“สังหารองค์หญิงเหยาหวา? เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าล้อเล่นหรือเปล่า?” ตี๋ตงหมิงมองเฟิ่งชิงเฉินอย่างตื่นตระหนกและคิดจะหาท่าทีล้อเล่นบนตัวนาง แต่ทว่า…
เฟิ่งชิงเฉินจริงจังเป็นอย่างมาก ตอนนี้เป็นตาของตี๋ตงหมิงแล้วที่จะร้อนใจ “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าอย่าได้เหลวไหล ข้ารู้ว่าเจ้ามีความสามารถ แต่องค์หญิงเหยาหวาไม่ใช่คนที่ไม่มีภูมิหลังเช่นหลี่เซี่ยง ผลที่ตามมาของการฆ่านางไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถรับได้”
เจ้ายั่วโมโหนางครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ราชวงศ์ซีหลิงก็ไม่เคยเข้ามาแทรกแซง ประการแรกเป็นเพราะเจ้าเป็นชาวตงหลิง ประการที่สององค์หญิงเหยาหวาไม่ได้เสียหน้าอย่างน่าเกลียดนักและประการที่สามการต่อสู้ระหว่างสตรีนั้น จักรพรรดิซีหลิงไม่ใส่ใจ
แต่หากเจ้าสังหารองค์หญิงเหยาหวาจริงๆ ราชวงศ์ซีหลิงจะไม่มีทางยอมจบเรื่องแต่โดยดีแน่ หากราชวงศ์ซีหลิงต้องการฆ่าเจ้าก็ง่ายดายราวกับบี้มด” ตี๋ตงหมิงไม่ได้พยายามข่มขู่เฟิ่งชิงเฉิน แต่นี่เป็นความจริง
หากองค์หญิงองค์หนึ่งสิ้นพระชนม์อย่างอนาถภายนอกอาณาจักร ราชวงศ์ซีหลิงจะไม่มีวันนั่งเฉยๆ โดยไม่ทำอะไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าองค์หญิงเหยาหวายังเป็นที่โปรดปรานในซีหลิง แม้ว่าองค์หญิงที่ไม่มีใครรักคนหนึ่งจะสิ้นพระชนม์นอกอาณาจักร ราชสำนักก็จะไม่มีทางเพิกเฉย
การสังหารองค์หญิงถือเป็นการท้าทายอำนาจของราชสำนัก ถึงยามนั้นราชวงศ์ตงหลิงย่อมไม่ปกป้องนางหรือแม้กระทั่งจะช่วยซีหลิงสังหารเฟิ่งชิงเฉินด้วยซ้ำ
วันนี้เฟิ่งชิงเฉินสามารถสังหารองค์หญิงของประเทศอื่นๆ เพราะความแค้นส่วนตัว พรุ่งนี้อาจจะสังหารองค์ชายแคว้นตนเองก็เป็นได้ หรือแม้แต่สังหารจักรพรรดิ ไม่มีจักรพรรดิคนใดสามารถทนต่อบุคคลอันตรายที่ไม่เห็นราชสำนักอยู่ในสายตาได้แน่
“ข้าจะไม่ประมาท” เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีถึงความร้ายแรงของการสังหารเชื้อพระวงศ์ มิเช่นนั้นนางคงคิดหาวิธีฆ่าองค์หญิงเหยาหวาไปนานแล้ว จะได้ไม่คอยมาหาเรื่องให้ตนเองรำคาญใจ
ตี๋ตงหมิงส่ายศีรษะ บุตรีของแม่ทัพเฟิ่งดื้อรั้นยิ่งนัก “เฟิ่งชิงเฉิน ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะไม่คิดเรื่องเช่นนี้เลยด้วยซ้ำ องค์หญิงแตกต่างจากหลี่เซี่ยง เจ้าอย่าได้ให้เรื่องของหลี่เซี่ยงทำให้เจ้าคิดว่าการลอบสังหารเป็นเรื่องง่ายดาย”
ประโยคสุดท้ายตี๋ตงหมิงกระซิบข้างหูของเฟิ่งชิงเฉิน เมื่อมองจากระยะไกลดูเหมือนพวกเขากำลังซุกไซร้จูบที่คอ มีความคลุมเครืออย่างยิ่ง องครักษ์ของซุนซือสิงและตี๋ตงหมิงมองเห็นแล้วก็คอยๆ เบือนหน้าไปอย่างเงียบเชียบ…
ไม่เห็น พวกเขาไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
“หลี่เซี่ยงเกี่ยวอะไรกับข้า?” สีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นางเผชิญตี๋ตงหมิงโดยไม่หลบเลี่ยง ดวงตาสีดำของนางสงบนิ่งและไม่มีความตื่นตระหนกเลย
เอ๊ะ?
ความสงบของเฟิ่งชิงเฉินทำให้ตี๋ตงหมิงสงสัยว่าเขาคิดผิดไปหรือเปล่า แต่เมื่อความคิดนี้แวบผ่านเข้ามา ตี๋ตงหมิงก็ยิ่งมั่นใจกับความคิดตนเองยิ่งขึ้น
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าหลอกคนอื่นได้แต่หลอกข้าไม่ได้หรอก พวกเราต่างรู้ดีว่าหลี่เซี่ยงตายอย่างไร เจ้าคิดว่าถ้าเก็บกวาดอย่างขาวสะอาดโดยไม่ทิ้งร่องรอยก็จะไม่เป็นไร แต่กลับไม่รู้ว่านี่ไม่ใช่การตัดสินคดี หลายสิ่งหลายอย่างไม่ต้องการหลักฐาน เพียงแค่เชื่อเช่นนั้นก็พอแล้ว อย่างเช่นข้าเชื่อว่าเจ้าเป็นฆาตกร แต่จักรพรรดิคิดว่ามันเป็นโองการแห่งสวรรค์”
เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะเบาๆ และผลักตี๋ตงหมิงออกไป น่าเสียดายที่เขาไม่ให้ความร่วมมือเลยและยังคงมีท่าทางคลุมเครือกับเฟิ่งชิงเฉิน “ท่านชาย ท่านนั่งดีๆ จะดีกว่า ท่านเป็นเช่นนี้ข้าไม่ชิน”
“จะให้นั่งดีๆ ก็ได้ บอกข้ามาสิว่าอาวุธที่เจ้าใช้ฆ่าหลี่เซี่ยงคืออะไรแล้วข้าจะนั่งลงอย่างเชื่อฟัง” ดวงตาของตี๋ตงหมิงฉายแววตื่นเต้น ไม่มีบุรุษใดต้านทานความเย้ายวนของอาวุธลับได้ แม้แต่เสด็จอาเก้าก็ไม่ได้เป็นข้อยกเว้นเช่นกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตี๋ตงหมิง
“ท่านชาย ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดถึงอะไร การตายของหลี่เซี่ยงจะเกี่ยวข้องกับข้าได้อย่างไร” เฟิ่งชิงเฉินกะพริบตาปริบๆ รอยยิ้มเปล่งประกายในดวงตาของนาง ท่าทางเอาแต่ใจของเขาราวกับเด็กเอาแต่ใจที่ถูกตามใจจนเสียคน ตอนนี้นางจึงจนปัญญา
ล้อเล่นหรือเปล่า แค่เจ้าบอกว่าเจ้ามั่นใจ ข้าก็ต้องสารภาพว่าข้าคือฆาตกรงั้นหรือ ข้าปัญญาอ่อนถึงเพียงนั้นเชียว เฝ้าระวังภัยน่ะหรือ นางก็ทำเป็นเช่นกัน นอกจากนี้นางไม่ได้เป็นผู้ลงมือสังหารหลี่เซี่ยงจริงๆ หลี่เซี่ยงถูกเสด็จอาเก้าสังหาร ถ้าไม่ใช่เสด็จอาเก้าเอากล่องดำขนาดเล็กไปวางไว้ที่ข้างตัวหลี่เซี่ยง นางหรือจะมีโอกาส
“แม้แต่ข้าเจ้าก็ปิดบัง ไม่น่าเป็นเพื่อนด้วยเลยจริงๆ” ตี๋ตงหมิงคาดคั้นไม่สำเร็จก็คร้านที่จะถามอีก ท่านปู่บอกว่าให้เขาลองหยั่งเชิงเรื่องนี้สองสามครั้งก็พอแล้ว อย่างไรก็เป็นเพียงการคาดเดาของเขาเท่านั้น ไม่อาจแน่ใจได้
ตามที่เขาพูดไปก่อนหน้านี้ก็คือเขาไม่มีหลักฐาน
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มโดยไม่พูดอะไร ตี๋ตงหมิงผู้นี้ทั้งเชื่อได้และเชื่อไม่ได้ เขาเป็นคนเปี่ยมคุณธรรมและตรงไปตรงมา แต่เขาต้องแบกความรับผิดชอบมากเกินไป อีกทั้งเขายังไม่โปร่งใสรอบคอบเช่นหวังจิ่นหลิง สรุปก็คือตี๋ตงหมิงโง่เขลาเกินไป นางจึงไม่วางใจ
“เฟิ่งชิงเฉิน แม้เจ้าจะไม่มีมิตรภาพเพียงพอ แต่ในฐานะเพื่อน ข้าขอเตือนเจ้าว่าให้รีบเลิกคิดเรื่องการลอบสังหารในหัวนั่นไปเสีย
หากการลอบสังหารได้ผล ฝ่าบาทคงจะส่งคนไปฆ่าจักรพรรดิและองค์ชายองค์หญิงจากอีกสามแคว้นไปแล้ว มีหรือจะยังเหลือโอกาสไว้ให้เจ้า เหล่าผู้กล้าที่เหาะไปเหาะมาในนิยาย แม้จะมีวิทยายุทธ์ล้ำเลิศก็ไม่แข็งแกร่งไปกว่าทหารทั้งกองทัพได้
ถ้าซีหลิงเหยาหวาสร้างปัญหาให้กับเจ้าหรือทำให้เจ้าต้องอับอาย เจ้ามีเสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงคอยปกป้องอยู่ พวกเขาไม่มีทางฆ่าเจ้าได้ง่ายๆ อย่าให้เรื่องเพียงเล็กน้อยทำให้เจ้าต้องเดินเข้าสู่หนทางไม่หวนคืนเลย ไม่คุ้มหรอก” คำพูดของตี๋ตงหมิงนั้นเกลี้ยกล่อมนางจากจุดยืนของเพื่อนด้วยใจจริง
“วางใจเถอะ ข้ารู้ว่าควรทำอย่างไร” เฟิ่งชิงเฉินเกลียดสิ่งที่เรียกว่าตัวตนยิ่งนัก เพราะความแตกต่างระหว่างฐานะ นางต้องถูกโบยอย่างน่าสมเพชครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อจะตอบโต้คืนกลับต้องคิดพิจารณามากมาย
เกียรติยศ ชื่อเสียง เกียรติยศและชื่อเสียงของราชวงศ์มีความสำคัญมากกว่าสิ่งอื่นใด แต่องค์หญิงเหยาหวาเป็นหญิงในเชื้อพระวงศ์ หากนางทำให้ซีหลิงเหยาหวาเป็นอะไรไปจริงๆ เพื่อเกียรติยศแล้วราชสำนักย่อมไม่ปล่อยนางไปแน่
เฮ้อ…
“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว นอกจากนี้ตอนนี้องค์หญิงเหยาหวาไม่มีเวลาสนใจเจ้าหรอก นางจะกลับไปแต่งงานที่ซีหลิง ช่วงนี้นางไม่มีทางมาหาเรื่องเจ้า สิ่งที่เจ้าต้องกังวลไม่ใช่ซีหลิงเหยาหวาแต่เป็นหนานหลิงจิ่นฝานองค์ชายสามแห่งหนานหลิงต่างหาก” ตี๋ตงหมิงพูดถึงตัวปัญหาอีกคนอย่างเงียบๆ
จุดประสงค์หลักในการมาหาเฟิ่งชิงเฉินในวันนี้คือการเตือนนางให้ระวังหนานหลิงจิ่นฝานและอย่าได้ตกลงไปในหลุมพรางของเขา ปัญหายุ่งยากวุ่นวายที่มาอย่างเปิดเผยนั้นไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวก็คือกลอุบายของหนานหลิงจิ่นฝาน
“หนานหลิงจิ่นฝาน? ชื่อนี้คุ้นเคยยิ่งนัก” เฟิ่งชิงเฉินนึกไม่ออกอยู่พักหนึ่งและมองไปที่ตี๋ตงหมิงอย่างสงสัย “เป็นเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์หนานหลิงหรือ? ดูเหมือนว่าข้าจะเคยได้ยินมาจากที่ไหนมาก่อน”
“เจ้าจำไม่ได้หรือว่าครั้งที่แล้วที่ข้าทิ้งให้เจ้าอยู่นอกเมือง จากนั้นเจ้าก็ถูกกลุ่มคนพาตัวไป? หัวหน้าก็คือหนานหลิงจิ่นฝาน พวกเขาต้องการชีวิตของเจ้าตั้งแต่แรก แต่เจ้ากลับลืมพวกเขาไปเสียได้ เจ้านี่มันโง่จริงๆ” ตี๋ตงหมิงด่านางอย่างมั่นใจโดยไม่รู้สึกผิดเลยที่เขาทิ้งนางไว้นอกเมืองและทำให้นางตกอยู่ในอันตราย
ตอนนี้นางไม่ได้กลับมาอย่างปลอดภัยแล้วหรือ
“อ้อ ชายผู้นั้นนี่เอง” เฟิ่งชิงเฉินขนลุกเมื่อนึกถึงชายที่จับนางกดน้ำและยังมีเรื่องที่เขาบีบคอนาง เขาเลือดเย็นและน่ากลัวราวกับอสรพิษ “เขาต้องการทำอะไร?”
“กลัวแล้วหรือ? ไม่ต้องกังวล คราวนี้เขามาอย่างเปิดเผย คงจะไม่เล่นตุกติกกับเจ้า แต่การหาเรื่องเจ้านั้นไม่แน่นัก คราวที่แล้วที่เจ้ากับเสด็จอาเก้าทุบตีเขาราวกับสุนัข อย่างไรเสียคราวนี้เขาต้องเอาคืนความอัปยศในครั้งนั้นแน่”
“เขามาหาเรื่องข้าก่อน” เฟิ่งชิงเฉินแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง
ที่เรียกกันว่าองค์ชายและราชนัดดาล้วนเป็นชนชั้นอภิสิทธิ์ชน แม้มีเหตุผลก็พูดไม่รู้เรื่อง ไม่ว่านางจะถูกหรือผิดก็เป็นความผิดของนางอยู่ดี
ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้นางเป็นเด็กกำพร้าเล่า จึงได้ถูกรังแกอย่างง่ายดาย
“แล้วอย่างไร?” ตี๋ตงหมิงถลึงตามองเฟิ่งชิงเฉินอย่าไม่สบอารมณ์ “เจ้าต้องการแก้แค้นเขางั้นหรือ?”
“ข้าไม่เคยคิด” ไม่ใช่ว่านางไม่ต้องการ แต่นางไม่กล้าต่างหาก นางมีศัตรูมากมาย นางไม่ต้องการไปยั่วโมโหศัตรูที่แข็งแกร่งก่อน
“ไม่คิดก็ดีแล้ว มิเช่นนั้นเจ้าต้องไม่รู้แน่ว่าตนเองจะตายอย่างไร หนานหลิงจิ่นฝานไม่ใช่ซีหลิงเหยาหวา ซีหลิงเหยาหวายังต้องคำนึงถึงซีหลิงเทียนเหล่ย แต่หนานหลิงจิ่นฝานไม่ต้อง ที่หนานหลิงเขาเป็นใหญ่อันดับต้นๆ นิสัยโหดเหี้ยมอำมหิต ผู้ที่ตกอยู่ในมือของเขาล้วนตายทั้งเป็น
ข้าเคยได้ยินมาว่าสตรีมีครรภ์ผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาชนเขา เขากลับจับนางไปที่กองทัพเพื่อปรนเปรอทหารทั้งกองทัพให้เพลิดเพลิน ทั้งยังไม่ยอมให้หญิงผู้นั้นฆ่าตัวตาย แล้วยังสั่งหมอหลวงให้ผดุงครรภ์นาง นางต้องแบกรับความอัปยศอดสูทั้งกลางวันและกลางคืนจนกว่าเด็กจะเกิด
ส่วนเจ้า นับว่าโชคร้ายอย่างยิ่ง เจ้าตกอยู่ในกำมือของเขา ตระกูลซูแห่งหนานหลิงและหนานหลิงจิ่นฝานต้องการร่วมมือกับเสด็จอาเก้า การแต่งงานกับซูหว่านเป็นขั้นตอนแรก ในการหยั่งเชิงก่อนหน้านี้แม้เสด็จอาเก้าจะปฏิเสธไปแล้ว แต่ก็ยังมีช่องว่างให้พวกเขาได้เจรจากันใหม่
แต่ระยะนี้ข่าวลือของเจ้ากับเสด็จอาเก้าแพร่สะพัดไปทั่ว ซูหว่านกลับเสนอเรื่องแต่งงานนี้ขึ้นมาในยามหัวเลี้ยวหัวต่อ แต่กลับถูกเสด็จอาเก้าปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยโดยไม่ไว้หน้า ทำให้พวกเขาไม่อาจเจรจาเป็นพันธมิตรกันได้อีก แม้ว่าเสด็จอาเก้าจะไม่พูดอะไร แต่ซูหว่านและหนานหลิงจิ่นฝานล้วนคิดว่าเจ้าเป็นต้นเหตุ หนี้แค้นทั้งเก่าและใหม่บวกลบกันแล้ว พอหนานหลิงจิ่นฝานมาถึง เขาจึงได้ระบายความโกรธทั้งหมดลงที่เจ้าอย่างไรเล่า”
ตี๋ตงหมิงเห็นอกเห็นใจเฟิ่งชิงเฉินยิ่งนัก เพราะเฟิ่งชิงเฉินได้รับพระราชบัญชาจากจักรพรรดิให้กักบริเวณสำนึกตนอยู่ในจวน ไม่ง่ายเลยกว่าพายุจะสงบลง แต่แล้วนางก็ถูกผลักกลับมายังจุดที่คลื่นโหมกระหน่ำรุนแรงอีกครั้ง
“แม้ว่าเสด็จอาเก้าจะแต่งงานกับซูหว่าน พวกเขาก็ไม่อาจร่วมมือกันได้ เสือสองตัวจะอยู่ถ้ำเดียวกันได้อย่างไร? น่าขันนัก อีกอย่างที่เขาปฏิเสธซูหว่านจะต้องเป็นเพราะข้าหรือ? เห็นได้ชัดว่าเสด็จอาเก้าไม่ได้ทำเพื่อสาวงามและไม่เห็นแก่อะไร นอกจากนี้ข้าก็ไม่สวย เป็นตัวต้นเหตุไม่ได้หรอก” เฟิ่งชิงเฉินมีสีหน้าดูแคลน ผู้ชายก็เป็นแบบนี้ พวกเขาผลักความผิดใส่ผู้หญิงจนหมด นางไม่ได้ทำอะไรเลยแต่สุดท้ายกลับกลายเป็นชนวนของปัญหา
“การแต่งงานกับซูหว่านเป็นการแสดงความจริงใจ หากเสด็จอาเก้าไม่มีความจริงใจนี้แล้วต่อไปจะร่วมมือกันได้อย่างไร เมื่อเสือทั้งสองร่วมมือกัน เสือทั้งสองก็จะระวังซึ่งกันและกัน ซูหว่านก็คือเครื่องมือที่จะใช้เฝ้าระวังนั้น
ตระกูลซูและหนานหลิงจิ่นฝานใช้ซูหว่านเพื่อคอยควบคุมเสด็จอาเก้า ในทำนองเดียวกัน เสด็จอาเก้าก็ใช้ซูหว่านเป็นตัวประกันเพื่อทำความเข้าใจการเคลื่อนไหวของตระกูลซู หากจำเป็นเขาก็สามารถใช้ซูหว่านข่มขู่ตระกูลซูได้ ชิงเฉิน เจ้าอย่าประเมินบทบาทของสตรีต่ำเกินไป
ซูหว่านไม่ใช่สตรีธรรมดา อย่าประมาทนางเพียงเพราะว่านางพ่ายแพ้ต่อเจ้าในการปะทะกันสองสามครั้ง ซูหว่านเป็นผู้หญิงที่ได้รับการฝึกฝนจากตระกูลซูเพื่อใช้แต่งงานกับเชื้อพระวงศ์โดยเฉพาะ แผนการและอุบายของนางจะใช้กับบุรุษและเรื่องในจวน
หากเจ้าและซูหว่านแต่งงานเข้าจวนองค์ชายเก้าพร้อมกัน แม้ว่าเสด็จอาเก้าจะปกป้องเจ้า ข้าก็มั่นใจว่าในที่สุดเจ้าจะต้องตายด้วยน้ำมือของซูหว่านและจะสามารถทำให้เสด็จอาเก้าไม่พบหลักฐานใดๆ”
เรือนชั้นในเป็นสนามรบนองเลือด สิ่งที่สตรีผู้สูงศักดิ์ต้องเรียนรู้ก็คือวิธีการเอาชีวิตรอดในเรือนชั้นใน เรื่องเช่นนี้เฟิ่งชิงเฉินทำไม่เป็น หากนางแต่งเข้าไปแล้วก็จะเหมือนนกปีกหัก ต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหน นางก็คงได้แต่ร้องไห้…