นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 356 ทิวทัศน์ที่งดงาม

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

ช่วยนางโดยไม่มีข้อแม้งั้นหรือ หากเฟิ่งชิงเฉินเชื่อเขา นางคงเป็นคนบ้าไปแล้วกระมัง

เฟิ่งชิงเฉินจึงทิ้งมีดผ่าตัดของนางให้กับเสด็จอาเก้า ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการกระทำที่หวังผลกำไรก็เถอะ ยังมาทำท่าทีเยือกเย็นสูงส่งเช่นนี้ เขาสามารถโกหกผู้อื่นได้แต่ไม่อาจโกหกนางได้หรอก คำพูดที่สวยหรู บอกว่าจะช่วยนางโดยไร้ข้อแม้ แต่ทว่าหลังจากนี้เขาย่อมต้องเรียกคืนนางทบต้นทบดอกเลยทีเดียว

นางเชื่อว่าบุรุษผู้นี้ชอบนาง แต่ทว่าเขามีจิตใจที่ทะเยอทะยานมากเกินไป ถ้าหากนางเป็นสตรีหัวอ่อนที่ไร้เดียงสา ทั้งยังไม่มีความสามารถมากมาย นางเชื่อว่าบุรุษเช่นนี้ ไม่มีทางชายตามองนางอย่างแน่นอน

เฮ้อ เฟิ่งชิงเฉินค่อย ๆ ถอนหายใจออกมา ถึงแม่ว่าปากของเสด็จอาเก้าจะบอกว่าช่วยนางโดยไม่มีข้อแม้ หากนางไม่ให้ประโยชน์ต่อเขาจริง ๆ วันหน้าเสด็จอาเก้าคงได้มาคิดบัญชีกับนางอย่างแน่นอน

จู่ ๆ เฟิ่งชิงเฉินพลันนึกขึ้นมาได้ว่า นางมีการพัฒนาขึ้นมาแล้ว นางมิได้คิดว่าเสด็จอาเก้าเป็นพระเจ้าที่แตะต้องไม่ได้แต่อย่างใด เนื่องจากนางพบว่า ภายใต้ความเย่อหยิ่งที่แสนเย็นชาของพระองค์นั้น ในใจของเสด็จอาเก้าก็ยังมีด้านที่เป็นคนธรรมดาอยู่เช่นกัน

หลังจากนั้นไม่นาน เฟิ่งชิงเฉินจึงได้เข้าใจได้ว่า หัวใจของเสด็จอาเก้านั้น เพียงปฏิบัติต่อนาง “ธรรมดา” เท่านั้น

เฟิ่งชิงเฉินจึงได้ก้าวไปด้านหน้า พร้อมกับชิงจับมือของเสด็จอาเก้าก่อน ยามนึกถึงเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น นางก็อดมิได้ที่จะยิ้มมุมปากขึ้นมา “ท่านลงแรงช่วยข้าเช่นนี้ ไปกันเถอะ ข้าจะเชิญท่านไปชมทิวทัศน์ที่งดงาม”

พูดจบ เฟิ่งชิงเฉินหาได้สนใจว่าเสด็จอาเก้าจะยินยอมหรือไม่ ก็พลันพาคนเดินออกไปในทันที ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ย่อมต้องมีคนมาร่วมแบ่งปันความสุขด้วยกัน เสด็จอาเก้าย่อมเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียว

เสด็จอาเก้ามิได้ปฏิเสธนาง เขาปล่อยให้เฟิ่งชิงเฉินดึงมือเขาไปเช่นนั้น เรียวนิ้วที่เย็นยะเยือกมิอาจกอบกุมฝ่ามือขนาดใหญ่ของเขาได้มิด เดินไปได้ไม่นาน นิ้วเรียวทั้งสิบพลันกอบกุมเข้าด้วยกันในทันที

นิ้วมือใหญ่และนิ้วมือเล็กต่างก็แนบชิดติดกัน เสด็จอาเก้ารู้สึกพอใจกับการจับมือเช่นนี้ยิ่งนัก ภายในใจพลันแอบครุ่นคิดว่า หากตนเองสามารถจับมือเดินไปข้างหน้าด้วยกันเช่นนี้ได้ เขาก็คิดว่าเป็นวิธีการที่ไม่เลวนัก

แน่นอนว่า มันเป็นความคิดเพียงชั่ววูบเท่านั้น ตัวตนของเขาไม่อาจทิ้งภาระทุกอย่างของตนเพื่อสตรีนางเดียวไปได้

ยามราตรีเช่นนี้ มุมปากของเสด็จอาเก้าพลันยกยิ้มขึ้นมาอย่างนุ่มนวล ทว่า หลังจากเดินผ่านมาแล้ว หนึ่งก้านธูป รอยยิ้มของเสด็จอาเก้าพลันค่อย ๆ แข็งค้างไปในทันที พร้อมทั้งอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามว่า “เจ้าจะไปที่ใด?”

ทางนี้เป็นทางที่ไปตำหนักขององค์จักรพรรดิ เฟิ่งชิงเฉินรนหาที่ตายหรืออย่างไร? หรือว่านางต้องการที่จะไปส่งของขวัญให้ฝ่าบาทกัน “ไปมอบของขวัญงั้นรึ?”

ไม่ได้ ฝ่าบาทยังตายตอนนี้ไม่ได้!

“ออกจากวัง” เฟิ่งชิงเฉินตอบตามตรง หากไม่ออกจากวังแล้วจะให้นางอยู่ที่นี่ไปทำไมกัน เสด็จอาเก้ามิรู้หรือ ว่านางเกลียดสถานที่เช่นนี้มากเพียงใด ครั้งนี้ หากมิใช่ว่ามีเรื่องให้ต้องเข้ามาถึงที่นี่ นางย่อมไม่ย่างกรายเข้ามาเป็นอันขาด

เอ่อ หัวสมองของเสด็จอาเก้าพลันว่างเปล่าไปในทันที ที่แท้ สตรีก็ไม่อาจพึ่งพาได้ หากแต่ เมื่อเผชิญหน้ากับแววตาที่ตื่นเต้นดีใจของเฟิ่งชิงเฉินนั้น คำพูดที่พร้อมจะระเบิดออกมาเมื่อครู่ เสด็จอาเก้าก็ได้แต่กลืนลงคอไป พร้อมกับลากเฟิ่งชิงเฉินให้เดินไปอีกทางหนึ่ง “ไปทางนี้จะไวกว่า”

ถึงแม้จะเอ่ยออกมาเช่นนี้ แต่เฟิ่งชิงเฉินรู้ดี ว่าเสด็จอาเก้าเห็นแก่หน้าของนางมากนัก แท้จริงแล้ว นางคงจะเดินไปผิดทาง

เอ่อ

ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉิน “ฟึบ” พลันแดงก่ำออกมาในทันที แววตาพลันเหม่อมลอยราวกับไม่กล้าพบหน้าผู้ใด

“โอ๊ย” จู่ ๆ เสด็จอาเก้าก็หยุดเดิน เฟิ่งชิงเฉินที่มิได้ทันระวังนั้น ก็พลันชนกับแผ่นหลังของเสด็จอาเก้าในทันที จมูกของนางพลันโดนกระแทกจะเป็นรอยแดงนูนขึ้นมา หยาดน้ำตาพลันเอ่อคลอขึ้นมาในทันที

เจ็บ เจ็บจมูกยิ่งนัก!

“เด็กโง่ เจ้าไม่มองทางเลยหรือ”เสด็จอาเก้าย่อมไม่ยอมปล่อยโอกาสที่จะรังแกเฟิ่งชิงเฉินไปง่าย ๆ ก่อนหน้านั้นเขาอดทนมามากพอแล้ว ในยามนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเอาคืนเสียบ้าง ป้องกันไม่ให้นางเหิมเกริมจนเกินไป จนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาอีก ทว่า เมื่อเห็นสีหน้าที่บูดเบี้ยว เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของเฟิ่งชิงเฉินนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้าไปจับจมูกของนางเบา ๆ พร้อมกล่าวถามด้วยความอ่อนโยนว่า “เจ็บมากหรือ?”

พรึบ สีหน้าที่แดงก่ำของนางเมื่อครู่เพิ่งจะจางหายไปได้ไม่นาน ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินในยามนี้ พลันเห่อร้อนขึ้นมาอีกแล้ว

ฮื่อ ฮื่อ ฮื่อ น่าขายหน้ายิ่งนัก!

“ไม่เจ็บแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินพลันเก็บสีหน้าลงในทันที พร้อมทั้งก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ยามที่กำลังจะหลีกเลี่ยงกรงเล็บของเสด็จอาเก้านั้น มือของนางพลันถูกคว้าเอาไว้ จนไม่อาจขยับไปที่ใดได้อีก จึงได้ก้มหน้ากล่าวน้ำเสียงอู้อี้ว่า “รีบไปกันเถอะ หากไปช้ากว่านี้ พวกเราอาจจะพลาดสิ่งดี ๆ ไปก็ได้”

เสด็จอาเก้าพลันเม้มริมฝีปากของตนเองเอาไว้ เพื่ออดกลั้นมิให้ตนเองปล่อยเสียงหัวเราะของตนออกมา ถึงแม้ว่านี่จะมิใช่ครั้งแรกที่เฟิ่งชิงเฉินเผลอทำเรื่องน่าอายต่อหน้าเขา แต่ทว่า เขากลับรู้สึกว่ามันแตกต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง ทั้งยังทำให้ทั่วร่างของเขารู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก ถึงแม้จะมิได้นอนถึงหนึ่งคืน แต่เขากลับรู้อารมณ์ดีเป็นอย่างมาก

ยามที่เสด็จอาเก้าหันหลังให้กับเฟิ่งชิงเฉินนั้น เขาถึงได้กล้าหัวเราะออกมา โดยมิได้มีเสียง

ที่แท้ เฟิ่งชิงเฉินก็มีด้านที่เบ๊อะบ๊ะเช่นนี้ด้วย!

ดียิ่งนัก เขาชอบ!

เสด็จเอาก้าอารมณ์ดี แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับรู้สึกหดหู่เป็นอย่างยิ่ง ก่อนหน้านั้น นางทำตัวอับอายขายหน้าต่อเสด็จอาเก้านางยังพอเข้าใจได้ แต่ตอนนี้เล่า? ตอนนี้? ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ เลย ยามที่นางออกจากจวน นางต้องก้าวขาออกจากจวนผิดข้างเป็นแน่ เหตุใดทำอะไรถึงไม่ราบรื่นเช่นนี้

อีกทั้งยังไม่รู้ว่า เรื่องของหลี่เซี่ยงจะราบรื่นหรือไม่

ขอให้ทวยเทพโปรดอวยพร มิให้เสด้จอาเก้าลักลอบเก็บระเบิดของนางไว้กับตนเองด้วยเถิด มิเช่นนั้น นางที่ทำให้หลี่เซี่ยงต้องถูกระเบิดจนไหม้เกรียมแล้ว ก็ยังต้องมาระเบิดตนเองและเสด็จอาเก้าตายตามไปด้วยอีก เช่นนั้นมันช่างเป็นการตายที่ไม่ยุติธรรมจริง ๆ

เมื่อมีเสด็จอาเก้านำทางเช่นนี้ แม้แต่กบสักตัวก็หาได้ทำความรำคาญให้กับพวกเขาทั้งสองคนไม่ อีกทั้งยังเดินทางกลับมาที่ ที่พวกเขาซ่อนตัวในคราแรกด้วยความราบรื่นอีกด้วย จู่ ๆ สายตาของพวกเขาก็ไปหยุดอยู่ตรงเตียงไม้ในทันที

แม้ว่าภายในอากาศจะหาได้มีกลิ่นหอมอันใดไม่ หากแต่ทั้งสองพลันรู้สึกว่าอากาศโดยรอบจู่ ๆ ก็ร้อนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เฟิ่งชิงเฉินที่รู้สึกเริ่มคอแห้ง พลันเลียริมฝีปากด้วยความลืมตัว

เสด็จอาเก้าที่หันหน้าไปเห็นเฟิ่งชิงเฉินกำลังเลียงริมฝีปากของตนนั้น ริมฝีปากที่เรียวเล็กสีชมพูพลันดูอิ่มฟูเป็นอย่างยิ่ง การที่นางทำเช่นนี้ มิใช่เป็นการเชื้อเชิญเขาหรอกหรือ?

สายตาของเสด็จอาเก้าที่ร้อนแรง พลันจับจ้องไปที่ริมฝีปากของเฟิ่งชิงเฉินในทันที พร้อมกับร่างกายที่ตอบสนองไวกว่าสมองที่คอยสั่งการ เขาค่อย ๆ เอนตัวเข้าไปหา

เฟิ่งชิงเฉินที่เห็นเช่นนั้น พลันตื่นตระหนกยิ่งนัก พร้อมทั้งรีบร้อนเอามือทั้งสองข้าง กั้นเว้นระยะห่างระหว่างทั้งสองคนในทันที พลางแสร้งทำเป็นมิรู้เรื่อง แล้วจึงก้มหน้าลงกล่าวว่า “เสด็จอาเก้า พวกเราไปกันเถอะเพคะ หากมิไปตอนนี้ พวกเราอาจจะไม่ทันการ”

เป็นคำหลีกเลี่ยงสถานการณ์ในยามนี้ได้ดียิ่งนัก เสด็จอาเก้าที่รู้ทันเฟิ่งชิงเฉินนั้น ก็มิได้ทำให้นางลำบากแต่อย่างใด

เพียงแค่สตรีที่ตนเองชื่นชอบเท่านั้น เขาถึงจะยินยอมให้นางทำตัวเหิมเกริมใส่ได้ ทั้งยังรับได้ในนิสัยเล็ก ๆ น้อย ๆ ของนางอีกด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะมิใคร่เต็มใจเท่าใดนัก แต่ในเมื่อเฟิ่งชิงเฉินแสดงออกว่าไม่ยินยอม เสด็จอาเก้าจึงได้แต่ต้องอดทนอดกลั้นมันเอาไว้ พร้อมกับจับมือเฟิ่งชิงเฉิน เดินออกไปทางลับในทันที

เฟิ่งชิงเฉินที่เดินตามหลังนั้น พลันยกมือของตนเองเข้ามาทาบไว้ที่อก พร้อมทั้งแย้มยิ้มออกมาราวกับคนโง่

เสด็จอาเก้านับว่าเป็นบุรุษที่ไม่แย่นัก นับว่าเป็นสุภาพบุรุษเลยทีเดียว ทั้งยังสูงส่งยิ่งนัก ความรู้สึกภายในใจจึงเริ่มเอนเอียงไปหาเสด็จอาเก้าอีกครั้ง เมื่อเฟิ่งชิงเฉินรู้สึกตัวขึ้นมา ก็พลันรีบร้อนตบหัวตนเอง ทั้งยังก่นด่าสมองหมูของนาง เสด็จอาเก้าจะดีหรือไม่แล้วเกี่ยวกันใดกับนางกัน บุรุษดี ๆ ในใต้หล้ายังมีอีกมากมายนัก

เสด็จอาเก้าที่สังเกตเห็นเฟิ่งชิงเฉินที่ยิ้มแย้มออกมา จู่ ๆ ก็ทำทีโมโหกระฟัดกระเฟียดนั้น ก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาด้วยความปลงตก จิตใจของสตรียากแท้หยั่งถึงจริง ๆ

หลังจากที่ออกมาจากเส้นทางลับแล้วนั้น ก็พลันพบว่ารถม้าไม่อยู่แล้ว แม้แต่ร่องรอยของล้อรถม้าก็ไม่มี เฟิ่งชิงเฉินจึงอดไม่ได้ที่จะต้องพูดออกมา ทว่า ฝ่ามือของเสด็จอาเก้าหาได้ปล่อยนางไปไม่

“พวกเราจะไปที่ใด?” เสด็จอาเก้าพูดเตือนสตินางอีกครั้ง ก่อนหน้านั้นนางเป็นคนเอ่ยปากชวนเขาไปดูิวิวทิวทัศน์แล้ว ในเมื่อไม่อาจจุมพิตสาวงามได้ เช่นนั้นการไปชมทิวทิศน์กับสาวงามก็คงพอจะทดแทนกันได้อยู่กระมัง

เฟิ่งชิงเฉินแอบกลอกตาเล็กน้อย พร้อมกับแย้มยิ้มกล่าวว่า “ในเมื่อไม่มีรถม้าเช่นนี้ พวกเราคงไปไหนมิได้แล้ว มิสู้วันหลังค่อยไปด้วยกัน วันนี้ต่างคนต่างแยกย้ายกันเถอะ” พูดจบ ยามที่กำลังเตรียมตัวสะบัดมือของเสด็จอาเก้าออกนั้น

ช่างเป็นเหตุผลที่ดีนัก เช่นนี้จะได้ไม่ต้องออกไปด้วย

หนี? คิดจะหนีงั้นรึ หาได้ง่ายดายถึงเพียงนั้นไม่

“ไม่ต้องรอวันหน้า ไปวันนี้ รออยู่นี่!” เสด็จอาเก้าพลันดึงมือของเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้ ราวกับจะบอกว่า ข้ารู้แล้วว่าเจ้าจะต้องพูดเช่นนี้

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท