นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 405 โฉนด ต้องเอาจวนเฟิ่งกลับคืนมา

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

บทที่ 405 โฉนด ต้องเอาจวนเฟิ่งกลับคืนมา

“เจ้าว่าอย่างไรนะ? ตระกูลเฟิ่งเป็นพื้นที่ของหลวงและบัดนี้จะถูกเวนคืน?” เฟิ่งชิงเฉินเดิมทีซึ่งอารมณ์ดีอยู่กลับถูกซูเหวินชิงทำลายเสียจนสิ้น

ซูเหวินชิงพยักหน้า วันนี้เขาก็อารมณ์ไม่ดีเช่นกัน วันนี้เขาได้เดินทางไปที่จวนเฟิ่งด้วยตนเองและค้นหาในซากปรักหักพังเหล่านั้นอยู่เป็นเวลานาน แต่ท้ายที่สุดแล้วก็หาไม่เจออะไรเลย ซูเหวินชิงสงสัยว่าหลานจิ่วชิงจะหลอกเขาเล่น และต้องการให้เขาทำงานแก่เฟิ่งชิงเฉินเปล่าๆ แม้ว่าเดิมทีเขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก

“ถูกต้องแล้ว เจ้าหน้าที่กล่าวว่าจวนเฟิ่งเป็นพื้นที่ของหลวง และบัดนี้โฉนดอยู่ในมือของพวกเขา พวกเขาต้องการจะยึดกลับ หากว่ากันตามกฎหมาย ชิงเฉินเจ้ามีโฉนดอยู่ในมือหรือไม่ หากมีละก็ พวกเราจึงจะต่อสู้กับทางเจ้าหน้าที่ได้ หากไม่มี……ที่แห่งนั้นเจ้าก็ไม่มีสิทธิในการก่อสร้างใหม่”

บัดนี้ซูเหวินชิงปวดหัวมากจริงๆ เขาแอบด่าหลานจิ่วชิงอยู่ในใจ ในเมื่อให้เขาไปสร้างจวนเฟิ่งใหม่แล้วเหตุใดไม่ทำทุกอย่างให้เรียบร้อยเสียก่อน เมื่อกำลังจะก่อสร้างขึ้นกับเกิดเรื่องเช่นนี้

“โฉนด? ข้าจะมีโฉนดได้อย่างไร? จวนเฟิ่งถูกเผาไหม้วอดวายสิ้น ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเดิมทีข้ามีโฉนดหรือไม่ ต่อให้มีก็คงไม่อาจหยิบยกออกมาได้” จวนเฟิ่งในครานั้นฝ่าบาทเป็นคนมอบให้ และทางการคงจะมีแผนรับมือไว้อยู่แล้ว เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่าตนเองโง่เง่าจริงๆ นางเดินทางมาที่นี่ตั้งเนิ่นนานแล้วแต่กลับลืมที่จะเอาโฉนดของจวนเฟิ่งมาไว้ในมือ

ในยุคปัจจุบันหากซื้อบ้านก็จำเป็นต้องมีโฉนดอสังหาริมทรัพย์ และโฉนดที่ดินนี้มีประโยชน์มากกว่าโฉนดอสังหาริมทรัพย์เสียอีก โฉนดอสังหาริมทรัพย์มีอายุได้เพียงเจ็ดสิบปีที่จะใช้งานมัน แต่โฉนดที่ดินสามารถใช้ได้ตลอดชีวิต

ซูเหวินชิงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น เรื่องนี้เขาไม่อาจกล่าวได้ว่าทางการต้องการหาเรื่องเฟิ่งชิงเฉิน “หากเป็นเช่นนั้น ในไม่ช้าจวนเฟิ่งแห่งนั้นก็จะกลับไปเป็นของหลวง จากการพระราชทานที่พักอาศัยเมื่อพ่อแม่ของเจ้าตายไปก็สามารถยึดคืนกลับมาได้ การที่เจ้าหน้าที่เหล่านั้นไม่ได้ยึดครองกลับมาทันทีนั่นคงเป็นเพราะเห็นแก่เจ้าคือคู่หมั้นของลั่วอ๋อง”

เฟิ่งชิงเฉินตกตะลึง จะว่าไปแล้วทางการก็ปฏิบัติตามกฎหมาย และถ้าว่าตามกฎหมายเหล่านั้นนางก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับจวนนั้นอีกเลย

“ชิงเฉิน หากเจ้าต้องการจะก่อสร้างจวนเฟิ่งขึ้นมาใหม่ เราก็ไม่จำเป็นที่ต้องสร้างในที่เดิมนี่ พวกเราไปซื้อที่แห่งใหม่แล้วสร้างจวนขึ้นดีหรือไม่?” ซูเหวินชิง เอ่ยเสนอความคิดเห็นขึ้นมาใหม่ ในสายตาของเขา จวนเฟิ่งแห่งนั้นไม่มีคุณค่าอีกต่อไป

“ไม่ได้ หากว่าเราไปก่อสร้างในที่แห่งใหม่ ที่นั่นยังจะเรียกได้ว่าจวนเฟิ่งอีกหรือ ข้าจะก่อตั้งมันในที่แห่งเดิม” การที่จวนเฟิ่งถูกเผานับว่าเป็นความเจ็บปวดในใจของนางอย่างไม่มีวันลบเลือน หากว่าไม่อาจสร้างจวนเฟิ่งขึ้นมาใหม่ในที่แห่งเดิมได้ เช่นนั้นนางก็คงจะไม่อาจตอบแทนบิดามารดาของตนได้

นางยังเคยกล่าวไว้ว่า จะสร้างสุสานให้พ่อแม่ของนางใหม่ แต่ผลสรุปว่า……

จวนเฟิ่งได้ถูกไฟไหม้จนไม่เหลืออะไรเลย

“ชิงเฉิน ที่แห่งนั้นไม่ใช่ของเจ้า นั่นคือที่ของหลวง ต่อให้มีเงินก็ซื้อไม่ได้!” เมื่อซูเหวินชิงกล่าวถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็แปลกไป แววตาที่มองเฟิ่งชิงเฉินเปลี่ยนไปทันที

“เหวินชิง เจ้าเป็นอะไรไป?” เฟิ่งชิงเฉินถูกซูเหวินชิงมองเสียจนขนลุกขนพอง และรู้สึกว่าแววตาของเขาช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน

ซูเหวินชิงเป็นคนเฉลียวฉลาด เขารีบหันกลับมามองแล้วรู้สึกตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร เฟิ่งชิงเฉินในเมื่อเจ้าต้องการจะสร้างจวนเฟิ่งแห่งใหม่ในที่นั่น ก็ควรจะต้องคิดหาวิธีในการได้โฉนดที่ดินกลับมา”

“ในเมื่อเรื่องนี้เจ้าหน้าที่เป็นคนสร้างมันขึ้นมา เจ้าก็จงไปหาเจ้าหน้าที่เหล่านั้น ในเมืองหลวงนี้เต็มไปด้วยขุนนางมากมาย เจ้าจงไปสร้างสัมพันธ์กับพวกเขาแล้วให้พวกเขาช่วยเอาโฉนดจวนเฟิ่งมาให้”

ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมองของซูเหวินชิง นั่นก็คือการก่อตั้งจวนเฟิ่งขึ้นใหม่นั้นพบเข้ากับปัญหา คาดว่าคงจะเกี่ยวข้องกับเสด็จอาเก้าอย่างแน่นอน เนื่องจากองค์จักรพรรดิคงไม่ไปข้องเกี่ยวกับเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ และคนอื่นๆ คงไม่สร้างเรื่องหนักใจให้แก่เฟิ่งชิงเฉินแบบนี้เช่นกัน เนื่องจากคนอื่นนั้นไม่รู้ว่าสำหรับเฟิ่งชิงเฉินแล้วจวนเฟิ่งหมีความสำคัญเช่นใด

ซูเหวินชิงช่างเห็นใจเฟิ่งชิงเฉินยิ่งนัก เสด็จอาเก้าโหดเหี้ยมจริงๆ เขาไม่เคยใจอ่อนกับการจัดการเฟิ่งชิงเฉินเลย

“คงทำได้เพียงเท่านี้ ไม่ว่าอย่างไรข้าจะต้องได้โฉนดของจวนเฟิ่งมาให้ได้”

เฟิ่งชิงเฉินยอมรับคำแนะนำของซูเหวินชิงและกำลังคิดว่าจะหาใครเข้ามาช่วยในเรื่องนี้ดี แต่เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้กลับพบว่า นางดูเหมือนไม่สามารถจัดการได้ หนิงกั๋วกงสัญญาว่าจะช่วยนางเอ่ยถามดู แต่ก็บอกว่านางอย่าได้คาดหวังมากนัก เนื่องจากจวนนั้นไม่ใช่ว่าสามารถซื้อขายได้มีเงินมากเท่าไหร่ก็ไม่อาจได้มาตามต้องการ

เฟิ่งชิงเฉินจึงทำได้เพียงกล่าวขอบคุณแล้วแอบถอนหายใจ หากว่าบัดนี้หวังจิ่นหลิงอยู่ในเมืองหลวงก็คงดี อย่างน้อยนางยังสามารถเดินทางไปหาให้เขาช่วยเหลือ บัดนี้หวังตจิ่นหลิงไม่อยู่ในเมืองหลวงและนางเองก็จะไปหาตระกูลหวังด้วยเรื่องเหล่านี้ไม่ได้

เสด็จอาเก้าเป็นตัวเลือกที่ดีทีเดียว แต่บัดนี้ตัวเขาเองก็เพิ่งจะถูกโจมตีจากฝ่ายตรวจการ หากว่าให้เขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อีกก็คงจะเป็นการมอบหลักฐานไปให้แก่ฝ่ายตรวจการไม่ใช่หรือ อีกอย่าง……นางไม่อาจเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากเสด็จอาเก้าได้

เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนที่เกลียดการร้องขอคนอื่นมากที่สุด เรื่องของจวนเฟิ่งนี้นางไปร้องขอผู้คนจำนวนมากให้ช่วยเหลือ มีเพียงเสด็จอาเก้าเท่านั้นที่นางไม่อยากไปขอความช่วยเหลือจากเขา

เฟิ่งชิงเฉินและซุ่นเทียนฝู่นับได้ว่ามีบุญคุณต่อกันอยู่เล็กน้อย นางได้ช่วยเหลือคนในซุ่นเทียนฝู่มากมายทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ แต่เมื่อเฟิ่งชิงเฉินกล่าวเรื่องนี้ออกมา ใต้เท้าเว่ยก็ทำสีหน้าขมขื่นและปฏิเสธว่าเรื่องนี้เขาไม่อาจทำสิ่งใดได้เลย ซึ่งทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก ทว่าไม่อาจทำอะไรกับฝ่ายตรงข้ามได้

เดิมทีนางต้องการจะเข้าไปหาลู่เส้าหลินผู้บัญชาการขององครักษ์เสื้อโลหิตในวันต่อมา แต่เมื่อนึกถึงเรื่องจิ้นหยางโหวฮูหยินได้ เฟิ่งชิงเฉินจึงคิดว่าควรจะไปจวนจิ้นหยางโหวเพื่อรักษาอาการให้แก่คุณหนูใหญ่ตระกูลเวินเสียก่อน

แต่หลังจากตรวจร่างกายคุณหนูใหญ่ตระกูลเวินพบว่านางสุขภาพแข็งแรง แนะเรื่องบนเตียงเหล่านั้นก็ไม่ได้บกพร่อง ไม่มีความเป็นไปได้เลยที่จะไม่ตั้งครรภ์ จากนั้นจึงได้ยินคุณหนูใหญ่ตระกูลเวินกล่าวว่าสามีของนางมีอนุภรรยานับสิบคน แต่ละคนไม่มีใครให้กำเนิดบุตรเลย เฟิ่งชิงเฉินจึงเอ่ยเตือนอย่างสุภาพว่าปัญหาอาจจะอยู่ที่สามีของนาง

คุณหนูใหญ่ตระกูลเวินได้ยินดังนั้นก็กล่าวว่านางจะนำไปพิจารณาดู และเอ่ยอย่างอ้อมค้อมว่าอย่ากล่าวเรื่องนี้ออกไป เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าตกลง จนกระทั่งคุณหนูใหญ่ตระกูลเวินเดินทางจากไปแล้ว จิ้นหยางโหวฮูหยินจึงได้นั่งลงสนทนากับเฟิ่งชิงเฉิน

ไม่มีอะไรมากกว่าการปลอบโยนเรื่องของที่นางถูกกล่าวหาในทางชู้สาวกับเสด็จอาเก้าได้ถูกองค์จักรพรรดิระงับเรื่องเอาไว้ และเจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ไม่กล้ากล่าวถึงเรื่องนั้นอีก เช่นนั้นในระยะเวลาอันสั้นคงจะไม่เกิดเรื่องใดแน่

ส่วนจวนเฟิ่งนั้น จิ้นหยางโหวฮูหยินได้เอ่ยแทนหนิงกั๋วกงประโยคหนึ่งว่า ไม่มีหวัง เฟิ่งชิงเฉินอย่าได้พยายามต่อไปเลย

เฟิ่งชิงเฉินได้ยินดังนั้นก็นั่งเงียบ สำหรับนางแล้วจวนเฟิ่งช่างมีคุณค่าความหมายยิ่งนัก หากไม่ถึงทางเลือกสุดท้ายจริงๆ นางก็คงไม่ยอมปล่อยมือ

“ชิงเฉินอย่าได้มัวหมกมุ่นอยู่กับอดีตเลย ข้ามีจวนอีกตั้งหลายหลังและทำเลแสนดีสภาพแวดล้อมก็ดีนัก หากเจ้าชอบล่ะก็จงเลือกมาแล้วค้าจะขายให้เจ้าในราคาต่ำ หากว่าเจ้าไม่พอใจในจวนที่ข้ามี ซินโหรวก็มีจวนอยู่หลายหลังเช่นกัน เจ้าสามารถเลือกได้ตามใจชอบ”

จิ้นหยางโหวฮูหยินวางแผนไว้สำหรับเฟิ่งชิงเฉินจากใจจริง เนื่องจากที่ดินในเมืองหลวงมีจำกัดและจำนวนจวนก็มีจำกัด ในมือนางมีเงินจำนวนมากจึงไม่จำเป็นจะต้องขายจวนเหล่านั้น แต่การที่นางยินดีจะมอบจวนให้เฟิ่งชิงเฉิน เป็นเพราะนางรู้สึกโปรดปรานยิ่งนัก

“ขอบพระคุณฮูหยินเป็นอย่างยิ่ง แต่ชิงเฉินจะขอลองคิดหาวิธีอื่นดู” หากว่าการซื้อจวนใหม่แห่งหนึ่งสามารถจัดการปัญหานี้ได้นางคงซื้อไปตั้งนานแล้ว

นางเป็นคนที่ค่อนข้างดื้อรั้น หากว่าตั้งใจจะทำเรื่องใดแล้วก็จะต้องทำให้ได้ อาทิเช่นจวนเฟิ่ง ในใจของนางที่นี่คือบ้านและเหตุใดนางจึงต้องให้ผู้อื่นมาครอบครอง

วันต่อมา เมื่อเฟิ่งชิงเฉินพบกับลู่เส้าหลินและเมื่อเฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกไปเช่นนั้นกลับถูกลู่เส้าหลินปฏิเสธอย่างทันควัน “ชิงเฉินพวกเรานั้นถือว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เรื่องที่เจ้าต้องการเพียงแค่เอ่ยปากหากข้าทำได้รับรองว่าข้าจะทำให้เจ้า แต่เรื่องนี้ข้าไม่อาจช่วยได้จริงๆ”

ในเมื่อเขาปฏิเสธมาถึงขั้นนี้แล้วต่อให้นางอ้อนวอนต่อไปก็ไร้ประโยชน์ เฟิ่งชิงเฉินซึ่งไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาและอยู่สนทนากับลู่ฮูหยินสักพัก ร่วมรับประทานอาหารเย็นที่จวนลู่ ก่อนเดินทางกลับจวนซุน ก่อนจะเดินทางจากไป ลู่เส้าหลินได้เอ่ยเตือนขึ้นประโยคหนึ่งว่า “เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่ามีคนจัดการอยู่ หากเจ้าต้องการโฉนดที่ดินจวนเฟิ่งเจ้าจงไปหาคนผู้นั้น”

เฟิ่งชิงเฉินตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ก่อนจะได้สติกลับคืนมาแล้วหันมาขอบคุณ นางขึ้นไปนั่งบนรถม้าหลับตาครุ่นคิด

มีคนบงการอยู่ เป็นคนที่แม้แต่ลู่เส้าหลินก็ยังเกรงกลัว คงเป็นได้เพียงองค์ชายหรือราชวงศ์ เรื่องนี้สามารถร้องขอให้เซียวชินอ๋องช่วย ว่าแต่นางมีเหตุผลอันใดจะไปร้องขอให้เซียวชินอ๋องช่วยเล่า อีกอย่างเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้เซียวชินอ๋องจะมาช่วยนางได้อย่างไร

เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้วขึ้นด้วยความรู้สึกหนักใจ นางไม่มีอำนาจใดและใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงช่างเหนื่อยเหลือเกิน ในขณะที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังครุ่นคิดว่าจะให้ใครช่วยแก้ไขเรื่องนี้ดีจู่ๆ รถม้าก็หยุดลง

“เกิดอะไรขึ้น?” เนื่องจากเฟิ่งชิงเฉินอารมณ์ไม่ดีจึงเห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงของนางดูเยือกเย็น

“เอ๋ ชิงเฉินเป็นเจ้าจริงๆ” ด้านนอกรถม้าน้ำเสียงของตี๋ตงหมิงดังขึ้น เฟิ่งชิงเฉินเปิดผ้าม่านขึ้นเล็กน้อยและพบตี๋ตงหมิงสวมชุดทหาร ด้านหลังมีทีมองครักษ์มากมาย

“ตี๋ตงหมิงเหตุใดเจ้าจึงอยู่ที่นี่?” เฟิ่งชิงเฉินเอ่ยถามด้วยความงุนงง เนื่องจากเส้นทางที่นางเดินไม่ใช่ถนนสายหลัก อีกทั้งข้างหลังของตี๋ตงหมิงยังมีทหารด้วย ทำไมพวกเขาถึงมาอยู่ที่ถนนเส้นนี้ได้

“ข้าเห็นรถม้าของตระกูลซุนจึงคิดว่าคงเป็นเจ้า ดังนั้นเลยได้เดินทางมาดู” ก่อนที่หวังจิ่นหลิงจะเดินทางจากไปได้กำชับตี๋ตงหมิงเอาไว้อย่างหนักหนาว่าให้คอยจับตามองดูเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้ หากเรื่องการลอบฆ่าในครั้งก่อนเกิดขึ้นอีกครั้งล่ะก็ เฟิ่งชิงเฉินคงจะแย่

ดังนั้น เมื่อเห็นรถม้าของจวนซุนในเวลาค่ำคืน ตี๋ตงหมิงจึงได้ให้ความสนใจมากขึ้น

“ข้าเพิ่งออกมาจากจวนลู่” เฟิ่งชิงเฉินชี้ไปทางจวนลู่ซึ่งอยู่ไม่ไกลนักเพื่อให้เขาวางใจว่านางไม่ได้ทำการพลการใดๆ เรื่องการลอบสังหารนางเองก็กังวลเช่นกัน แต่ว่าความสามารถของนางมีขีดจำกัดไม่อาจสืบพบได้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง

ตี๋ตงหมิงรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินรู้ดีควรทำเช่นไรจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใดมาก “เจ้าจงระมัดระวังเอาไว้ด้วย ตอนกลางคืนหากไม่มีธุระใดอย่าได้ออกไปไหนเลย หากจำเป็นต้องออกไปข้างนอกจงส่งคนมาหาข้าแล้วข้าจะให้ทหารไปปกป้องเจ้า”

เฟิ่งชิงเฉินขอพักอาศัยอยู่ที่จวนซุนชั่วคราว ดังนั้นตี๋ตงหมิงจึงไม่กล้าจะส่งทหารไปดูแล รอให้จวนเฟิ่งปรับปรุงเรียบร้อยก่อนแล้วค่อยว่ากัน

“ขอบใจเจ้ามาก ข้าจะคอยระมัดระวัง” ท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินดูเฉยเมยไม่ต่างอันใดกับปกติ ตี๋ตงหมิงจึงไม่ทันสังเกตว่ามีสิ่งใดผิดปกติไปและไม่ได้คิดมากเพียงพยักหน้ากล่าวว่า “เอาล่ะ เช่นนั้นเจ้าจงรีบกลับไปเถิดข้ายังมีธุระอื่น”

“ธุระหรือ? เกิดเรื่องขึ้นในเมืองหลวงหรืออย่างไร?” เฟิ่งชิงเฉินสัมผัสได้ถึงความผิดปกติไปทันที

ตี๋ตงหมิงก้าวไปด้านหน้ากระซิบข้างหูเฟิ่งชิงเฉินว่า “ซีหลิงเทียนอวี่ องค์ชายรองแห่งราชวงศ์ซีหลิงเดินทางมาร้องขอรับการรักษา บัดนี้เขากำลังจะเข้าเฝ้าฝ่าบาท ข้ามีหน้าที่อารักขาความปลอดภัยของเขาเมื่ออยู่ในราชวงศ์ตงหลิง”

“องค์ชายรองแห่งราชวงศ์ซีหลิง?” ปฏิกิริยาของเฟิ่งชิงเฉินตอบสนองออกมาอย่างรวดเร็ว ทำเอาเสียตี๋ตงหมิงตกใจรีบปิดปากนางเอาไว้ “เงียบไว้ ข้าบอกแล้วว่าเรื่องนี้คือความลับ!”

เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าแล้วตบไปที่มือของตี๋ตงหมิง “ข้ารู้แล้ว ในเมื่อเจ้ามีธุระจงรีบไปเถิด”

“อืม เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน เจ้าเองระมัดระวังตัวให้ดี” ตี๋ตงหมิงกำชับเสร็จแล้วหันกลับไป เขาส่งทหารสิบนายคุ้มกันเฟิ่งชิงเฉินกลับจวน เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ปฏิเสธ เนื่องจากบัดนี้ความคิดของนางหมกมุ่นอยู่ที่องค์ชายรองที่ยังไม่เคยพบหน้าของราชวงศ์ซีหลิง……

คนผู้นี้เสด็จอาเก้าเคยกล่าวถึง เฟิ่งชิงเฉินแน่ใจได้เลยว่าคนผู้นี้มีความสัมพันธ์กับเสด็จอาเก้าไม่เลว และเรื่องของโฉนดจวนเฟิ่งคาดว่าอาจจะลงมือจากตรงนี้ได้……

เฟิ่งชิงเฉินเผยอยิ้มขึ้นอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มของนางแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ การเดินทางออกมาในวันนี้ช่างได้ผลตอบแทนที่ดีเหลือเกิน

ต่อจากนี้นางรู้แล้วว่าควรจะทำเช่นไร!

บทที่ 404 ศัตรู จวนเฟิ่งแย่แล้ว

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท