ฆ่าปิดปาก!
ยามที่เสด็จอาเก้าคิดที่จะฆ่าคนที่รู้เรื่องนั้น ภายในใจของเฟิ่งชิงเฉินพลันตกตะลึงขึ้นมาในทันที ทั้งยังรีบร้อนลุกขึ้นนั่งตัวตรง พร้อมกับหันไปกล่าวด้วยท่าทีจริงจังว่า “เสด็จอาเก้าเพคะ พวกเขาเพียงแค่ช่วยเป็นธุระให้กับชิงเฉินเท่านั้น พวกเขาหาได้รู้เรื่องนี้มากมายไม่ ชิงเฉินย่อมไม่บอกเล่าแผนการของตนเองให้ผู้ใดฟังอยู่แล้ว”
นางเข้าใจความคิดของเสด็จอาเก้าดี ทั้งยังเข้าใจในสิ่งที่เสด็จอาเก้าเป็นกังวลอีกด้วย แต่นางก็ไม่อาจเห็นด้วยกับการกระทำของเขาได้ ทั้งยังไม่อาจลงมือได้อีกเช่นกัน
คนพวกนั้นเพียงแค่ช่วยนางจัดการเท่านั้น ถ้าหากต้องการกำจัดคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดละก็ ผู้ที่ต้องมาตกตายคนแรกย่อมต้องเป็นซูเหวินชิงกับซุนเจิ้งเต้า จะให้นางลงมือกับพวกเขาได้อย่างไร
เสด็จอาเก้ารู้ดีว่าเฟิ่งชิงเฉินต้องพูดเช่นนี้ เขาพลันจับตัวเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้ “ได้ เรื่องต่อจากนี้เจ้าไม่ต้องมายุ่ง ส่วนเรื่องที่เหลือเปิ่นหวางจะเป็นคนจัดการเอง”
เขื่อนที่ยาวนับพันลี้ ยังถูกกองทัพมดทำลายลงได้ ความประมาทเลินเล่อแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้เช่นกัน เสด็จอาเก้ามิเต็มใจที่จะต้องเอาความปลอดภัยของเฟิ่งชิงเฉินมาเดิมพันเช่นนี้
“ไม่เอา ไม่ต้องฆ่าพวกเขา พวกเขาหาได้มีส่วนรู้เห็นในเรื่องนี้ไม่ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะพอคาดเดาได้นั้น ข้าก็เชื่อว่าพวกเขาจะไม่ปริปากออกมา พวกเขาเป็นเพียงผู้บริสุทธิ์เท่านั้น” สีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินพลันซีดขาวไปในทันที พร้อมกับจับชายเสื้อของเสด็จอาเก้าเอาไว้ ชีวิตความเป็นความตายของคนแปลกหน้านั้น นางหาได้สนใจไม่ แต่ชีวิตของคนที่อยู่รอบกายของนาง นางไม่อาจมองดูพวกเขาตายเพราะนางได้จริง ๆ
“บริสุทธิ์? เฟิ่งชิงเฉิน เจ้ามาใจอ่อนในยามนี้ มันสายไปหรือไม่ ในยามที่เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นมานั้น ผู้ที่ตายหาได้มีเพียงหลี่เซี่ยงเพียงผู้เดียวไม่ ยังมีผู้บริสุทธิ์นับไม่ถ้วนเช่นนางกำนัลและขันทีภายในมากมาย รวมไปถึงองครักษ์” เสด็จอาเก้าพลันกล่าววาจาเยาะเย้ยออกมา เขามิได้มีใจคิดจะทำร้ายนางไม่ เพียงแค่อยากให้นางรู้ว่า ใต้หล้าล้วนแต่เป็นเช่นนี้ หากต้องการจะมีชีวิตอยู่ต่อไป อย่าไปสนใจคนที่ไม่สำคัญในชีวิต
ในโลกนี้หาได้มีผู้บริสุทธิ์ไม่ และไม่มีผู้ที่ตายอย่างอยุติธรรมอีก หากจะโทษก็ต้องโทษที่พวกเขาโชคไม่ดีแทน
วันนี้เป็นเพราะหลี่เซี่ยง เฟิ่งชิงเฉินถึงได้โยงใยผู้บริสุทธิ์มากมายเข้ามาเกี่ยวข้อง ในขณะเดียวกัน วันพรุ่งนี้ก็จะมีคนหยิบเฟิ่งชิงเฉินไปโยงใยเพราะฆ่าผู้อื่นด้วยเช่นกัน และพวกเขาเหล่านั้นจะไม่ยอมรามือเพียงเพราะเป็นเฟิ่งชิงเฉิน
“ไม่ใช่ ข้ามิได้ฆ่าผู้บริสุทธิ์ เวลาของการระเบิดกับเวลาของการวางกับระเบิดนั้น ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ข้าคิดคำนวณไว้อยู่แล้ว ในยามนั้น ภายในตำหนักในมีเพียงหลี่เซี่ยงผู้เดียวเท่านั้น ด้านนอกตำหนักย่อมไม่มีผู้อื่นอีก ที่ท่านเห็นหมอกควันคละคลุ้งมากมายเช่นนั้น แต่แท้จริงแล้วอานุภาพของการฆ่ามิได้มากมายนัก เพียงแค่เว้นระยะห่างเพียงหนึ่งห้อง คนผู้นั้นหาได้ตายไม่ อย่างมากก็แค่บาดเจ็บสาหัสเท่านั้น วันนี้ผู้ที่ตายมีเพียงหลี่เซี่ยงเท่านั้น” เฟิ่งชิงเฉินรีบร้อนอธิบายออกมา
ถึงแม้ว่านางจะเป็นคนมีเมตตา แต่นางมิได้เป็นคนที่เลือกปฏิบัติ ผู้ใดที่คิดจะทำร้ายคนของนาง นางย่อมตอบแทนกลับด้วยความสาสม นางจะไม่ทำร้ายผุ้บริสุทธิ์เป็นอันขาด ถ้าหากมีการโยงใยผู้บริสุทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้องจริง ๆ นางย่อมไม่หลั่งน้ำตาเพราะความรู้สึกผิดออกมา
สิบวัน สิบวันที่นางคอยจับตาดูการใช้ชีวิตประจำวันของหลี่เซี่ยง พร้อมทั้งคำนวณเวลาที่ดีที่สุดในการลงมือ ก็เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นให้น้อยที่สุด
การโยงผู้บริสุทธิ์เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง กับการลงมือฆ่าคนด้วยความเห็นอกเห็นใจนั้น หาใช่แนวคิดเดียวกันไม่ นางไม่อาจลงมือฆ่าซุนเจิ้งเต้ากับซูเหวินชิงไปได้ เพียงเพราะพวกเขาเข้ามาช่วยเหลือนาง หากพวกเขาต้องตายจริง ๆ นางจะไปมีหน้าไปเจอซุนซือสิงและซูเหวินหางได้อย่างไรกัน
เสด็จอาเก้าพลันส่งเสียงฮึดฮัดออกมา เขามิได้เห็นด้วยและก็มิได้ปฏิเสธความคิดของนางเช่นกัน เฟิ่งชิงเฉินจึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง “เสด็จอาเก้า ชิงเฉินจะจัดการอันตรายที่ซ่อนตัวอยู่ด้วยตนเอง” นางมิใช่เสด็จอาเก้า ที่จะสามารถตัดสินใจฆ่าแกงผู้คนได้ทุกเมื่อ
อีกทั้งทั้งซุนเจิ้งเต้าและซูเหวินชิงเอง ต่างก็รับรู้อยู่แล้วว่า แผนการของนางมีความเสี่ยงมากเพียงใด แต่ทั้งสองคนหาได้มีท่าทีลังเลในการตอบรับคำขอของนางไม่ เพราะเหตุนี้ นางถึงไม่อาจลงมือต่อพวกเขาได้
“เจ้าจะจัดการเช่นไร? จะไปเตือนพวกเขาทีละคน หรือจะให้พวกเขาตายเช่นหลี่เซี่ยงเล่า ตายด้วย “เพลิงไฟ”? เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าอย่าได้ไร้เดียงสามากไปนัก ถ้าหากเจ้าไปจัดการพวกเขาแล้วละก็ เช่นนั้นเบาะแสของเจ้าจะอยู่ที่พวกเขาก็ย่อมมีมากขึ้นเท่านั้น เรื่องที่เจ้าทำระเบิดเทียนเหล่ยนั้น ก็ย่อมมีผู้คนล่วงรู้มากขึ้นไปอีก
เฟิ่งชิงเฉิน เรื่องนี้หาใช่เรื่องที่เจ้าจะสามารถควบคุมได้ อีกทั้งหาใช่เรื่องของเจ้าเพียงผู้เดียวไม่ เรื่องส่วนที่เหลือเจ้ามิต้องจัดการเอง เปิ่นหวางจะจัดการให้เอง รวมไปถึงคนที่เจ้าไม่อยากจะฆ่าด้วย เปิ่นหวางจะปล่อยพวกเขาไป ได้แต่หวังว่าพวกเขาจะรู้ตัวแล้วกัน เพื่อมิให้มีเหตุผลที่เปิ่นหวางจะฆ่าพวกเขาได้ ” เสด็จอาเก้ารีบพูดตัดบท เพื่อมิให้เฟิ่งชิงเฉินมีช่องทางปฏิเสธ
เรื่องนี้เกี่ยวพันกันมากมายนัก เขาเองหาได้ลงมือเพื่อเฟิ่งชิงเฉินผู้เดียวไม่ หากเฟิ่งชิงเฉินไปตกอยู่มือผู้ใดแล้วละก็ สำหรับเขาแล้วนับว่าเป็นระเบิดชั้นดี
เฟิ่งเชิงเฉินทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมกับพยักหน้าลง “เพคะ”
เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินมีท่าทีโอนอ่อนแล้วนั้น เสด็จอาเก้าก็รู้สึกพอใจยิ่งนัก “นั่งดี ๆ พวกเราจะเข้าเมืองแล้ว”
ประตูเมืองที่ถูกปิดสนิทนั้น พร้อมกับแถวอันยาวเหยียดที่รอเข้าไปในเมืองนั้น มีทั้งรถม้าและเกวียนวัวปะปนกันไปมา ผู้คนรู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก หากแต่หาได้มีผู้ใดกล้าตะโกนด่าทอไม่ หากก้าวเข้าไปก่อเรื่องนั้น ราษฎรย่อมไม่กล้าต่อกรกับเจ้าหน้าที่อยู่แล้ว การปิดประตูเมืองเช่นนี้ หาใช่เป็นครั้งแรกไม่ อย่างมากทุกคนก็เพียงระบายโทสะออกมาด้วยการพูดดัง ๆ เพื่อระบายอารมณ์ของตน
เมื่อเสด็จอาเก้าเห็นเช่นนั้น ก็ค่อย ๆ ปล่อยสายจูงม้าลง พร้อมทั้งลดความเร็วลงอีกด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ม้าวิ่งไปทำร้ายผู้คน หาใช่เป็นการแสดงความสุภาพไม่ แต่มันเป็นมารยาทสิ่งที่ผู้คนควรพึงกระทำอยู่แล้ว นี่ถือเป็นความดีมีคุณธรรมที่ติดตัวเขามา
เฟิ่งชิงเฉินพลันพยักหน้าลงเล็กน้อย พลันขบคิดกับตนเองว่า ถึงแม้ว่าบุรุษผู้นี้จะดูโหดเหี้ยมเย็นชาไปบ้าง แต่เขาปฏิบัติกับเหล่าราษฎรหาได้มีท่าทีวางตัวเช่นคุณชายผู้สูงศักดิ์ไม่ อย่างน้อยเขาก็ทำตัวราวกับปุถุชนคนทั่วไป
แต่มันจะมีคนประเภทหนึ่ง ที่สามารถเข้าถึงเขาได้ง่าย แม้ว่าเขาจะไม่ได้แสดงชนชั้นของตนออกมา ก็สามารถทำให้เหล่าราษฎรเคารพรักได้ กลิ่นอายในร่างกายของเสด็จอาเก้าเป็นเช่นนั้น แม้แต่เหล่าองค์ชายทั้งหลายได้มาเห็นเช่นนี้ ก็ไม่อาจทำตัวเป็นปุถุชนคนธรรมดาได้ เฉกเช่นเสด็จอาเก้า
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินและเสด็จอาเก้ามาปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันนั้น ในคราแรก เหล่าราษฎรหาได้สนใจอันใดไม่ เพียงมองเข้ามาแล้วก็มองผ่านไป แต่ทว่า เมื่อทั้งสองเข้ามาใกล้ ๆ แล้วนั้น พวกเขากลับพบว่า กลิ่นอายของพวกเขาทั้งสองไม่เหมือนกัน
โดยเฉพาะบุรุษที่อยู่บนหลังม้า แม้มิได้เอ่ยอันมดออกมา แต่แววตาที่เย็นชา กลับสยบให้ผู้คนต้องเคารพเขาในทันที พร้อมกับแผ่กลิ่นอายผู้สูงส่งออกมา
บรรยากาศที่อยู่ตรงประตูนอกเมืองพลันเปลี่ยนไปในทันที ราวกับโลกสองใบ แม้แต่ผู้คนที่กำลังคุยกันอยู่ยังต้องหยุดส่งเสียง เหล่าราษฎรที่แบกของอยู่บนหลังต่างก็ยืนตัวตรงอย่างไม่รู้ตัว ผู้คนที่นั่งอย่างสบายอยู่บนพื้น พลันลุกขึ้นมาในทันที ชายที่ทำตัวเสเพลเมื่อครู่ พลันกลายร่างเป็นคนสงบเสงี่ยมในทันที เหล่าสตรีทั้งหลายต่างพากันจัดแต่งอาภรณ์ของตนให้เรียบร้อย พร้อมกับปัดฟุ่นตามตัวลงไป ทุกคนล้วนแต่อยากเห็นคนที่อยู่บนหลังม้ากันทั้งนั้น ทว่าเมื่อเห็นเสด็จอาเก้านั้น ต่างก็พากันก้มหน้าลงไม่เอ่ยสิ่งใดอีก
เมื่อมองพวกเขาด้วยแววตาที่น่าเกรงขามนั้น ก็พลันเห็นการแสดงออกที่ขี้ขลาดของพวกเขาในทันที พลันทำให้ให้เฟิ่งชิงเฉินนึกถึงวันที่นางต้องเข้าเมืองไปในยามเช้านั้น ไม่อาจพูดได้เลยว่า คนเดียวกัน แต่หาได้มีชะตาชีวิตเช่นเดียวกันไม่
แม้ว่าจะเป็นคนเช่นกัน แต่เหตุใดถึงได้ต่างกันมากเพียงนี้? เฟิ่งชิงเฉินมั่นใจได้เลยว่า หากเปลี่ยนเป็นเสด็จอาเก้าที่อาภรณ์ไม่เรียบร้อยเข้าเมืองในยามเช้านั้น คนพวกนี้ย่อมไม่กล้าติติง และใช้แววตาสอดส่องสำรวจ พร้อมกับพ่นวาจาที่น่ารังเกียจออกมาอย่างแน่นอน
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฟิ่งชิงเฉินพลันรู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก ทุกครั้งที่นางเข้าวังในยามเช้า มิเคยมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นไม่ ในยามนี้ ยังมีเสด็จอาเก้าอยู่ด้วยเช่นนี้อีก ไม่รู้ว่านางจะดวงซวยเจอเรื่องอะไรอีกหรือไม่
“กังวลอันใดไป ในเมื่อมีเปิ่นหวางอยู่ข้างกายเจ้าเช่นนี้” เสด็จอาเก้านึกว่าเฟิ่งชิงเฉินกำลังเป็นกังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขาจึงได้จับมือของเฟิ่งชิงเฉินมาพูดปลอบใจ
เรื่องหาได้ร้ายแรงดั่งที่เสด็จอาเก้าคิดไม่ แต่เพราะว่าต้องการให้เฟิ่งชิงเฉินอยู่ข้างกาย เขาจึงพูดเกินจริงไปมาก หลี่เซี่ยงตายไปเช่นนี้ ผู้ที่ปวดหัวมากที่สุดย่อมต้องเป็น หนานหลิง ซีหลิงและเป่ยหลิงที่กำลังโมโห เนื่องจากฝ่าบาทย่อมต้องยุ่งมากเป็นแน่ และพระองค์จะไม่ยอมเพิกเฉยต่อผู้คนมากมายเพียงเพื่อมายุ่งกับเฟิ่งชิงเฉิน
เฟิ่งชิงเฉินมิได้อธิบายอันใดอีก เพียงแค่พยายามที่จะนั่งหลังตรง ในแผนการของนางหาได้มีเสด็จอาเก้าไม่ ทั้งยังมิได้ความคิดเลยว่าตนเองจะต้องมาขี่ม้าตัวเดียวกันกับเสด็จอาเก้า ฉะนั้นแล้ว นางจึงไม่รู้ว่า หลังจากที่นางเข้าเมืองไปได้แล้วนั้น นางจะต้องพบเจอกับอันใดบ้าง