอย่างมาก เสื้อคลุมที่อยู่บนร่างกายของเขาในยามนี้ ราวกับกำลังคลุมสิ่งที่ว่างเปล่าลอยอยู่ในอากาศก็ไม่ปาน

หวังชีที่เห็นเช่นนั้น เขาพลันรู้สึกปวดใจยิ่งนัก นอกจากเขาที่ทำได้แต่เจ็บใจแล้ว เขาก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้อีก ทั้งยังไม่อาจยื่นมือเข้าไปช่วยเหลืออันใดได้อีกด้วย

คุณชายใหญ่ตระกูลหวัง เขาหาได้มีอำนาจเป็นของตนเองไม่ ชื่อเสียงและอำนาจ ทุกอย่างที่พวกเขามีล้วนแต่เป็นของคนตระกูลหวังหมด ไม่ว่าเขาจะคิดทำสิ่งใด ก็ย่อมต้องนึกถึงตระกูลหวังเข้าไว้ การเป็นคุณชายใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังนั้น ย่อมหนีไม่พ้นภาระอันใหญ่หลวงที่กำลังค้ำบ่าอยู่เช่นกัน

“จิ่นหานมาแล้วหรือ” หวังจิ่นหลิงพลันหันหน้ากลับมา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แววตาเองก็เต็มไปด้วยความอ่อนหวานระคนห่วงใยเช่นกัน

คุณชายใหญ่ผู้อ่อนโยนคือหน้ากากของหวังจิ่นหลิง เนื่องจากเขาสวมใส่หน้ากากนี้มาเป็นเวลานานแล้ว ในยามนี้จึงยากที่จะวางมันลงได้

เมื่อเห็นหวังจิ่นหลิงที่มีสภาพเช่นนี้ หวังชีพลันรู้สึกอัดอั้นตันใจยิ่งนัก คนนอกเอาแต่มองเห็นถึงความสามารถของคุณชายใหญ่ หาได้มีผู้ใด เข้าใจถึงความรู้สึกอันขมขื่นภายในใจของคุณชายใหญ่ไม่

“พี่ใหญ่ ข้าได้ยินท่านแม่เล่าว่า ท่านอาการมิใคร่ดีนัก เหตุใดถึงยังออกมายืนตากลมเช่นนี้อีกเล่า”

“แค่ก แค่ก ข้าไม่เป็นไร” เรื่องนี้ทั้งหวังจิ่นหลิงและเฟิ่งชิงเฉินเองมีความเหมือนกันยิ่งนัก ชอบทำเหมือนว่าผู้อื่นไม่รู้เรื่องอันใด แม้ว่าตนเองใกล้จะขาดใจตายแล้วตาม แต่ก็ยังสามารถบอกว่าตนเองมิเป็นอันใดได้อีก

“พี่ใหญ่ ท่านมิต้องเป็นกังวลไป เฟิ่งชิงเฉินหาใช่คนธรรมดาไม่ นางตายไม่ได้หรอก คำพูดของหมอหลวงย่อมต้องเป็นคำพูดหลอกลวงอย่างแน่นอน นี่ก็ผ่านไปสิบกว่าวันแล้ว ยังไม่มีวี่แววข่าวการตายของนางออกมาเลย”

หวังจิ่นหลิงมิได้เอ่ยอันใด เพียงแค่ชำเลืองมองไปยังทิศทางของวังหลวง นัยน์ตาของเขาพลันมีประกายแสงไฟออกมาโดยไม่อาจหยั่งถึงจิตใจภายในได้

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท