บทที่ 403 ปวดใจ ผู้สนับสนุนเฟิ่งชิงเฉิน
“ให้พ่อค้าขายธัญพืชของเขาเอง? พวกเขาจะยอมหรือ? พ่อค้าธัญพืชของแต่ละประเทศมีภูมิหลังมากมาย หากใช้ไม้แข็งกับพวกเขาคงไม่ได้ อย่าว่าแต่พวกเราเลย ต่อให้เป็นฝ่าบาทเองก็ยังไร้หนทางที่จะเข้าไปเอาธัญพืชจากในมือพ่อค้าเหล่านั้น” ที่จริงหลานจิ่วชิงก็เคยคิดจะจัดการกับพ่อค้าธัญพืชเหล่านี้แต่ช่างยากเย็นนัก
มองจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกเขาอาจจะข่มขู่บรรดาตระกูลใหญ่ แต่เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อกำไรของตระกูลใหญ่เหล่านั้น หากมองจากมุมมองใหญ่ ตระกูลใหญ่เหล่านั้นคงจะไม่หยุดยอมแพ้แน่ พวกเขาเหล่านั้นค่อนข้างที่จะเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น หัวรั้น ผลประโยชน์ของตระกูลสำคัญกว่าชีวิตของพวกเขาเสียอีก
“ใครบอกว่าข้าจะเข้าไปแย่งชิงเล่า? เจ้าสามารถทำให้พวกเขานำมันออกมาด้วยความเต็มใจได้” ดวงตาอันเจ้าเล่ห์แวบเข้ามา ทำให้ซูเหวินชิงยังรู้สึกหวาดกลัวและคิดว่าคราวนี้มีคนโชคร้ายแน่
ซูเหวินชิงยังไม่ทันเอ่ยถาม เฟิ่งชิงเฉินก็หันไปชี้ให้ซูเหวินชิงก้มศีรษะลง แล้วนางก็กระซิบถึงวิธีข้างหูของเขา……
ซูเหวินชิงรู้สึกงงงวยในตอนแรก จากนั้นดวงตาทั้งคู่ก็เป็นประกาย “ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ข้าคิดว่ามันเป็นวิธีที่ดี แม้จะอันตรายไปหน่อยแต่ก็อยู่ในขอบเขตที่เราควบคุมได้”
“ในเมื่อทำได้ก็จงรีบลงมือเถิด จะให้ทหารเหล่านั้นหิวโหยไม่ได้เด็ดขาด” ในจิตใต้สำนึกของตนเฟิ่งชิงเฉิน นางถือว่าตนเองเป็นทหารคนหนึ่ง
“อืม ข้าจะรีบกลับไปวางแผนแล้วลงมือ เพื่อเป็นการตอบแทน การบูรณะสร้างจวนเฟิ่งใหม่นี้ให้ข้าจัดการเถิด ข้ารับรองว่าจะไม่ให้เจ้าเสียเงินสักแดงเดียว แล้วข้าจะบูรณะจวนเฟิ่งให้เจ้าใหม่เอง” ซูเหวินชิงกล่าวออกมาอย่างเย่อหยิ่งแล้วตบไปที่หน้าอกเพื่อให้คำสัญญา
“เจ้าจะสร้างจวนเฟิ่งให้ข้าหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกงงงวยยิ่งนัก ซูเหวินชิงพ่อค้าผู้แสวงหากำไรอันเจ้าเล่ห์ผู้นี้เป็นคนใจดีตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“ถูกต้องแล้ว นับว่าเป็นของขวัญขอบคุณที่เจ้าช่วยเหลือข้า เจ้าช่วยข้าได้มากเลยทีเดียว” ซูเหวินชิงยิ้มออกมาราวกับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ฮ่าๆๆ……เขาสามารถสร้างจวนเฟิ่งขึ้นมาใหม่ได้โดยไม่ต้องพยายามสิ่งใดเลย ทั้งยังไม่ทำให้เฟิ่งชิงเฉินเกิดความสงสัย
“เจ้าช่วยข้าจัดการเรื่องอาหาร อีกทั้งจากวิธีที่เจ้ากล่าวมานั้นหากคำสำเร็จล่ะก็ข้าจะได้เงินมากมายจากส่วนนั้น เพียงแค่สร้างจวนเฟิ่งไม่ได้เป็นเงินมากมาย ข้ามีพอที่จะจ่ายมัน ทำไม หรือเจ้าไม่ยินยอม? เช่นนั้นจงกล่าวมาเถิดว่าข้าช่วยอะไรเจ้าได้ ข้าจะช่วยทุกประการ” การถอยเพื่อบุกไปข้างหน้า วิธีการเจรจาเช่นนี้ซูเหวินชิงคุ้นเคยยิ่งนัก โดยเฟิ่งชิงเฉินมองอะไรไม่ออกเลยว่าเจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวนี้กำลังคิดสิ่งใดอยู่
เนื่องจากไม่สามารถใช้ช่างฝีมือของตระกูลหวังได้ เดิมทีเฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกเป็นกังวลใจ จวนเฟิ่งจะทำการสร้างใหม่แล้วจะให้เอาคนที่ไหนเล่า บัดนี้เมื่อซูเหวินชิงเสนอความช่วยเหลือเข้ามาให้ ดูท่าทางเขาเหมือนต้องการจะตอบแทน เฟิ่งชิงเฉินจึงไม่ได้คิดมากและพยักหน้าเห็นด้วยทันที
“งั้นเอาตามนี้ วันพรุ่งนี้ข้าจะส่งคนไปที่จวนเฟิ่งแล้วทำการรื้อถอนเสียก่อน” รอยยิ้มของซูเหวินชิงดูแข็งแกร่งมากกว่าเดิมเนื่องจากเขาบรรลุจุดประสงค์แล้ว
ต่อให้เฟิ่งชิงเฉินเฉลียวฉลาดเพียงใดก็เป็นเพียงแค่สตรีซึ่งไม่ค่อยได้เรียนรู้โลกภายนอกมากนัก เพียงสองสามประโยคเขาก็จัดการเรื่องเฟิ่งชิงเฉินได้ทันที เมื่อคิดดูแล้วก็รู้สึกภูมิใจเหลือเกิน การได้สนทนากับเฟิ่งชิงเฉิน น่าสนใจมากกว่าฉินเป่าเอ๋อและซูหลีมากนัก
“ตกลง” เมื่อเห็นท่าทางอันกระตือรือร้นของซูเหวินชิง เฟิ่งชิงเฉินก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยทว่าไม่ได้คิดอะไรมาก นางคิดว่าซูเหวินชิงต้องการจะแก้ไขปัญหานี้ให้เสร็จโดยเร็ววัน เพราะนางเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจวนเฟิ่งจะคู่ควรกับการใส่ใจของซูเหวินชิง
เมื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว ซูเหวินชิงก็ขอตัวเดินทางกลับไป ระหว่างทางกลับ เขาวางแผนว่าจะต้องทำตัวโอ้อวดต่อหน้าหลานจิ่วชิงเสียหน่อย ในวันนี้เขาทำเรื่องสองเรื่องให้ประสบความสำเร็จได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขปัญหาเรื่องอาหาร หากว่าวิธีที่เฟิ่งชิงเฉินคิดขึ้นมานั้นได้ผลจริง ปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะยาวก็คงจะแก้ไขได้อย่างราบรื่น
เป็นจริงดังนั้น มีเพียงเฟิ่งชิงเฉินจริงๆ ที่คู่ควรและเหมาะสมกับหลานจิ่วชิง
หลังจากที่ซูเหวินชิงเดินทางไปแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็กำลังเตรียมตัวจะออกไปหาซุนจงเต้าและซุนฮูหยิน คาดไม่ถึงว่านางเพิ่งจะลุกขึ้นยืน ก็มีคนจากจวนซุนเข้ามารายงานว่าหนิงกั๋วกงฮูหยิน ซื่อจื่อฮูหยินและจิ้นหยางโหวฮูหยินเดินทางมาขอเข้าพบ
หัวหน้าสำนักหมอหลวง คงไม่มีคุณสมบัติพอที่จะทำให้ฮูหยินทั้งสามเดินทางมาเข้าเยี่ยมพร้อมกัน เห็นได้ชัดว่าทั้งสามคนนี้เดินทางมาเพราะเฟิ่งชิงเฉิน
หากเป็นก่อนหน้านี้ เฟิ่งชิงเฉินคงจะใช้ข้ออ้างว่านางไม่สบาย จึงไม่อยากให้เข้าพบ แต่ตอนนี้เล่า?
นางต้องการคนที่จะช่วยนางกดดันว่าที่พระชายาลั่วอ๋ององค์หญิงเหยาหวา ดังนั้นการเชื่อมสัมพันธ์กับคนเหล่านี้ล้วนมีความจำเป็น
หนิงกั๋วกงฮูหยินและซื่อจื่อฮูหยินเดินทางมาเพื่อขอบคุณ อีกทั้งยังเตรียมของขวัญชิ้นโตมาให้เฟิ่งชิงเฉินด้วย เมื่อเดินตรงเข้ามาซื่อจื่อฮูหยินก็หันไปคารวะเฟิ่งชิงเฉิน ทำให้เฟิ่งชิงเฉินต้องรีบหลบในทันใด แต่กลับถูกจิ้นหยางโหวฮูหยินรั้งเอาไว้แล้วกล่าวว่า “ชิงเฉิน การคารวะในครั้งนี้เจ้าจำเป็นต้องรับเอาไว้ หากไม่ใช่เพราะเจ้าล่ะก็ ซินโหรวและบุตรของเขาอีกสองคนก็คงจะ……”
เมื่อกล่าวถึงสถานการณ์ในวันนั้นอันวิกฤติ จิ้นหยางโหวฮูหยินก็ดวงตาแดงก่ำ เดิมทีสตรีคลอดบุตรก็ไม่ต่างอันใดกับการก้าวเข้าไปในประตูนรก โชคดีที่ซินโหรวเป็นคนมีจิตใจอ่อนโยน และได้พบกับสามีที่ดี อีกทั้งมีโอกาสรู้จักกับเฟิ่งชิงเฉินหมอหญิงผู้ดีและเก่งกาจผู้นี้
“คุณหนูชิงเฉิน สิ่งที่พี่สาวข้ากล่าวมานั้นถูกต้องแล้ว ท่านคือผู้มีพระคุณของซินโหรว ดังนั้นการคารวะในครั้งนี้ท่านควรรับเอาไว้ หากว่าลูกทั้งสองไม่ได้ยังเล็กเหลือเกิน และไม่สะดวกต่อการพาออกมาข้างนอก ข้าก็จะต้องพาพวกเขามาขอบคุณท่านเป็นการส่วนตัวอย่างแน่นอน หากไม่มีความช่วยเหลือจากคุณหนูชิงเฉินในครั้งนั้น ก็คงจะไม่มีซินโหรวและบุตรชายอีกสองคนในวันนี้ แท้จริงแล้วท่านซื่อจื่อก็ต้องการจะเดินทางมาขอบคุณคุณหนูชิงเฉินเป็นการส่วนตัวด้วยเช่นกัน เพียงแต่เกรงว่าจะเป็นการรบกวนความสงบของคุณหนูก็เท่านั้น”
หนิงกั๋วกงซื่อจื่อฮูหยิน คือสตรีที่คลอดยากในวันนั้นนั่นเอง นางช่างอ่อนโยนและสุภาพยิ่ง มองไปก็รู้ได้ว่าเกิดมาจากตระกูลสูงส่งและได้รับการอบรมมาอย่างดี เพียงแต่ว่าร่างกายของนางค่อนข้างเล็ก แม้จะเพิ่งอยู่ไฟเสร็จมองไปก็ยังดูผอมยิ่งนัก
หนิงกั๋วกงฮูหยินยืนยิ้มอยู่ด้านข้างและชื่นชมในความสามารถของเฟิ่งชิงเฉินยิ่งนัก หากว่าไม่มีเฟิ่งชิงเฉินล่ะก็ จวนกั๋วกงของพวกเขาจะมีหลานชายตัวน้อยสองคนได้อย่างไร
“ฮูหยินกล่าวเกินไปแล้ว ชิงเฉินเป็นเพียงแค่หมอเท่านั้น และเพียงแค่ทำในสิ่งที่ตนเองควรกระทำ” เฟิ่งชิงเฉินไม่ปฏิเสธอีกต่อไปและยอมรับการคารวะนั้น
หนิงกั๋วกงฮูหยินจึงรู้สึกยินดีมากขึ้น “คุณหนูเฟิ่ง จะว่าไปแล้วก็เป็นความผิดของพวกเรา ก่อนหน้านี้พวกเราต้องการจะเดินทางไปเยี่ยมเยียนที่จวน และยื่นคำร้องขอไปหลายครา แต่กลับถูกจักรพรรดินีปฏิเสธ ต่อมาเมื่อตั้งใจจะเดินทางไปอีกครั้ง จวนเฟิ่งกลับ……”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ หนิงกั๋วกงฮูหยินก็รู้สึกละอายใจ ช่วงเวลาที่เฟิ่งชิงเฉินต้องการคนเข้ามาช่วยเหลือมากที่สุด จวนหนิงกั๋วกงของพวกเขากลับปฏิเสธหลบหนีและปฏิบัติต่อผู้มีพระคุณเช่นนี้อย่างไร้มารยาท
“ฮูหยินอย่าได้เกรงใจกันไปเลย ความหวังดีของฮูหยินนั้นชิงเฉินจดจำไว้ในใจแล้ว ขอขอบพระคุณสำหรับความกรุณาของฮูหยินเป็นอย่างยิ่ง” เฟิ่งชิงเฉินเองก็ได้ยินมาว่าระหว่างช่วงที่นางถูกกุมขังตัว หนิงกั๋วกงฮูหยินเดินทางมาเพื่อขอเข้าพบนางหลายต่อหลายครา แท้จริงแล้วนางรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก อย่างน้อย แม่สามีและลูกสะใภ้คู่นี้ก็ยังรู้สึกรู้จักตอบแทนบุญคุณคน
อีกอย่างเรื่องที่ฝ่ายตรวจการฟ้องร้องเรื่องเสด็จอาเก้าและนาง ข่าวนี้คาดว่าคงจะไปถึงหูของจวนหนิงกั๋วกงแล้ว การที่พวกนางเดินทางมาในบัดนี้หมายความว่าพวกนางอยู่ข้างเดียวกันกับนางใช่หรือไม่
ท่ามกลางเวลาที่หมุนเวียนไป ในที่สุดเฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกได้ว่าตนพอจะมีสังคมอยู่บ้าง เฟิ่งชิงเฉินหันไปยิ้มให้กับหนิงกั๋วกงฮูหยินด้วยรอยยิ้ม แสดงถึงความขอบคุณ แต่คิดไม่ถึงว่าหนิงกั๋วกงฮูหยินผู้มีความเฉลียวฉลาดสุขุมและเคร่งขรึมในการปฏิบัติธรรมผู้นี้แดงตาดวงตาจะแดงเรื่อขึ้น “เจ้าเด็กโง่เอ๋ย เหตุใดเจ้ามักทำให้ผู้อื่นรู้สึกปวดใจหนักหนา”
นางไม่เคยจดจำความดีที่ทำกับคนอื่น แต่ความดีที่คนอื่นปฏิบัติต่อนางนั้นนางกลับจำเอาไว้ในใจ
หญิงสาวที่ใจดีเช่นนี้ เหตุใดคนพวกนั้นจึงโหดร้ายกับนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางไม่มีบิดาคอยคุ้มกัน ไม่มีมารดาคอยดูแลเอาใจใส่ ช่างน่าสงสารเหลือเกิน……
หนิงกั๋วกงฮูหยินกุมมือของเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้ เมื่อนึกถึงเรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินต้องพบเจอในเวลาครึ่งปีที่ผ่านมานี้ น้ำตาของนางก็ไหลรินโดยไม่อาจหยุดได้
หากว่าแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยินยังอยู่คงจะรู้สึกปวดใจยิ่งนัก ในฐานะบิดามารดา ผู้ใดเล่าจะทนเห็นบุตรสาวของตนถูกรังแกได้เช่นนี้
ช่างเป็นเด็กที่โชคชะตาชีวิตขมขื่นเสียจริง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าจะก้าวออกมาจากชีวิตอันขมขื่นและได้ลิ้มรสกับความหวาน แต่ประโยคนั้นของเสด็จอาเก้า ที่ว่า หากอยากจะเป็นพระชายาเอกของข้า จงพิสูจน์ตนเองให้เห็นก่อนว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่าเฟิ่งชิงเฉิน ประโยคนั้นทำให้นางถูกผลักลงไปอีกครั้งหนึ่ง……