นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 394 เยือกเย็น ในที่สุดทายาทเฟิ่งหลีก็ได้กำเนิด

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

บทที่ 394 เยือกเย็น ในที่สุดทายาทเฟิ่งหลีก็ได้กำเนิด

เมื่อหวังจิ่นหลิงและตี๋ตงหมิงมาถึงพร้อมกับทหารจำนวนมาก พวกเขาไม่ได้ยินเสียงการต่อสู้แล้ว สิ่งที่พวกเขาเห็นมีแต่แขนขาที่หักแล้วและศพเกลื่อนพื้น

“ชิงเฉิน…” หวังจิ่นหลิงพยายามสุดความสามารถที่จะยับยั้งตัวเอง แต่ร่างกายของเขาก็ยังสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เขากลัว กลัวว่าเฟิ่งชิงเฉินจะนอนที่นี่เช่นกัน และกลัวว่าซากแขนขาเหล่านี้จะมีของเฟิ่งชิงเฉินด้วยเช่นกัน

“จิ่นหลิง อย่ากังวล คนที่ตายเป็นมือสังหาร ชิงเฉินไม่อยู่ที่นี่” สีหน้าของตี๋ตงหมิงขาวซีด แม้ว่าเขาจะเห็นฉากนองเลือดมามากแล้ว แต่เมื่อเห็นภาพที่อนาถของเหล่ามือสังหาร เขาก็รู้สึกคลื่นไส้อย่างห้ามไม่ได้

จากใบที่บิดเบี้ยวและเกร็งเช่นนี้ สามารถจินตนาการได้ว่าพวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานมากแค่ไหนก่อนตาย โดยเฉพาะศพทั้งสามที่ส่งกลิ่นฉุนแรง และไม่สามารถเห็นใบหน้าของศพได้ชัดเจน ภาพนั้นสามารถทำให้คนใจอ่อนกลัวจนร้องไห้ได้เลย

“คนที่ลงมือโหดเหี้ยมเกินไป” ฆ่าคนก็แค่สังหารให้สิ้นชีพก็พอ แต่คนเหล่านี้กลับถูกทรมานก่อนจบชีวิต ทรมานเจียงตาย

ตี๋ตงหมิงเตือนตัวเองอย่างเงียบ ๆ ในใจ หากรักชีวิตของตน ก็จงทำดีต่อชิงเฉินเสีย

แม้แต่ฮ่องเต้เองก็อยากได้ทำให้เฟิ่งชิงเฉินโกรธเคือง ผู้หญิงคนนั้นน่ากลัวเกินไป ตี๋ตงหมิงเชื่อว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นคนสังหารมือสังหารเหล่านี้เอง

“พวกเขาสมควรได้รับมัน” หวังจิ่นหลิงไม่คิดว่าเฟิ่งชิงเฉินลงมือโหดเหี้ยมเกินไป หากเป็นเขาเอง เขาจะลงมือโหดเหี้ยมยิ่งกว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นร้อยเท่า

“ตงหมิง ส่งคนไปตามหาชิงเฉิน แม้ว่าจะต้องพลิกแผ่นดินหาก็ต้องตามหาตัวนางให้เจอ” หวังจิ่นหลิงในตอนนี้ ได้ถอนท่าทีที่อ่อนโยนไปแล้ว เขาดูเป็นดาบที่เพิ่มถูกดึงออกจากฝัก เฉียบคมน่าเกรงขามและโหดเหี้ยม

เฟิ่งชิงเฉินไม่อยู่ที่นี่ นั่นหมายความได้ว่านางยังไม่ตาย ไม่ได้หมายความว่านางปลอดภัย บางทีนางอาจถูกคนอื่นพาตัวไป…

“ได้ ข้าจะส่งคนไปหาประเดี๋ยวนี้ ตราบใดที่เฟิ่งชิงเฉินยังอยู่ในเมืองหลวง เช่นนั้นข้าก็จะหานางเจออย่างแน่นอน” ตี๋ตงหมิงออกคำสั่งทหาร

หวังจิ่นหลิงตอบรับ ” เช่นนั้นเรื่องนี้เจ้ารับผิดชอบ สั่งทหารสิบนายส่งข้ากลับไปที่ตระกูลหวัง”

เขายอมให้คนในตระกูลหวังทำเช่นนี้ ก็เพราะทุกคนเป็นตระกูลเดียวกัน ในเมื่อคนเหล่านั้นหาเรื่องถึงที่ เช่นนั้นก็อย่าหาว่าเขาใจร้ายแล้วกัน

เขาหวังจิ่นหลิง ไม่ใช่คนใจกว้าง ไร้เดียงสา มีความเมตตาแต่แรกอยู่แล้ว และมิใช่คนที่เมื่อถูกรังแกแล้วจะไม่เอาคืน เรื่องที่เกิดในคืนนี้ เขาจะไม่ปล่อยไปเช่นนี้อย่างแน่นอน เขาจะต้องให้อีกฝ่ายชดใช้คืนเป็นร้อยเท่า พันเท่า

“จิ่นหลิง?” หวังจิ่นหลิงกลับไปที่ตระกูลหวังเวลานี้ไม่ได้มาเพื่อพักผ่อนนอนหลับอย่างแน่นอน ตี๋ตงหมิงกังวลว่าหวังจิ่นหลิงจะทำเรื่องกระไรที่เกินเหตุ

หวังจิ่นหลิงยิ้มอย่างสดใส โดยปกติรอยยิ้มของเขาจะสูงส่งไม่มีใครเทียบได้ ซึ่งสามารถบรรเทาความโศกเศร้าในใจของผู้คนได้ราวกับเทพเจ้า แต่ตอนนี้รอยยิ้มของเขากลับเหมือนปีศาจที่มาเยือนโลก ซึ่งทำให้ตี๋ตงหมิงรู้สึกหนาวสั่นไปหมด

“จิ่นหลิง เจ้าอย่าใจร้อน ชิงเฉินอาจไม่เป็นกระไรก็ได้” ตี๋ตงหมิงเองก็ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนพูด หากว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่เป็นกระไร เช่นนั้นเหตุใดจึงหานางไม่พบ และไม่มีเบาะแสกระไรเลย

ขนตาสีดำยาวสั่นเล็กน้อย แสงไฟที่สว่างไสวสองเข้าที่ใบหน้าของหวังจิ่นหลิง บ้างมืดบ้างสว่าง “ตงหมิง เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ตระกูลหวังต้องจัดการ และในฐานะที่ข้าเป็นหัวหน้าตระกูลหวัง หารกำจัดคนที่ทรยศต่อตระกูลนั้นเป็นหน้าที่ของข้า

เขารับหน้าที่หนักในการฟื้นฟูตระกูลหวัง และในขณะเดียวกันเขามีอำนาจที่จะตัดสินชีวิตของคนตระกูลหวังเช่นกัน

“ตงหมิง ยิ่งข้าแบกรับความรับผิดชอบมากเท่าไหร่ อำนาจในมือก็ยิ่งยิ่งใหญ่เท่านั้น ข้าเดินในเส้นทางนี้แล้ว นอกจากว่าข้าจะปีนไต่ให้สูงขึ้นแล้ว ข้าไม่มีทางเลือกอื่น และใครก็ตามที่ขัดขวางข้า ต้องตายสถานเดียว!”

“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ว่า… ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ลืมธรรมชาติของตัวเอง” ตี๋ตงหมิงถอนหายใจอย่างลับๆ หวังจิ่นหลิงพูดด้วยน้ำเสียงที่สูงส่ง แต่คนในต่างก็รู้ดีว่าเขาทำเช่นนี้เพื่อเฟิ่งชิงเฉิน มิเช่นนั้นด้วยนิสัยของหวังจิ่นหลิง เขาไม่มีทางที่จะเอ่ยคำว่าตายสถานเดียวกับคนตระกูลหวังอย่างแน่นอน

หวังจิ่นหลิงเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับตระกูลอย่างมาก ความเย็นชาของโหดร้ายของเขา มิเคยนำมาใช้กับคนในตระกูลหวัง และนี่เป็นครั้งแรก

“ข้ารู้ว่าตนกำลังทำอะไรอยู่ ตงหมิง ตรงนี้ข้าฝากเจ้าแล้วกัน ไม่ว่าอย่างไรเจ้าจะต้องหาชิงเฉินให้พบ โดยทำทุกวิถีทาง ต้องปกป้องนางให้ปลอดภัย”

หากไม่ได้เห็นเฟิ่งชิงเฉิน เขาไม่มีทางสบายใจได้ เขาอยากอยู่ต่อเพื่อตามหาเฟิ่งชิงเฉินพร้อมกับตี๋ตงหมิง แต่เขารู้ดีว่า หากเขามาเสียเวลาในเรื่องนี้ สู้เอาเวลาไปแก้แค้นแทนเฟิ่งชิงเฉินเสียดีกว่า

หวังจิ่นหลิงไม่เคยทำสิ่งที่เสียเวลาไปเปล่าประโยชน์ และไม่เคยทำสิ่งใดที่ไร้ประโยชน์ตอบแทนกลับมา

หวังจิ่นหลิงกลับไปที่ตระกูลหวัง เขาอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า และในยามเช้าตรู่ เขาก้าวเข้าไปในห้องหารือของตระกูลหวัง และตามเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลหวังมา พร้อมทั้งคนที่มีสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมการหารือในตระกูลหวัง

คืนนั้นไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องหารือตระกูลหวัง รู้เพียงแค่ว่าวันที่สองมีคนในตระกูลหวังสามเรือนที่ถูกกักขังไปตลอดชีวิต ไม่ว่าจะชายหญิงเด็กหรือคนชราก็ตาม และมีคนสองเรือนถูกไล่ออกจากตระกูลหวัง และมีหนึ่งเรือนที่ถูกลงโทษหนักที่สุดก็คือ ถูกสังหารโดยห้องลงโทษของตระกูลหวัง

เขาเพิ่งรับหน้าที่ใหญ่ต้องสร้างผลงานที่น่าเกรงขาม หวังจิ่นหลิงใช้วิธีที่สะเทือนเช่นนี้เพื่อบอกกับคนที่กำลังคิดวางแผนไม่ดีอย่างลับๆว่า แม้ว่าหวังจิ่นหลิงจะยังอายุน้อย แต่การจัดการของเขานั้นเด็ดขาดอย่างมาก คนที่ทำให้เขาโกรธเคืองนั้นไม่มีจุดจบดีๆอย่างแน่นอน แม้แต่อำนาจของพ่อแท้ๆเขายังกล้าที่จะชิงมา เช่นนั้นคงไม่มีเรื่องใดที่เขาไม่กล้าทำ

เขาจัดการคนตระกูลหวังที่แอบทำเรื่องไม่ดีลับหลัง และนี่ไม่ใช่จุดจบแต่เป็นจุดเริ่มต้น หวังจิ่นหลิงเชื่อว่า เรื่องเมื่อคืนนี้ หากไม่มีเครื่องมือของแคว้นคอยสนับสนุน มือสังหารเหล่านั้นก็คงไม่ดำเนินการได้ราบรื่นเช่นนี้

“เอี๊ยด…”

เมื่อแสงแดดส่องกระทบพื้น หวังจิ่นหลิงเปิดประตูห้องประชุมและเดินออกไปก่อน ตามด้วยสมาชิกในตระกูลหวังที่ดูหดหู่…

ในเวลานี้ซุนเจิ้งเต้าเองก็ได้รับการปล่อยตัวจากพระราชวังเช่นกัน ทันทีที่เขาออกจากประตูวัง เขาก็เห็นว่ารถม้าของจวนซุนจอดรออยู่ ซุนเจิ้งเต้าตะลึงและเร่งเดินไปที่รถม้า

“นายท่าน” พ่อบ้านลุงซุนเห็นซุนเจิ้งเต้าจากไกลๆ ก็เร่งโดดลงจากรถและรับกล่องยาจากมือซุนเจิ้งเต้าไป

“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” ซุนเจิ้งเต้ายังคงสงบ แม้ว่าเขาจะเดินอย่างรวดเร็วแต่ดูไม่ร้อนรน

“คุณหนูเฟิ่งได้รับบาดเจ็บ คุณชายทำแผลให้คุณหนูเฟิ่งแล้ว แต่ไม่ทราบว่าเหตุใดคุณหนูเฟิ่งจึงตัวเย็นไปทั้งตัว ตัวนางเย็นราวกับมนุษย์น้ำแข็ง มีน้ำแข็งบางๆ ก่อตัวขึ้นบนร่างกายของนาง พวกเราวางเตาไฟในห้องไปสิบกว่าเตา แต่คุณหนูเฟิ่งก็ยังคงหนาวจนมีน้ำแข็งก่อตัว คุณชายคิดหาทุกวิถีทางแล้ว แต่ก็มิได้ผล ฮูเหยินบอกว่านายท่านมีวิธี ฉะนั้นพวกเราจึงมารอแต่ดึกๆ” ลุงซุนพยุงซุนเจิ้งเต้าขึ้นรถม้า สารถีเห็นว่าทั้งสองนั่งเรียบร้อยแล้ว จึงบังคับรถม้ามุ่งตรงไปที่จวนซุน

“ข้าทราบแล้ว” ซุนเจิ้งเต้าถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อได้ยินคำพูดของลุงซุน เขาก็เข้าใจแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น โชคดีที่เขาได้เตรียมการไว้แล้ว ตอนนี้ก็แค่ทุกอย่างมันมาก่อนเวลาเท่านั้นเอง

ในที่สุดลูกหลานของตระกูลเฟิ่งหลีก็จะได้กำเนิดอีกครั้งแล้ว

ซุนเจิ้งเต้าหลับตาลง เขาเก็บซ่อนความเหนื่อยล้าและความลังเลของตนเอาไว้

เมื่อซุนเจิ้งเต้ามาถึงที่จวนซุน เขาพบตี๋ตงหมิงและหวังจิ่นหลิงพอดี ตี๋ตงหมิงพลิกแผ่นดินหาจริงๆจึงพบว่าเฟิ่งชิงเฉินอยู่ที่จวนซุน ก่อนหน้านี้เขาคิดมาเสมอว่าเฟิ่งชิงเฉินตกอยู่ในมือของมือสังหาร คิดไม่ถึงเลยว่าเฟิ่งชิงเฉินจะได้กลับบ้านอย่างปลอดภัย

ตี๋ตงหมิงรู้สึกจากใจจริงว่าเฟิ่งชิงเฉินนั้นเป็นสัตว์ประหลาด เผชิญหน้ากับมือสังหารมากมายเช่นนี้เขานางกลับสามารถรอดชีวิตกลับไปที่จวนซุนได้ ซึ่งน่ายกย่องอย่างมาก

“ใต้เท้าซุน…..” ตี๋ตงหมิงและหวังจิ่นหลิงหยุดที่หน้าประตู เมื่อเห็นฝีเท้าที่เร่งรีบของซุนเจิ้งเต้า พวกเขาก็เดาได้ว่านั่นเป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉิน

ดูเหมือนว่าอาการของเฟิ่งชิงเฉินไม่ดีเท่าไหร่นัก

“ท่านซื่อจื่อ คุณชายใหญ่ พวกท่านคงมาที่นี่เพราะคุณหนูเฟิ่ง เชิญด้านในขอรับ…” ซุนเจิ้งเต้าไม่เกรงใจกับทั้งสอง

เกรงใจน่เหรอ? เกรงใจไปเพื่อกระไร เขาเองก็มีชีวิตอยู่ต่อได้อีกไม่กี่วันเท่านั้น

ซุนเจิ้งเต้าเดินนำหน้าทั้งสองโดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสม ตี๋ตงหมิงและหวังจิ่นหลิงทราบว่าเป็นเพราะกระไร และแน่นอน พวกเขาไม่โกรธ พวกเขาเดินตามซุนเจิ้งเต้าไปที่ห้องของซุนซื่อสิง พวกเขาสัมผัสได้ถึงคลื่นความร้อนจากแต่ไกล ทันใดนั้นหวังจิ่นหลิงและตี๋ตงหมิงเหงื่อท่วมตัว แก้มของพวกเขาแดงก่ำเพราะอุณหภูมินี้

“ชิงเฉินเป็นกระไรไปหรือ?” หวังจิ่นหลิงเร่งฝีเท้า แต่ซุนเจิ้งเต้าหยุดเขาเอาไว้ “คุณชายใหญ่ โปรดรอด้านนอก คุณหนูเฟิ่งไม่เป็นกระไร”

หลังจากพูดจบ เขาก็เดินไปที่ห้อง หวังจิ่นหลิงและตี๋ตงหมิงเห็นแผ่นหลังที่เปียกชุ่มด้วยเหงื่อของเขา……

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท