นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 383 บริสุทธิ์ องค์รัชทายาทเหล่ยใช้การไม่ได้

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

ในเมื่อสถานการณ์ภายในงานเลี้ยงได้เปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีผู้ใดที่จะมามีอารมณ์กินดื่มหรือสังสรรค์กันอีก ยามที่ฝ่าบาทกำลังลังเล ว่าจะสั่งให้ทุกคนเลิกงานเลี้ยง เพื่อที่จะได้อยู่พูดคุยแก้ไขปัญหากับพวกที่เหลืออยู่นั้น

หนานหลิงจิ่นฝานที่ดูเหมือนจะล่วงรู้ความคิดของฝ่าบาทตงหลิงนั้น ยังมิทัน ที่ฝ่าบาทจะเอ่ยปากอันใดออกมา หนานหลิงจิ่นฝานพลันแสร้งทำเป็นพูดคุยกับตนเองว่า “น่าสงสัยยิ่งนัก หากว่ากันตามจริงแล้ว เฟิ่งชิงเฉินหาได้ขี้ริ้วขี้เหร่ไม่ สตรีที่ดูแล้วมีชีวิตชีวาเช่นนี้ องค์รัชทายาทเหล่นอดทนได้อย่างไรกัน? หากเป็นเปิ่นหวางละก็ ย่อมไม่ลังเลอย่างแน่นอน

ในเมื่อนางมาอยู่ในเงื้อมมือขององค์รัชทายาทเหล่ยเช่นนี้ ยังกล้าปล่อยให้นางบริสุทธิ์อยู่อีกงั้นหรือ? องค์รัชทายาทเหล่ยช่างใจดีมีเมตตายิ่งนัก ถึงได้ปล่อยเฟิ่งชิงเฉินไปเช่นนี้? ไม่ใช่สิ หากองค์รัชทายาทเหล่ยมีเมตตาจริง ๆ ละก็ พระองค์ย่อมไม่กล้าลงมือกับเฟิ่งชิงเฉิน หากเป็นเช่นนี้ หรือว่าองค์รัชทายาทเหล่ยจะใช้การไม่ได้”

หนานหลิงจิ่นฝานแสร้งทำเป็นว่า ตนเองไม่รู้ตัวว่าหลุดพูดออกมา เมื่อตั้งสติได้นั้น เขาก็รีบปิดปากของตนเองในทันที

เอ่อ คำพูดของหนานหลิงจิ่นฝานนั้น ทำให้ผู้คนที่อยู่ภายในงานเลี้ยง ต่างก็เดาเรื่องราวออกได้ในทันที ผู้คนที่อยู่ในห้องโถงต่างพากันนั่งเงียบเฉียบมิกล้าเอ่ยอันใดออกมาอีก

หากว่าพูดผิดหูอันใดไปในยามนี้ ย่อมหมายถึงชีวิตของตนก็เป็นได้ ผู้คนในงานเลี้ยงจึงได้แต่ลอบมองซีหลิงเทียนเหล่ยเท่านั้น เพื่อคอยดูว่าเขาจะแก้ต่างให้กับตนเองเช่นไร หากเขาไม่อาจแก้ต่างให้กับตนเองได้ละก็ เกรงว่าผู้คนในใต้หล้าจะได้ล่วงรู้ว่า องค์รัชทายาทเหล่ยใช้การไม่ได้!

ในยามนี้ เฟิ่งชิงเฉินพลันรู้สึกว่า เจ้าอสรพิษเช่นหนานหลิงจิ่นฝานนั้น หากมิใช่ศัตรูของตน ก็นับว่าเขาดูน่ารักยิ่งนัก อย่างน้อย การที่เขาเอ่ยยั่วโมโหซีหลิงเทียนเหล่ยเช่นนี้ นับว่าน่าเอ็นดูเป็นอย่างยิ่ง

ใช้การไม่ได้!

เรื่องนี้นับว่าเป็นการดูถูกเหยียดยามของบุรุษชายชาติทหารยิ่งนัก ในเมื่อตนเองมีฐานะองค์รัชทายาท แต่กลับถูกผู้คนกล่าวหาว่าของตนเองใช้การไม่ได้ ซีหลิงเทียนเหล่ยจะไปรับได้ได้อย่างไรกัน ใบหน้าที่หล่อเหลาพลันค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำในทันที รวมไปถึงสายตาของผู้คนที่อยู่ในงานเลี้ยง ต่างก็มองมาที่เขาด้วยสายตาราวกับเห็นอกเห็นใจปนไปกับสายตาดูถูกเหยียดหยามมากมายอีกเช่นกัน ทำให้ซีหลิงเทียนเหล่ยรู้สึกอับอายยิ่งนัก หากมิใช่เพราะเขามีความทระนงตัวมากเกินไปละก็ เขาคงสะบัดแขนเดินออกจากงานเลี้ยงไปแล้ว

ในยามนี้ เขาถึงได้เข้าใจแล้วว่า ยามที่เฟิ่งชิงเฉินเดินเล่นอยู่บนท้องถนน แล้วต้องมาถูกชาวบ้านชี้นิ้วใส่ รวมไปถึงวาจาดูถูกของผู้คนที่พูดใส่นางเช่นนั้น นางจะต้องใช้ความกล้าหาญมากเพียงใดกัน

ซีหลิงเทียนเหล่ยพลันหันไปถลึงตาใส่หนานหลิงจิ่นฝานในทันที หากแต่หนานหลิงจิ่นฝานก็แสดงท่าทียั่วโมโหกลับไป

อับอายหรือ? โมโหหรือ? เจ็บใจงั้นหรือ? รู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรมงั้นหรือ?

องค์รัชทายาทเหล่ย ท่านค่อย ๆ ซึมซับกับความรู้สึกพวกนี้เสีย นี่เพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น หลังจากที่ซีหลิงเหยาหวาแต่งเข้าตงหลิงเมื่อใด นางก็จะได้รับความรู้สึกที่ท่านต้องมาโดนเช่นนี้เหมือนกัน นางต้องการเป็นกุ้ยเฟยใช่หรือไม่? ข้าก็จะทำให้กุ้ยเฟยที่อยู่ในวังหลังทั้งหมดดูถูกเหยียดหยามนาง ข้าจะให้นางโดนสตรีในวังหลังทั้งหมดรุมทึ่งนางเสีย

ทำไม่ได้หรือ?

ถ้าหากเป็นเรื่องอื่นละก็ เฟิ่งชิงเฉินย่อมไม่อาจทำได้ หากเป็นเรื่องโสมมเช่นนี้ละก้็ นางสามารถทำสำเร็จถึงเก้าส่วนเลยทีเดียว

ยามที่นางได้ช่วยฮูหยินซือจื่อของจวนหนิงกั๋วกงคลอดบุตรนั้น เมื่อช่วยทั้งแม่ลูกสามคนออกมาได้ ชื่อเสียงของนางก็ได้โด่งดังไปในแวดวงฮูหยินชั้นสูงแล้ว รวมไปถึง เรื่องที่นางสามารถทำให้ฮูหยินรองตระกูลเซี่ยสามารถตั้งครรภ์ได้นั้น เมื่อชื่อเสียงทั้งสองเรื่องรวมเข้าด้วยกัน เหล่าฮูหยินพวกนั้น จึงเชื่อในทักษะการแพทย์ของนางอย่างสุดใจ

เมื่อได้พังคำพูดของฮูหยินซุนบอกเล่านั้น สตรีทั้งหลายภายในเมืองหลวงต่างก็รอฟังข่าวจากนาง ถ้าหากมิใช่ว่าเฟิ่งชิงเฉินมาพำนักในจวนตระกูลซุนเป็นการชั่วคราว การจะเข้าไปหานางอย่างไรก็ไม่สะดวกนั้น เกรงว่า เหล่าสตรีพวกนั้นคงเข้ามากราบไหว้นางจนถึงหน้าประตูจวนแล้วกระมัง ขอเพียงแค่นางยินยอม นางก็สามารถเป็นที่โปรดปรานของเหล่ากุ้ยเฟยในวังหลวงได้ไม่ยาก

ทุกวันนี้ สตรีที่ออกเรือนไปแล้ว มีปัญหาเกี่ยวกับโรคของสตรีมากมายนัก

“แค่กแค่ก”

บรรยากาศภายในงานเลี้ยงที่ตึงเครียดเช่นนี้ ย่อมไม่ดีนัก ฝ่าบาทจึงได้ทำเสียงกระแอมกระไอออกมา เพื่อขัดขวางการจ้องมองระหว่างซีหลิงเทียนเหล่ยและหนานหลิงจิ่นฝาน ถึงแม้ว่าฝ่าบาทพยายามคาดหวังให้การยั่วยุในครานี้ เกิดสงครามระหว่างซีหลิงและหนานหลิงขึ้น แต่ฝ่าบาทก็รู้ดี หากเรื่องนี้ถูกทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา บางทีซีหลิงกับหนานหลิงอาจจะรวมหัวกันโจมตีตงหลิงแทนก็เป็นได้

หนานหลิงจิ่นฝาน กำลังพยายามที่จะยั่วให้ซีหลิงเหล่ยโมโหตงหลิงแทน ไม่แน่ว่า เมื่อถึงยามนั้น หากเขาเอ่ยปากร่วมมือกับซีหลิงเทียนเหล่ยแล้วนั้น ผู้ที่ต้องตกอยู่ในอันตรายย่อมต้องเป็นตงหลิงอย่างแน่นอน

“องค์ชายสาม วาจาที่หยอกล้อย่อมต้องมีขอบเขต” ฝ่าบาทของตงหลิงแสร้งทำเป็นมิใคร่พอใจนัก พร้อมทั้งทำเป็นเอ่ยปากอบรมหนานหลิงจิ่นฝานไปในทันที หนานหลิงจิ่นฝานเอง ก็หาได้คิดที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่เลวร้ายให้กับซีหลิงเทียนเหล่ยไม่ หากฝ่าบาทมอบเวทีให้กับเขาเช่นนี้ เขาก็ย่อมต้องเดินตามทางที่พระองค์ปูทางให้ไว้ พร้อมกับหัวเราะออกมา

“ฝ่าบาทกล่าวหนักไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ เปิ่นหวางเพียงแค่คิดตามที่คุณหนูเฟิ่งเอ่ยออกมาเท่านั้น ฝ่าบาทอย่าได้ทรงกริ้วไปเลย ท่านดูสิ แม้แต่องค์รัชทายาทเหล่ยหาได้สนใจไม่ มือที่ใสะสะอาด ย่อมไม่มีความจำเป็นที่ต้องล้างมัน เปิ่นหวางรู้จักองค์รัชทายาทเหล่ยดี ก่อนหน้านั้น พระองค์ก็ได้ไปทำการเฟ้นหาเลือกนางสนมที่หนานหลิงเช่นกัน ในหนานหลิงเองก็มีสตรีชั้นสูงไม่น้อยเลยที่ชื่นชอบเขายิ่งนัก อีกทั้งยังเต็มใจตามติดองค์รัชทายาทเหล่ยกลับแคว้นไปอีกด้วย”

“องค์ชายสามล้อเล่นแล้วกระมัง สตรีชั้นสูงของหนานหลิง ทั้งงดงามอ่อนโยนถึงเพียงนั้น เปิ่นหวางจะทำให้พวกนางได้รับความอับอายได้เช่นไรกัน ” ซีหลิงเทียนเหล่ยนับว่าฉลาดเฉลียวเป็นอย่างยิ่ง ก่อนหน้านั้น เขายังจ้องหนานหลิงจิ่นฝานราวกับจะกินเลือดกินเนื้ออยู่เลย ในยามนี้ กลับมาพูดจาหยอกล้อกัน ราวกับสหายที่สนิทสนมกันมาช้านาน

ช่างเถอะ ถึงอย่างไรเรื่องราวในการเมืองหาได้มีมิตรมีศัตรูไม่ มีเพียงแค่ผลประโยชน์ที่สามารถคงอยู่ต่อไปได้เท่านั้น การสอดส่องกันและกันเช่นนี้ ถึงอย่างไรทั้งซีหลิงเทียนเหล่ยและหนานหลิงจิ่นฝานย่อมต้องมีประโยชน์ร่วมกันอย่างแน่นอน

ถึงแม้ว่า คำพูดของหนานหลิงจิ่นฝานในวันนี้ จะทำทีเป็นการล้อเลียนซีหลิงเทียนเหล่ย แต่ในทางกลับกัน ก็ยังเป็นการเตือนสติซีหลิงเทียนเหล่ย กลาย ๆ ว่า ความอับอายที่เขาได้เผชิญในวันนี้ ล้วนแต่เป็นตงหลิงที่มอบให้กับเขาทั้งนั้น พวกเขาสองคนมีศัตรูคนเดียวกัน

เฟิ่งชิงเฉินได้แต่แอบปาดเหงื่อตนเองอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับมองไปที่ฝ่าบาทด้วยสายตาเห็นใจยิ่งนัก ตอนนี้ ฝ่าบาทย่อมต้องมีเรื่องที่น่าปวดหัวเพิ่มขึ้นมาแล้ว แต่ทว่า เรื่องพวกนี้หาได้เกี่ยวกับนางไม่ ขอเพียงแค่นางรักษาตัวรอด ให้มีชีวิตอยู่ต่อไปก็พอแล้ว หลังจากนี้ความแค้นของนางและพี่น้องของราชวงศ์ตงหลิวก็ได้ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว

แน่นอนว่า ความแค้นของนางกับลั่วอ๋องก็จะต้องถูกจัดการด้วยเช่นกัน เฟิ่งชิงเฉินพลันชำเลืองมองไปยังใบหน้าที่ดำมืดของตงหลิงจื่อลั่วเล็กน้อย จู่ ๆ นางก็รู้สึกเห็นใจลั่วอ๋องยิ่งนัก

ตงหลิงจื่อลั่วนับว่าเป็นบุคคลที่น่าสงสารที่สุดในยามนี้ สตรีที่งดงามไปทั่วแคว้น เขาล้วนแต่ต้องการทั้งหมด แต่สุดท้าย สาวงามจากแดนไกลกลับต้องมากลายเป็นพี่สะใภ้ของเขาแทน

เฟิ่งชิงเฉินที่มองไปยังสายตาที่เร่าร้อนของตงหลิงจื่อลั่วนั้น แม้ว่าตงหลิงจื่อลั่วจะพยายามทำเป็นไม่เห็นเรื่องราวที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่อาจทำได้ เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็พลันพบกับสายตาที่ดูน่าเห็นอกเห็นใจของเฟิ่งชิงเฉินมองมาพอดี

เห็นใจ?

ตงหลิงจื่อลั่วที่ทำตัวเย็นชาในคราแรกนั้น นัยน์ตาของเขากลับมีแสงไฟออกมาในทันที ทว่า เมื่อเห็นแววตาของเฟิ่งชิงเฉินมิได้มีท่าทีเหยียดหยามหรือรังเกียจเขานั้น ก็พลันนึกไปถึงยามที่นางรักษาบาดแผลที่ขาของตนเอง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดเขาถึงไม่กล้ามองนางอีก พร้อมกับเบือนหน้าหนีด้วยความรู้สึกที่อับอาย

เฟิ่งชิงเฉินหาได้เคยเป็นหนี้เขาไม่ ล้วนแต่เป็นเขาที่ติดหนี้ชีวิตนางมาโดยตลอด หากไม่มีเฟิ่งชิงเฉิน บางทีเขาอาจจะตกตายไปแล้วก็เป็นได้ ถึงแม้ว่า เขาจะมีชีวิตรอดกลับมา ก็คงเป็นองค์ชายที่พิการคนหนึ่ง ไม่อาจเข้าร่วมแย่งชิงในบัลลังก็ทองได้อีก

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ สีหน้าของตงหลิงจื่อลั่วพลันอ่อนลงไปในทันที ยามที่กำลังจะเอ่ยปากบอกกับเฟิ่งชิงเฉินว่า ตนเองไม่เป็นอันใดนั้น เมื่อเขาหันกลับไปมองนาง เฟิ่งชิงเฉินก็มิได้มองมาที่เขาอีกต่อไป

ภายในใจจู่ ๆ ก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา ราวกับว่าตนเองได้สูญเสียของบางอย่างไป อย่างไรอย่างนั้น

ยามที่เจ้ามองข้านั้น ข้ากลับมิคิดสนใจ แน่นอนว่ายามที่ข้ามองเจ้านั้น ในแววตาของเจ้ากลับไม่มีข้าหลงเหลืออยู่แล้ว

จู่ ๆคำพูดนี้ก็ปรากฏขึ้นมาในสมองของเขาในทันที ตงหลงจื่อลั่วพลันชะงักไปครู่หนึ่ง ยามที่กำลังขบคิดกับตนเองว่า เหตุใดตนเองถึงได้รู้สึกออกมาเช่นนั้น ก็ประจวบเหมาะกับการที่ฝ่าบาทโบกมือไล่ขุนนางน้อยใหญ่ให้ออกไปจากงานเลี้ยงในทันที เรื่องในส่วนที่เหลือนั้น ไม่จำเป็นต้องให้คนรับรู้มากมายนัก

ถึงแม้ว่าทุกคนจะชอบดูงิ้วยิ่งนัก แต่หากต้องจ่ายด้วยชีวิตของตนเองแล้ว แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสตรี เมื่อเกี่ยวพันระหว่างสองแคว้นแล้ว พวกเขาก็ไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องเช่นกัน ข้าราชบริพารและขุนนางน้อยใหญ่ต่างพากันเดินออกไปในทันที เฟิ่งชิงเฉินเองก็ไม่อยากจะอยู่ด้วยเช่นกัน จึงได้แต่ค่อย ๆ เดินออกจากงานตามไป

“ระวังตัวด้วย” ยามที่แยกกันนั้น เสด็จอาเก้าพลันกล่าวออกมาหนึ่งประโยค เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าเสด็จอาเก้าจะไม่พูดออกมาเฉย ๆ เป็นแน่ แสดงว่าเสด็จอาเก้าอาจจะคาดเดาได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อจากนี้ ถึงได้จงใจเตือนนางออกมา

เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าเล็กน้อย เพื่อสื่อว่านางเข้าใจแล้ว

ระวังตัว?ลอบสังหารหรือ?

ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง นางเจอเรื่องที่ยากลำบากอีกแล้ว

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท