นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 361 เปิดประตูเมือง ข้าจะเข้าเมือง

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ



ทรงอำนาจคืออะไร ทรงอำนาจก็คือไม่ต้องการคำพูดแม้เพียงสักคำ เพียงแค่ควบม้าไปข้างหน้าผู้ที่เรียงแถวรออยู่ก็แหวกทางให้โดยอัตโนมัติ

ไม่นานเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินก็มาถึงประตูเมือง ในขณะที่เฟิ่งชิงเฉินยังคงครุ่นคิดว่านางจะทำอย่างไรต่อไปก็ได้ยินเสด็จอาเก้าพูดอย่างวางอำนาจ “เปิดประตูเมือง ข้าจะเข้าเมือง”

เอี๊ยด…

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเสียงของเสด็จอาเก้าเปรียบเสมือนดังสายฟ้า ผ่าเปรี้ยงลงมาจนทำให้ทุกคนทำอะไรไม่ถูก

นี่ท่านอ๋องคนหนึ่งงั้นหรือ?

ประชาชนที่รออยู่นอกประตูเมืองเงยศีรษะขึ้นมองผู้ที่อยู่บนหลังม้าอย่างเงียบเชียบ ดวงตาของพวกเขาขลาดกลัวและจึงรีบถอยห่างออกไป ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้เริ่มต้น คนเหล่านี้ค่อยๆ คุกเข่าลงทีละคนสองคนและตะโกนอวยพรให้อายุยืนพันปีเสียงดัง

ทหารที่เฝ้าประตูเมืองก็อึ้งไปเช่นกัน พวกเขาอ้าปากกว้างโดยไม่รู้จะพูดอะไรอยู่นาน สองขาสั่นเทา สีหน้าหวาดกลัวราวกับเห็นผีและใช้เวลาค้นหาเสียงของเขาอยู่นาน “ไม่ ไม่ ไม่ทราบว่าเป็นท่านอ๋องท่านใดพ่ะย่ะค่ะ?”

บนใบหน้าแดงก่ำมีหยาดเหงื่อเม็ดใหญ่บ่งบอกว่าทหารผู้นี้กำลังจะแย่เสียแล้ว หากตี๋ตงหมิงอยู่เขาจะต้องถูกด่าชุดใหญ่เป็นแน่แท้

เฟิ่งชิงเฉินส่ายหัวและแอบคิดในใจว่าตงหลิงจิ่วช่างร้ายกาจยิ่งนัก เขาไม่รู้เลยว่าการขู่ขวัญสามารถฆ่าคนได้ แม้ว่าทหารเหล่านี้จะอยู่ในเมืองหลวง แต่พวกเขาก็แทบไม่เคยได้พูดกับท่านอ๋องมาตลอดชีวิต

เสด็จอาเก้าไม่ได้พูดอะไร เขาหยิบป้ายตำแหน่งออกมาจากแขนเสื้อ บนป้ายนั้นมีรูปมังกรและหงส์เริงรำเป็นอักษรเลขเก้า เฟิ่งชิงเฉินดูป้ายนี้แล้วรู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าเขาเหมือนจะเคยมอบป้ายหยกที่ลักษณะคล้ายกันนี้ให้นางหนึ่งอัน

เอ่อ ถ้าไม่ได้ป้ายนี้นางก็คงลืมป้าหยกแสดงฐานะของเขาไปแล้วเรียบร้อย นางไม่เคยใช้มันมาก่อน นับว่าเป็นการหักหาญน้ำใจอันดีงามของเขาอยู่บ้าง หากรู้เช่นนี้เมื่อครู่นางคงจะไม่ทำให้เขาหงุดหงิด นางมีตราหยกที่เป็นสัญลักษณ์ของเสด็จอาเก้ายังต้องกังวลว่านางจะไม่สามารถเข้าเมืองได้อีกหรือ นางช่างโง่เขลาเสียจริง

ทหารชั้นผู้น้อยที่ดูแลเมืองไม่รู้จักหน้าคน แต่เขาจำสัญลักษณ์ที่เป็นสัญลักษณ์ของคนผู้สูงกว่าหมื่นคนแต่อยู่ภายใต้คนคนเดียวได้จึงคุกเข่าลงทันที “ผู้น้อยไม่รู้ว่าเป็นเสด็จอาเก้า เสด็จอาเก้าโปรดอภัยให้ผู้น้อยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ประโยคนี้พูดออกมาอย่างเคารพนบนอบ เกรงว่าคงจะถูกทำให้ตกใจจนสมองกลับไปแล้วจึงตอบสนองต่อความกลัวไปตามสัญชาตญาณ

เสด็จอาเก้าไม่ได้มองดูทหารชั้นผู้น้อยคนนี้ด้วยซ้ำ เพียงสั่งอย่างเย็นชา “ไปเสีย ไปตามใต้เท้าของพวกเจ้ามา”

ผู้เป็นใหญ่อย่างแท้จริงจะไม่ต้องการหาเรื่องทหารชั้นผู้น้อยตัวเล็กๆ คนหนึ่งและยิ่งไม่ใส่ใจทหารตัวเล็กๆ นี่เป็นศักดิ์ศรีของผู้ที่อยู่สูงกว่า

ในยามปกติ เรื่องเช่นนี้ล้วนเป็นงานของคนระดับต่ำ เสด็จอาเก้าไม่เคยสนใจเรื่องไร้สาระเช่นนี้

“พ่ะย่ะค่ะ” ทหารแทบจะกลิ้งและคลานไปทางประตูบานเล็ก ระหว่างทางไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลัวมากหรือว่าเหตุผลใดถึงกับล้มลงไปถึงสองครั้ง ท่าทางเช่นนั้นน่าขายหน้ายิ่งนัก แต่ไม่มีใครในที่นี้กล้าหัวเราะเยาะเขา เพราะหากเปลี่ยนเป็นตนเองแล้วก็คงไม่ได้ดีไปกว่านี้เช่นกัน

นี่คือประโยชน์ของอำนาจและมีเพียงเสด็จอาเก้าเท่านั้นที่สามารถบอกให้เปิดประตูเมืองนี้ได้

เฟิ่งชิงเฉินยามที่ข้าราชการระดับสูงเดินทางในยุคปัจจุบันในชาติก่อนของนาง ตำรวจจราจรปิดถนน รถตำรวจเคลียร์ทาง ตำรวจพิเศษคุ้มกัน ประชาชนระดับล่างล้วนตื่นตระหนกตกใจและระมัดระวัง หากคนเหล่านั้นเป็นดังเช่นเสด็จอาเก้าที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันต่อหน้าตำรวจชั้นผู้น้อย ท่าทางของเขาคงคล้ายกับที่ทหารผู้นี้ได้พบเสด็จอาเก้า

ไม่ว่าจะในยุคสมัยไหนก็ย่อมมีกลุ่มคนที่ชอบอภิสิทธิ์อันสูงส่งอยู่เสมอ นางไม่อิจฉาแต่รู้สึกริษยามากกว่า

ไม่นานหลังจากนั้นก็เห็นตี๋ตงหมิงวิ่งออกมาพร้อมกับลูกน้องของเขามาปรากฏตัวต่อหน้าเสด็จอาเก้าโดยจะหายใจไม่ทันและไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองเสด็จอาเก้าด้วยซ้ำ เขาคำนับโดยไม่พูดอะไรสักคำ “เสด็จอาเก้า ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนานพ่ะย่ะค่ะ”

ไม่มีใครสงสัยในตัวตนของเสด็จอาเก้าอีก เพราะนี่คือเมืองหลวง ไม่มีใครกล้าแอบอ้างทำตัวเป็นเชื้อพระวงศ์แน่

ตี๋ตงหมิงอยู่ในกองทัพ ไม่จำเป็นต้องคุกเข่า เขาเพียงแต่ทำความเคารพแบบครึ่งพิธีการเท่านั้น

“ลุกขึ้นเถอะ” เสด็จอาเก้ากล่าวอย่างเย็นชาโดยไม่ลงจากหลังม้า ท่าทางวางอำนาจเสียเต็มประดา แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรเกี่ยวกับเขา นี่เป็นสิทธิพิเศษของเชื้อพระวงศ์ นอกจากนี้เขายังไม่จำเป็นต้องทำอย่างพวกตงหลิงจื่อลั่วที่แสดงว่าตนดีงามมีคุณธรรมและมีเมตตาต่อผู้คนที่อยู่ต่ำกว่า

เฟิ่งชิงเฉินถูกเสด็จอาเก้ากอดแน่นอยู่ในอ้อมแขนของเขาจึงได้พลอยรับการเคารพและคนอื่นๆ ไปด้วย

ตี๋ตงหมิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาเงยหน้ามองเสด็จอาเก้า ในขณะที่กำลังจะบอกให้เปิดประตูเมืองและให้เสด็จอาเก้าเข้าไปนั้นก็พบว่ามีหญิงคนหนึ่งอยู่ที่ด้านหน้าเสด็จอาเก้า ตี๋ตงหมิงตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อเขาเห็นลักษณะของหญิงสาวผู้นั้นแล้วก็ยิ่งต้องอ้าปากค้าง เขาก็ตกใจมากกว่าที่ทหารชั้นผู้น้อยบอกเขาว่าเสด็จอาเก้าอยู่นอกประตูเมืองเมื่อครู่เสียอีก

“เฟิ่ง เฟิ่ง เฟิ่งชิงเฉิน?” ตี๋ตงหมิงลืมเสด็จอาเก้าไปเสียสนิทและชี้ไปที่เฟิ่งชิงเฉินด้วยนิ้วสั่นเทา เป็นไปได้อย่างไร? เขามองผิดไปหรือเปล่า?

เฟิ่งชิงเฉินยิ้มแหยๆ “แม่ทัพตี๋ ไม่เจอกันเสียนาน” นางไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งนางจะเข้าเมืองด้วยความสูงส่งเช่นนี้ บุรุษที่อยู่ข้างหลังนางดูเหมือนจะไม่รู้ว่าคำว่าถ่อมตัวเขียนอย่างไร หรือไม่เขาก็จงใจ?

ประตูเมืองมีเรื่องขัดแย้งกับนางเสียแปดส่วน ทุกครั้งที่นางเข้าเมืองล้วนต้องถูกใส่สีตีไข่ เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจยิ่งนัก ไม่ง่ายเลยที่นางจะใช้ความเป็นสิริมงคลมาลบล้างคำครหานั้น แต่กลับปรากฏว่าการขี่ม้ากลับเมืองด้วยกันกับเสด็จอาเก้านั้นได้ทำลายมันลงไปจนหมดสิ้น

หลังจากเข้าเมืองแล้วก็เกรงว่าจะมีคนแพร่ข่าวลืออีก รองจากบุตรชายคนโตของตระกูลหวังและแม่ทัพอวี่เหวินแล้ว ตงหลิงจิ่วก็เป็นอีกหนึ่งคนที่สนิทสนมกับเฟิ่งชิงเฉิน

“เจ้า เจ้า เจ้ามาอยู่กับเสด็จอาเก้าได้อย่างไร พวกเจ้าออกจากเมืองไปตั้งแต่เมื่อไหร่?” ตี๋ตงหมิงรู้สึกว่าสับสน แม้ว่าเขาจะรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเฟิ่งชิงเฉินกับเสด็จอาเก้าดี แต่เขาก็ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเสด็จอาเก้าจะนำเฟิ่งชิงเฉินเข้าออกจากเมืองอย่างเปิดเผยโดยไม่ใส่ใจเรื่องชื่อเสียง

เสด็จอาเก้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่? ดูท่าทางของเขาแล้วดูเหมือนว่าเขาจะเป็นห่วงเป็นใยนางอยู่บ้าง แต่ในเมื่อห่วงใยนาง เหตุใดเขาจึงไม่ใส่ใจเรื่องชื่อเสียงของนางด้วยเล่า

ชื่อเสียงของเฟิ่งชิงเฉินเลวร้ายลงเรื่อยๆ ยิ่งไม่สามารถเป็นพระชายาเสด็จอาเก้าได้

ก่อนที่เฟิ่งชิงเฉินจะตอบอะไร เสด็จอาเก้าก็พูดอย่างไม่พอใจว่า “ข้าออกจากเมืองไปเมื่อไรจะต้องรายงานให้แก่ท่านแม่ทัพตี๋รู้ด้วยงั้นหรือ?”

“มิกล้าพ่ะย่ะค่ะ” ตี๋ตงหมิงตกใจ เขารีบก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็วและพูดไปตามน้ำพลางรู้สึกเสียใจอย่างเงียบๆ อยู่ในใจ เขาลืมไปได้อย่างไรว่าเสด็จอาเก้าอยู่ที่นี่ด้วย เสด็จอาเก้าถือหางนางเป็นที่สุด ผู้ที่เคยได้รับการปกป้องจากเสด็จอาเก้าเช่นเขารู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก แต่ตอนนี้…

เพลิงโทสะของเสด็จอาเก้าไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนที่จะทนได้ อย่างน้อยเขาก็หวาดกลัว

เขาแค่รู้สึกว่าโชคร้ายที่พบเจอเรื่องเช่นนี้เข้า เพื่อเป็นการชดเชย ตี๋ตงหมิงจึงสั่งการทันทีโดยไม่รอให้เสด็จอาเก้าพูดอะไรอีก “เปิดประตูเมือง”

“ขอรับ” ตามหลักแล้วเรื่องการเปิดประตูเมืองนั้นเป็นหน้าที่ของทหารชั้นผู้น้อยอย่างแน่นอน แต่คนที่กำลังจะเข้าเมืองในวันนี้เป็นถึงเสด็จอาเก้า แม่ทัพที่อยู่ด้านหลังของตี๋ตงหมิงจึงออกหน้าแย่งงานของทหารมาทำ ทหารตัวน้อยจึงทำได้แค่หลบอยู่ด้านหลังเท่านั้นพลางคิดว่า: ใต้เท้า อย่าทำเช่นนี้เลย พวกท่านอยากเด่น พวกเราก็เช่นกัน

ทันทีที่ประตูเมืองเปิดออก ผู้คนนอกประตูเมืองที่ได้รู้ตัวตนของเสด็จอาเก้าแล้วก็ไม่กล้าขยับ แต่คนด้านในประตูเมืองไม่รู้ เมื่อเห็นประตูเมืองเปิดออก พวกเขาก็เอะอะโวยวายจะรีบออกจากเมือง แต่เมื่อเปิดปากบ่นสองสามคำแล้วก็ถูกรองแม่ทัพดันกลับไป เมื่อพยายามจะวิ่งมาข้างหน้าก็ถูกทหารกันแยกเอาไว้

“เอะอะโวยวายอะไรกัน เข้าแถวทีละคน วันนี้จะไม่มีใครได้ออกจากเมืองทั้งนั้น” เหล่าแม่ทัพมักจะเคยชินกับการวางท่าใหญ่โต แต่เมื่อคำพูดออกจากปากไป พวกเขาก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าผู้เป็นใหญ่ในวันนี้คือตงหลิงจิ่ว ทุกคนจึงมองไปที่ตงหลิงจิ่วอย่างไม่สบายใจ เมื่อสบเข้ากับดวงตาที่เฉยเมยและไร้อารมณ์ของเสด็จอาเก้าแล้วก็ก้มศีรษะลงอย่างมีชนักติดหลัง

เมื่อตี๋ตงหมิงเห็นเช่นนี้ก็ทำใจกล้าหน้าด้านก้าวออกไป “เสด็จอาเก้า ในวังเกิดเรื่องขึ้น กระหม่อมจึงได้สั่งให้ปิดเมือง” เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินนั่งอยู่บนหลังม้าตัวใหญ่ ส่วนเขายืนอยู่ด้านล่าง ต่ำสูงห่างกันหนึ่งช่วงตัว เพียงแค่พูดคุยกันก็เหนื่อยแล้ว ช่างขมขื่นเสียจริง!

“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ปิดเมือง ตื่นตระหนกเสียจนดูไม่ได้” เสด็จอาเก้าเดิมไม่อยากจะพูดอะไรมาก แต่เมื่อเขานึกถึงซู่ชินอ๋องผู้เป็นปู่ของตี๋ตงหมิงก็จุดประเด็นขึ้นมา

“หา?” ตี๋ตงหมิงมีสีหน้างุนงงและมองเสด็จอาเก้าอย่างไม่เข้าใจ เขาทำเช่นนี้ไม่ถูกหรือ?

เสด็จอาเก้าไม่ได้พูดอะไร เขาเหลือบมองตี๋ตงหมิงเล็กน้อยและขี่ม้าเข้าไปในเมือง เฟิ่งชิงเฉินหันหลังกลับไปมองและส่ายหัวให้ตี๋ตงหมิงและทำปากบุ้ยใบ้อย่างไร้เสียงว่า “ไม่เป็นไร!”

ถึงเวลานี้ตี๋ตงหมิงยังคงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เฟิ่งชิงเฉินจึงบอกได้เพียงว่าหน่วยข่าวกรองของตี๋ตงหมิงอ่อนแอยิ่งนัก ไม่รู้ก็ช่างเถิด เสด็จอาเก้าบอกใบ้แก่เขาแล้วก็ยังไม่เข้าใจ โง่เขลาเสียจริง

องค์รัชทายาทแห่งซีหลิง องค์ชายแห่งเป่ยหลิงและธิดาผู้สูงศักดิ์แห่งหนานหลิงล้วนอยู่ในเมืองนี้ หากมีคนร้ายคิดฉวยโอกาสใช้เวลาขณะปิดเมืองกระทำการบางอย่าง เช่นนั้นตงหลิงต้องแย่แน่ ไม่แน่ว่าอาจต้องเผชิญหน้ากับความโกรธของทั้งสามแคว้นพร้อมกัน

ตี๋ตงหมิงไม่รู้เหตุผล แต่เมื่อคิดถึงความเป็นคนของเฟิ่งชิงเฉินและความหมายของคำพูดของเสด็จอาเก้าแล้ว ดวงตาของตี๋ตงหมิงก็เป็นประกาย ในที่สุดเขาก็เข้าใจและสั่งทันทีว่า “เปิดประตูเมือง!”

ตามคำสั่งของตี๋ตงหมิง ประตูเมืองก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง คนที่เข้าไปในเมืองต่างรู้เหตุผลและทุกคนก็รู้สึกขอบคุณเสด็จอาเก้าอยู่ในใจ เพราะเสด็จอาเก้า พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องรออีกต่อไป แต่คนที่คิดอยากจะออกจากเมืองกลับไม่ใช่ หลังจากที่พวกเขาออกจากเมืองไปแล้ว พวกที่ชอบสอดรู้สอดเห็นก็หาคนนอกเมืองถามทันที เพียงเอ่ยถามขึ้นก็ได้คำตอบที่ไม่ธรรมดากลับมา…

“ท่านอ๋อง? ผู้ดีที่เพิ่งเข้าเมืองไปเป็นท่านอ๋องงั้นหรือ?”

“อะไรนะ? ผู้ที่เพิ่งเข้าไปในเมืองคือเสด็จอาเก้า”

“สวรรค์ เป็นเสด็จอาเก้าจริงๆ หรือ ข้าเพิ่งได้พบเสด็จอาเก้างั้นหรือ? ช่างเป็นกำไรของข้าจริงๆ”

“ไม่สิ ข่าวลือบอกว่าเสด็จอาเก้าไม่ชอบอยู่ใกล้ผู้คนมิใช่หรือ? เหตุใดถึงมีผู้หญิงอยู่ในอ้อมแขนของเขาได้เล่า?”

“ใช่แล้วๆ หญิงสาวในอ้อมแขนของเขาเป็นใคร ทำไมข้าจึงรู้สึกคุ้นเคยนัก”

“เฟิ่งชิงเฉิน ข้าได้ยินใต้เท้าผู้นั้นเรียก ดูเหมือนว่าจะชื่อเฟิ่งชิงเฉิน”

“เฟิ่งชิงเฉิน? ไม่ใช่กระมัง คุณหนูจวนเฟิ่งน่ะหรือ? ผู้ที่ตื่นมานอกประตูเมืองในวันแต่งงานโดยมีเสื้อผ้าหลุดลุ่ยนั่นน่ะหรือ?”

“ใช่ๆๆ นางนั่นล่ะ มิน่าเล่าจึงได้ดูคุ้นตานัก ที่แท้เป็นคุณหนูตระกูลเฟิ่งนี่เอง”

“คุณหนูเฟิ่งผู้นี้มากความสามารถยิ่งนัก! แม้กระทั่งสามารถ…”

ไม่มีใครกล้าพูดคำต่อจากนั้น แต่คำนั้นย่อมไม่ใช่คำที่ดีแน่ ในโลกนี้หากมีความสัมพันธ์กับบุรุษแล้ว ไม่ว่าใครจะถูกหรือผิด สุดท้ายแล้วล้วนเป็นความผิดของฝ่ายหญิงเท่านั้น

ก็เหมือนกับการล่วงประเวณี ท้ายที่สุดผู้ที่ตกอับก็มีเพียงฝ่ายหญิง ส่วนผู้สมรู้ร่วมคิดอีกคนกลับไม่มีผู้เอาผิด เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินปรากฏตัวพร้อมกัน ทุกคนล้วนบอกว่าเฟิ่งชิงเฉินยั่วยวนเสด็จอาเก้าและไม่มีทางว่ากล่าวอะไรเสด็จอาเก้าเลยแม้แต่น้อย…

แม้ว่าเขาจะขี่ม้าเข้าไปในเมืองแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ได้ยินบทสนทนาที่อยู่ด้านหลัง นางปิดตาลงและเอ่ยถามอย่างไร้เสียง : ตงหลิงจิ่ว ท่านพอใจหรือยัง?

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท