นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 390 ลงมือโหดเหี้ยม การป้องกันตัวเองที่ดีทีสุด คือการฆ่าฝ่ายตรงข้าม

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก อย่าได้เอ่ยว่าหวังจิ่นหลิงไม่อาจควบคุมได้ แม้แต่พวกนักฆ่าก็ยังไม่เข้าใจกับการกระทำของนางเช่นกัน ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

เมื่อเหล่านักฆ่าได้สติกลับมาแล้วนั้น ม้าที่มีหวังจิ่นหลิงนั่งอยู่ ก็ได้วิ่งออกไปไกลแล้ว แม้แต่เงาก็มิทันได้เห็น

“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าโง่” เสียงด่าของหวังจิ่นหลิงที่ดังมาจากที่ไกล ๆ การที่จะทำให้คุณชายใหญ่ที่เป็นสุภาพบุรุษและอ่อนโยนเช่นหวังจิ่นหลิงสามารถตะโกนด่าออกมาเช่นนี้ได้ นับว่าเฟิ่งชิงเฉินมีความสามารถยิ่งนัก

“มิต้องกังวลไปหวังจิ่นหลิง ข้าจะอดทนรอเจ้ากลับมา” เฟิ่งชิงเฉินพลันตะโกนตอบกลับ จู่ ๆ เข็มในมือของนาง ก็แทงเข้าไปที่หน้าผากของหัวหน้านักฆ่าที่อยู่ตรงหน้าในทันที “ฉึก”

“โชะ” เสียงเดียว ทำให้หัวหน้านักฆ่าที่ยังมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา พลันล้มลงไปในทันที

“ผลลัพธ์ไม่เลว” เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าด้วยความพอใจเล็กน้อย พร้อมกับคว้าดาบจากมือฝ่ายตรงข้ามมา แม้ว่านางจะใช้อาวุธของกองทัพ มิค่อยชำนาญนัก แต่ทว่าดาบที่อยู่ในมือของนาง เป็นประโยชน์ต่อนางเป็นอย่างมาก

“ฆ่า ฆ่าเฟิ่งชิงเฉิน” เมื่อเหล่านักฆ่าได้สติขึ้นมานั้น พลันเหลือห้าคนเอาไว้จัดการกับเฟิ่งชิงเฉิน อีกเจ็ดนายรีบสั่งให้ตามหวังจิ่นหลิงไปในทันที “เร็ว รีบตามไป อย่าปล่อยให้หวังจิ่นหลิงหนีไปได้”

“พวกเจ้าตามไปไม่ทันหรอก” เฟิ่งชิงเฉินพลันกดอาวุธลับที่ข้อมือข้างซ้ายอีกครั้ง สิ่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยซุนเจิ้งเต้า มันคล้ายกับเป็นลูกศร แต่ทว่ามีขนาดเล็กกว่ามาก อีกทั้งมันยังถูกเคลือบไปด้วยยาพิษอีกด้วย

ในฐานะหมอคนหนึ่ง พวกเขาก็ต้องมีสิ่งของไว้คอยป้องกันตัวเองเสียบ้าง แต่ยาพิษที่เฟิ่งชิงเฉินใช้ หาใช่ยาพิษจากสารธรรมชาติไม่ แต่เป็นพิษจากสารเคมี ถึงแม้ว่าจะมิได้ตายจากไป แต่ก็ไม่อาจหาทางช่วยเหลือได้

น่าเสียดายนัก เข็มยาพิษของนางบางเกินไป ความสามารถในการทำลายล้างและระยะเวลาในการออกฤทธิ์ของมันจึงมีขีดจำกัด ไม่ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะกดหลายครั้งเพียงใด มันก็แทงนักฆ่าได้เพียงสองคนเท่านั้น

ฉึก

ฉึก

เมื่อโดนเข็มยาพิษแล้ว เหล่านักฆ่าล้วนแต่มีสภาพเช่นเดียวกับหัวหน้าของพวกมันในทันที เมื่อมีสองคนที่ล้มลงไปแล้ว เหล่านักฆ่าที่ไล่ตามหวังจิ่นหลิงอยู่จึงเหลือเพียงห้าคนเท่านั้น นางไม่สามารถไล่ตามไปได้แล้ว เนื่องจากฝั่งของนาง ก็ยังโดนเหล่านักฆ่าล้อมรอบเอาไว้อยู่เช่นกัน

เฟิ่งชิงเฉินจึงได้แต่สวดมนตร์อ้อนวอนต่อพระเจ้าภายในใจ ขอให้หวังจิ่นหลิงวิ่งให้ไวกว่านี้ ขอให้กองกำลังเสริมที่เข้ามาช่วยเหลือไวกว่านี้ มิเช่นนั้น สภาพของหวังจิ่นหลิง หากถูกเหล่านักฆ่าทั้งสี่ตามได้ทันนั้น คงมีแต่หนทางตายรั้งรอเพียงอย่างเดียว

“ทุกคนระวังตัวด้วย สตรีนางนี้นางมีอาวุธลับอยู่” นักฆ่าที่มีร่างกายกำยำดั่งหลังเสือเอวหมี ก็พลันถือดาบวิ่งเข้าใส่ทางด้านหลังเฟิ่งชิงเฉินในทันที เฟิ่งชิงเฉินพลันรีบหันกายกลับไปตั้งรับโดยพลัน

“ปั้ง” เสียงเดียว ดาบทั้งสองเล่มพลันตั้งรับใส่กันในทันที แม้แต่ยามราตรีเช่นนี้ ก็พลันเห็นประกายแสงของดาบที่กระทบกันอย่างชัดเจน เฟิ่งชิงเฉินถูกดันให้ถอยหลังไปสองสามก้าว นิ้วมือของนางพลันรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาในทันที พร้อมกับของเหลวที่ค่อย ๆ ไหลออกมา

ช่างน่าตาย มือข้าได้รับบาดเจ็บเสียแล้ว

เฟิ่งชิงเฉินโมโหเสียจนอยากจากก่นด่าคำหยาบคายออกมาในทันที นางเกลียดมากที่สุดคือการที่มีคนทำให้ฝ่ามือของนางเป็นแผล คนพวกนี้ล้วนแต่ต้องตายไปกันให้หมด แต่ก่อนที่พวกเขาจะตาย นางอยากจะรู้ว่า ผูัที่อยู่เบื้องหลังคือผู้ใดกันแน่ “นายของพวกเจ้าคือผู้ใดกัน?”

“เฮอะ เจ้าก็ไปถามยมทูตเสียซิ” น้ำเสียงของนักฆ่าหนักแน่นเป็นอย่างมาก เฟิ่งชิงเฉินมิคิดเลยว่า เพียงแค่นางเอ่ยถามไปเช่นนี้ ฝ่ายตรงข้ามก็จะตอบนางกลับมา

“งั้นหรือ? น่าเสียดายผู้ที่จะต้องไปพบยมทูตก็คือพวกเจ้า ไม่ใช่ข้า ก็พลันมีเข็มพุ่งออกมาในทันที พร้อมกับทอประกายแสงออกมาแม้แต่ในยามกลางคืน

“เร็ว รีบหนีเร็ว”

อาวุธลับ มักจะทำให้ผู้คนรู้สึกคาดไม่ถึง หากฝ่ายตรงข้ามรู้จักที่ซ่อนของมันแล้วละก็ ย่อมไร้ประโยชน์หากคิดที่จะโจมตีต่อไป การโจมตีในครานี้ เฟิ่งชิงเฉินหาได้ทำร้ายใครสักคนไม่ แต่ทว่า มันกลับทำให้นักฆ่าที่เหลือทั้งสี่คนต่างก็เดินถอยหลังไปแทน

แม้แต่ในยามราตรีที่มืดมิด เฟิ่งชิงเฉินพลันแย้มยิ้มออกมาด้วยความน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก แต่น่าเสียดาย หาได้มีผู้ใดพบเห็นรอยยิ้มเช่นนั้นไม่ “แท้จริงแล้ว อาวุธลับของข้าไม่เพียงแต่จะฆ่าคนตายได้ แต่ก็สามารถทรมานผู้คนให้ตายได้เช่นกัน”

การเคลื่อนไหวของเฟิ่งชิงเฉินราวกับลมก็ไม่ปาน เพียงแค่วูบเดียว ก็เข้าไปปะทะหน้าของนักฆ่าในทันที

ยามที่นักฆ่าพลันถือดาบฟาดลงมานั้น เฟิ่งชิงเฉินก็ยกดาบของตนไปตั้งรับ บาดแผลพลันรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าเดิมอีก แต่เฟิ่งชิงเฉินหาได้ถอยหลังไปสักก้าวไม่ เพียงแต่ยกขาขึ้นและกระทืบไปยังจุดที่อ่อนแอที่สุดของบุรุษผู้นั้นในทันที

“อ๊าก”

นักฆ่าพลันปล่อยดาบลงในทันที สองมือเอาแต่กอบกุมแก่นกายของชายชาตรีเอาไว้ พร้อมกับกระโดดไปมา

เฟิ่งชิงเฉินหาได้ปล่อยมือจากฝ่ายตรงข้ามไปไม่ เมื่อหางตาพลันเห็นการโจมตีมาจากทางด้านซ้ายเข้ามานั้น เฟิ่งชิงเฉินพลันจับไหล่ของบุรุษด้านซ้ายเพื่อดึงไปขวางการโจมตีเอาไว้ในทันที

ฉึก เสียงดาบที่ถูกฟาดเข้ามา พลันโดนเนื้อของมนุษย์ในทันที เลือดพลางสาดเซ็นเข้ามาที่ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินในทันที นับว่าโชคดีนัก มันหาใช่เลือดของเฟิ่งชิงเฉินไม่

เฮ้อ จัดการนักฆ่าไปได้อีกคน

“นังสารเลว เจ้าตายซะ” เมื่อเห็นสหายของตน ตายไปเพราะน้ำมือของตนเองนั้น ก็พลันรู้สึกโมโหขึ้นมาราวกับฟืนกับไฟ ทั้งสามคนพลันวิ่งกรูเข้ามาหาเฟิ่งชิงเฉินในทันที ในยามนี้ เฟิ่งชิงเฉินไม่มีอาวุธหลงเหลืออยู่อีกแล้ว นอกจากการวิ่ง นางก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้อีก แต่ทว่านางจะวิ่งหนีบุรุษร่างกำยำทั้งสามคนไปได้ไกลงั้นหรือ?

คำตอบก็คือไม่ ฉะนั้นแล้วนางจะไม่วิ่งหนี นางเพียงแค่ค่อย ๆ เดินถอยหลังต่อหน้าพวกนักฆ่าที่เดินกรูกันเข้ามาหานางเท่านั้น แต่ทว่า เป็นการถอยที่หาใช่ถอยไม่

“นังสารเลวนี่ หนีไปไม่ได้ ใช่หรือไม่” เหล่านักฆ่าพลันหัวเราะออกมาด้วยความเย้ยหยัน ทั้งสามคนพลันถือดาบพุ่งเข้าใส่เฟิ่งชิงเฉินในทันที พวกเขาหาได้สังเกตไม่ว่า สตรีที่พวกเขากำลังบีบคั้นนางอยู่ หาได้มีความเกรงกลัวต่อพวกเขาไม่ มีแต่สีหน้าที่จ้องพวกเขามาอย่างไม่เกรงกลัว สายตาพลันกวาดตามองมาด้วยความเย็นชา

“ไปตาย” คำพูดของนักฆ่ายังไม่ทันพูดจบ ก็พลันได้ยินเสียงกรีดร้องตามมาไม่หยุด ทั้งเสียงที่สองและสามก็พลันดังตามมา

“อ๊าก อ๊าก ”

เสียงกรีดร้องโหยหวนพลันดังออกมา ราวกับเสียงของทูตผีก็ไม่ปาน เหล่าชาวบ้านที่อยู่สองฝากฝั่ง พลันหวาดกลัวขวัญผวาไปในทันที แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะแอบฟังว่า ด้านนอกเกิดเรื่องอันใดขึ้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการออกมาช่วยเหลือเฟิ่งชิงเฉิน

“ตึง”เสียงดาบทั้งสามเล่มพลันฟาดฟันลงมา พร้อมกับเหวี่ยงไปโดนสิ่งของต่าง ๆ แต่ทว่า เฟิ่งชิงเฉินกลับหลบได้ทัน

“อ๊ากอ๊ากอ๊าก”

นักฆ่าทั้งสามคนต่างก็พากันนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่ที่พื้น พร้อมกับสองมือที่กอบกุมใบหน้าของตนเอง ทั้งร้องทั้งเรียกไปทั่ว กลิ่นอายในบรรยากาศพลันเต็มไปด้วยกลิ่นของกรดซัลฟิวริกในทันที เมื่อยืมแสงจากดวงจันทร์ที่ส่องลงมานั้น ก็พลันเห็นใบหน้าของเหล่านักฆ่าทั้งสาม ที่เต็มไปด้วยความเน่าเปื่อยของเลือดในทันที

ที่แท้ เฟิ่งชิงเฉินก็ฉวยโอกาสยามที่นักฆ่าคนที่สองเข้ามาใกล้ นำกรดซัลฟิวริกเข้มข้นออกมาจากกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ แล้วก็รอให้นักฆ่าคนที่สามเข้ามาใกล้ๆ จากนั้นก็ทำการสาดใส่หน้าของพวกเขาในทันที

อย่าได้ถามว่า เหตุใดเฟิ่งชิงเฉินถึงนำมันออกมาได้ไวถึงเพียงนั้น แท้จริงแล้ว ก่อนที่นางจะเข้าวังในทุก ๆครั้ง นางจะจัดเตรียมสิ่งของที่พอจะสามารถปลิดชีพคนเอาไว้สักสองสามอย่างอยู่เสมอ

แม้จะมีคนเคยเอ่ยว่า การป้องกันตนเองที่ดีที่สุดคือการโจมตี แต่ในสายตาของเฟิ่งชิงเฉินนั้น การป้องกันตนเองที่ดีที่สุด คือการปลิดชีพคู่ต่อสู้

สิ่งของเช่นกรดซัลฟิวริกนั้น เฟิ่งชิงเฉินหาได้ให้คนจัดการเอาไว้ให้ไม่ นางกลัวว่า หลังจากนางออกจากวังไปแล้ว หนานหลิงจิ่นฝานจะนำสัตว์ป่าอะไรมาจู่โจมนาง กรดซัลฟิวริกตัวนี้ จึงมีไว้เพื่อป้องกันตัวนางจากสัตว์ป่า

หาได้เป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉินคิดมากจนเกินไปไม่ แต่ทว่า การปราบม้าพยศของนางโด่งดังมากเกินไปแล้ว โดดเด่นเสียนางกลัวว่าคนข้างบนต้องการจะคิดบัญชีของนางเสียได้ นางจึงต้องเตรียมพร้อมทุกอย่างเอาไว้ ท้ายที่สุดแล้ว นางไม่คิดเลยว่าจะต้องมาใช้กับคนเช่นนี้

สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ นางเตรียมปริมาณมาไม่มากพอ มิเช่นนั้นหากเพิ่มปริมาณขึ้นอีกสักนิดละก็ ย่อมสามารถโจมตีฝ่ายตรงข้ามได้เพียงครั้งเดียว โดยที่ฝ่ายตรงข้ามไม่อาจสังเกตเห็นได้

เมื่อเฟิ่งชิงเฉินใจเย็นลงแล้วนั้น ก็พลันเห็นว่าองครักษ์ของตระกูลหวังยังคงติดพันกับพวกนักฆ่าอยู่เช่นกัน นางถึงรู้สึกว่าที่นี่มิควรอยู่นานนัก

หากพวกนักฆ่าเหล่านั้น ฝ่าด่านองครักษ์ตระกูลหวังมาได้ นางคงถึงคราวซวยเป็นแน่ แต่ทว่า หากนางไม่บังคับนักฆ่าทั้งสามให้สารภาพ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือผู้ใด นางก็ไม่อาจสบายใจได้เช่นกัน

“พูด ผู้ใดส่งพวกเจ้ามากัน?” เฟิ่งชิงเฉินพลันหยิบดาบที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา พร้อมกับกรีดไปที่ใบหน้าของนักฆ่าในทันที

“อ๊ากอ๊ากอ๊าก” เสียงกรีดร้องของนักฆ่าราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังได้รับบาดเจ็บก็ไม่ปาน “ฆ่าพวกข้าเถอะ พวกข้าพูดไม่ได้ พวกข้าพูดไม่ได้”

กรดซัลฟิวริกมีความเข้มข้นมากเกินไป เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเข้าไปใกล้ ๆ ก็พลันพบว่า ใบหน้าของเหล่านักฆ่าถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว มันดูน่าหวาดกลัวยิ่งนัก โดยเฉพาะยามที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอเช่นนี้ เมื่อมองไปที่ใบหน้าของพวกเขามันคล้ายกับทูตผีก็ไม่ปาน

“ไม่พูดใช่หรือไม่? ไม่พูดก็ไม่พูด ให้ข้าฆ่าเจ้า? ต้องขอโทษด้วย ข้าไม่มีความคิดที่จะฆ่าผู้ใด”

เฟิ่งชิงเฉินพลันยกดาบขึ้น พร้อมกับฟันไปที่แขนขาของเหล่านักฆ่าพวกนั้นในทันที มิรู้ว่าเป็นเพราะมืดเกินไปหรือไม่ หรือว่าเป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉินมิได้ควบคุมทิศทางของดาบให้ดี หรือเป็นเพราะความตั้งใจของนาง

เมื่อเฟิ่งชิงเฉินฟันดาบลงไปแล้วนั้น แขนขาของนักฆ่าก็ขาดออกจากกันในทันทีเหลือไว้แต่เพียงเส้นเอ็นของข้อมือและข้อเท้าเอาไว้ เพื่อเอาไว้ต่อกลับคืนดังเดิม ถ้าหากไม่รีบทำการรักษาพวกเขาละก็ ถึงอย่างไรพวกเขาก็จะตายไปเพราะเลือดหมดตัวอยู่ดี

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท