บทที่ 406 อดทน ใครร้อนใจก่อนผู้นั้นเป็นฝ่ายแพ้
เฟิ่งชิงเฉินไม่แน่ใจนักว่ารายละเอียดเรื่องโฉนดที่ดินของจวนเฟิ่งเป็นอย่างไรและนางก็ไม่กล้ามั่นใจนัก แต่จากสัญชาตญาณของผู้หญิงและความเข้าใจเกี่ยวกับแนวโน้มในเมืองหลวงแล้ว เฟิ่งชิงเฉินมั่นใจว่าเรื่องนี้มุ่งเป้ามาที่นางอย่างแน่นอนและจะต้องเกี่ยวข้องกับองค์ชายรองแห่งซีหลิงเป็นแน่
เมื่อพบประเด็นสำคัญแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่กังวลอีกต่อไป ยิ่งนางกังวลมากเท่าไร อีกฝ่ายก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินกลับมาจากจวนลู่ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อีกและแสดงท่าทียอมแพ้อยู่ภายนอก
จิ้นหยางโหวฮูหยินและท่านชายหนิงกั๋วกงซื่อจื่อถอนหายใจด้วยความโล่งอกและรีบมาเยี่ยมนางพร้อมทั้งนำจวนสองสามหลังมาให้นางเลือก เฟิ่งชิงเฉินปฏิเสธด้วยรอยยิ้มและบอกว่าเดี๋ยวนางจะหาที่ดินสร้างจวนขึ้นใหม่เองในอนาคต
เฟิ่งชิงเฉินขอให้ซูเหวินชิงช่วยนางเช่าจวนที่มีสามห้องนอน เดิมทีนางต้องการจะซื้อ แต่เฟิ่งชิงเฉินพบว่านางไม่มีเงิน แม้ว่าซูเหวินชิงจะเสนอตัวซื้อให้นางอย่างใจกว้าง แต่นางก็ปฏิเสธไป
เฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่นกขมิ้นในกรงที่ต้องให้ผู้อื่นเลี้ยงดูและต้องพึ่งพาผู้ชายเพื่อความอยู่รอด ค่าเช่าบ้านเป็นค่ารักษาที่หนิงกั๋วกงส่งมาให้หนึ่งพันตำลึงเงิน เฟิ่งชิงเฉินไม่ปฏิเสธและรับมันมาอย่างมีความสุข แพทย์รับค่ารักษาย่อมเป็นเรื่องปกติ
ในวันที่นางย้ายออกจากจวนซุน นางยังคงไม่ได้พบซุนเจิ้งเต้าจึงเพียงกล่าวอำลากับซุนฮูหยินเท่านั้น เฟิ่งชิงเฉินมักจะรู้สึกว่าซุนเจิ้งเต้ากำลังปิดบังบางอย่างจากนาง หลังจากเอ่ยถามหลายครั้งกลับถูกซุนฮูหยินไล่ออกมาด้วยรอยยิ้มและเพียงกล่าวว่าไม่เป็นไร ขุนนางในราชสำนักป่วย เขาที่เป็นหัวหน้าสำนักหมอหลวงจึงยุ่งมาก
เฟิ่งชิงเฉินไม่มีทางอื่นแม้ว่านางและซุนซือสิงได้เป็นอาจารย์และศิษย์ แต่นางก็ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในจวนของผู้อื่นได้ นางได้แต่เพียงแอบเตือนให้ซุนซือสิงให้ใส่ใจหน่อยเท่านั้น
ทิศตะวันออกและทิศตะวันตกมั่งคั่งมีราคาแพง ทิศใต้และทิศเหนือยากจนมีราคาถูก บ้านหลังใหม่ของเฟิ่งชิงเฉินตั้งอยู่ในพื้นที่ทางทิศตะวันตกของเมืองหลวงใกล้กับจวนของตระกูลซู ที่นั่นสภาพแวดล้อมสวยงามประณีต มีต้นไม้ร่มรื่นเย็นสบาย มีกลิ่นอายของเจียงหนาน เมื่อเทียบกับจวนเฟิ่งแล้ว เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่าจวนเล็กๆ แห่งนี้เหมาะสำหรับให้นางอาศัยอยู่มากกว่าเสียอีก
แม้ว่าจวนเล็กๆ จะดี แต่ที่นี่ไม่ใช่บ้านของนาง นางสาบานว่าจะเอาจวนเฟิ่งคืนมาให้ได้!
เมื่อเข้าพักให้จวนหลังเล็กแห่งนี้แล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ปิดประตูและใช้ชีวิตอย่างสงบสุข จวนหลังเล็กมีข้ารับใช้ที่ตระกูลซูส่งมา ผู้คุ้มกันที่ตี๋ตงหมิงส่งมา ดังนั้นนางจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของตนเองเลย
ทงเหยาและทงจือที่หวังจิ่นหลิงเคยนำตัวกลับไปก็ได้กลับมา มีสองสาวใช้อยู่ปรนนิบัติ เฟิ่งชิงเฉินจึงไม่ต้องเสียเวลายุ่งวุ่นวายไปกับเรื่องหยุมหยิมในชีวิตประจำวัน
ทุกอย่างเหมือนกับยามที่อยู่ในจวนเฟิ่ง แต่ยิ่งนางอาศัยอยู่ที่จวนหลังเล็กนี้นานเท่าไร นางก็ยิ่งคิดถึงจวนเฟิ่งมากขึ้นเท่านั้น เมื่ออยู่ที่นี่มาได้ครึ่งเดือนก็เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง เรื่องราวต่างๆ ก็เริ่มมีผลลัพธ์
สถานการณ์ความวุ่นวายในราชสำนักคลี่คลายลง มีขุนนางใหม่ปรากฏตัวขึ้นมากมาย มีทั้งคนของจักรพรรดิ มีคนจากตระกูลขุนนางและบางคนไม่เข้าพวก จำนวนคนหน้าใหม่เพิ่มขึ้น ตามธรรมชาติจึงทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความมีชีวิตชีวาซึ่งสามารถคลายความอึมครึมของฤดูใบไม้ร่วงไปได้หลายส่วน แต่เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าหลังจากนี้อีกหนึ่งเดือน รอจนองค์ชายจากทั้งสามแคว้นจากไป เมืองหลวงคงจะถึงคราวนองเลือดอีกครั้ง
เมื่อมีขุนนางใหม่ ขุนนางเก่าเหล่านั้นบ้างก็ตาย บ้างก็ถูกเนรเทศ ฤดูใบไม้ร่วงก็เป็นเวลาเหมาะสมสำหรับการประหาร เมื่อเฟิ่งชิงเฉินได้ยินเรื่องนี้นางก็ถอนใจ นางเพียงแค่เป็นตัวเปิดเรื่องเท่านั้น เรื่องต่อมาหลังจากนั้นล้วนเป็นใต้เท้าเหล่านั้นที่เป็นผู้ผลักดัน มันไม่เกี่ยวอะไรกับนางเลย
นอกจากเรื่องในราชสำนักแล้ว เรื่องสำคัญหลายเรื่องก็มีบทสรุปแล้วเช่นกัน เช่น การแต่งงานระหว่างเป่ยหลิงเฟิ่งเฉียนและองค์หญิงอันผิง ว่ากันว่าเสด็จอาเก้าเป็นผู้สนับสนุนหลัก เป่ยหลิงเฟิ่งเฉียนได้กล่าวขอบคุณเสด็จอาเก้าหลายครั้ง ความสัมพันธ์ระหว่างเสด็จอาเก้าและเป่ยหลิงก็ดีขึ้นตามลำดับ เป่ยหลิงเฟิ่งเฉียนได้กลับแคว้นของตนไปแล้วเพื่อตระเตรียมงานแต่งงาน
ซีหลิงเหยาหวาบอกว่านางจะไม่แต่งงานกับตงหลิงจื่อชุนและขอให้ตงหลิงจื่อชุนแต่งงานเข้าสู่ราชสกุลซีหลิงแทน ทำให้จักรพรรดิโกรธจนสะบัดแขนเสื้อจากไป เสด็จอาเก้าออกหน้าไกล่เกลี่ยกับซีหลิงเทียนเหล่ย ซีหลิงเหยาหวาจึงต้องน้ำตาคลอเก็บข้อเสนออันไร้มารยาทของนางไปและกลับแคว้นไปเพื่อรอแต่งงาน แต่ซีหลิงเทียนเหล่ยกลับยังคงอยู่ที่นี่
“เสด็จอาเก้ายอดเยี่ยมยิ่งนัก เขาสามารถเอาชนะพวกเขาไปได้ทีละคน แล้วหนานหลิงเล่า? เกิดอะไรขึ้นกับหนานหลิงจิ่นฝานและซูหว่าน?” เฟิ่งชิงเฉินเห็นเรื่องสำคัญระดับชาติเป็นเรื่องซุบซิบนินทาและถามซูเหวินชิงอย่างเฉยเมย
ถูกต้องแล้ว ข่าวสารเหล่านี้ล้วนเป็นซูเหวินชิงที่นำมาบอกเล่าแก่นาง สำหรับจุดประสงค์ของซูเหวินชิงนั้น เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ถามและไม่คิดว่าจำเป็นต้องถาม
“ไม่รู้สิ ข้าไม่ได้ยินเรื่องของหนานหลิงเลย ดูเหมือนว่าพวกเขาจะยังไม่ยอมแพ้เรื่องที่จะให้เสด็จอาเก้าแต่งงานกับซูหว่านและครั้งนี้เสด็จอาเก้าไม่ได้ปฏิเสธโดยตรงอย่างเชานคราวที่แล้ว” ดวงตาของซูเหวินชิงเป็นประกาย เขาจ้องมองเฟิ่งชิงเฉินโดยไม่กพริบตาราวกับว่าเขากำลังรอให้เฟิ่งชิงเฉินโมโห
น่าเสียดายที่ซูเหวินชิงจะต้องผิดหวัง เฟิ่งชิงเฉินเพียงแค่พูดว่า “อ้อ…” และดูเหมือนว่านางจะไม่สนใจอีก
ใช้เรื่องนี้มาหยั่งเชิงนางช่างไม่มีลูกล่อลูกชนเอาเสียเลย หากเสด็จอาเก้ายินยอมที่จะแต่งงานกับซูหว่านก็คงจะแต่งไปนานแล้ว จะต้องเอานางมาเป็นโล่กำบังด้วยหรือ
เมื่อเห็นใบหน้าร้อนใจของซูเหวินชิง ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินไม่มีอะไรแต่ในใจกลับยิ้มเย็น ยามประจันหน้า ใครเก็บอารมณ์ได้มากกว่า คนนั้นก็จะเป็นผู้ชนะ
เสด็จอาเก้าไม่ได้เพิ่งใช้โฉนดที่ดินของจวนเฟิ่งเล่นงานนางหรือ คิดว่านางไม่รู้อะไรเลยหรืออย่างไร นางอยากจะคอยดูนักว่าใครจะเป็นฝ่ายมาง้อก่อน
เอ่อ… ซูเหวินชิงรู้สึกเซ็ง เฟิ่งชิงเฉินหมายความว่าอย่างไร คิดดูแล้วซูเหวินชิงจึงหยั่งเชิงถามอีก “ชิงเฉิน? เจ้าไม่กลัวว่าเสด็จอาเก้าจะแต่งงานกับซูหว่านหรือ? และเจ้าไม่ต้องการที่ดินของจวนเฟิ่งแล้วหรือ?”
“เสด็จอาเก้าจะแต่งงานกับใครเกี่ยวอะไรกับข้า ส่วนโฉนดที่ดินจวนเฟิ่งข้าย่อมอยากได้คืน” เฟิ่งชิงเฉินกลอกตามองซูเหวินชิง จิ้งจอกซูผู้นี้ตรงไปตรงมาเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน
“เอ่อ เจ้าไม่สนใจเรื่องของเสด็จอาเก้าจริงๆ หรือ?” หัวใจของสตรีลึกล้ำดังก้นมหาสมุทร ใจของนางเปลี่ยนเร็วเกินไปแล้วหรือเปล่า
“มีอะไรให้น่าสนใจ เรื่องของเขาเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย ข้าเป็นอะไรกับเขากัน?” เฟิ่งชิงเฉินพ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา ซูเหวินชิงจึงตระหนักได้ว่าคำพูดของเขาล้ำเส้นเกินไปแล้วจึงลูบจมูกอย่างอายๆ และรีบถามคำถามอื่นต่อ “เรื่องโฉนดที่ดินของจวนเฟิ่งนั้น หากเจ้าต้องการจริงๆ ทำไมเจ้าไม่เห็นทำอะไรเลย?”
ซูเหวินชิงไม่เข้าใจ เฟิ่งชิงเฉินไปหาผู้คนมากมายเช่นนั้นควรจะรู้ว่าเรื่องนี้ต้องไปหาเสด็จอาเก้าจึงจะได้ผล เพียงแค่นางเอ่ยปากบอกเสด็จอาเก้า เขาจะต้องจัดการให้นางอย่างดี แน่นอนว่านางก็ควรจะต้องจ่ายค่าชดเชยเล็กน้อย
“ข้าทำทุกอย่างที่ข้าทำได้แล้ว ที่เหลือก็คงต้องสุดแล้วแต่สวรรค์จะบันดาล หากได้โฉนดที่ดินของจวนเฟิ่งคืนมาก็คงดีเป็นที่สุด แต่หากเอาคืนมาไม่ได้แล้วจะให้ข้าทำอย่างไรได้ ตั้งแต่สมัยโบราณมา ประชาชนก็ไม่อาจสู้กับข้าราชการไหว แม้ว่าบิดาของข้าจะได้รับการแต่งตั้งหลังเสียชีวิตให้เป็นจงอี้โหว แต่เขาตายไปแล้ว ข้าที่มีชื่อเป็นบุตรีของจงอี้โหวก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ยกเว้นแต่ข้าจะแต่งงานและให้อีกฝ่ายได้รับสืบทอดบรรดาศักดิ์ของท่าพ่อไป บางทีฝ่าบาทอาจจะเห็นแก่ท่านโหวคนใหม่และประทานจวนให้ข้า” เมื่อเฟิ่งชิงเฉินพูดมาถึงประโยคหลัง แววเย้ยหยันในดวงตาของนางก็ยิ่งเด่นชัด
เสด็จอาเก้าคิดว่านางไม่มีทางออกแล้วกระมัง? นางจะหาทางออกให้เขาเห็นว่าหากบีบคั้นนางมากนัก นางจะแต่งงาน!
“เจ้าจะแต่งงานหรือ?” ซูเหวินชิงแทบจะเป็นลม เฟิ่งชิงเฉินช่างกล้าหาญยิ่งนัก เสด็จอาเก้าเคยเอ่ยปากออกมาแล้วว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นผู้หญิงของเขา แต่ยังกล้าคิดที่จะหาสามีอีกหรือ
เฟิ่งชิงเฉินกะพริบตากลมโตคู่สวยของนาง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความจริงจังและความจนปัญญา “ใช่ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด แม้ว่าชื่อเสียงของข้าจะไม่ดีนัก แต่อย่าลืมว่าข้ามีบรรดาศักดิ์เป็นของหมั้น หากจะหาบุตรอนุสักคนในตระกูลขุนนางก็เป็นเรื่องง่าย หากข้าเอาโฉนดที่ดินของจวนเฟิ่งคืนมาไม่ได้ ข้าก็จะหาสามีสักคน ตอนนั้นยามที่มีคำสั่งลงมา ข้าก็จะขอพระราชทานจวนเก่าๆ สักจวนมาเป็นจวนของจงอี้โหว ข้าคิดว่าฝ่าบาทคงจะไม่ทำให้ข้าต้องอับอายนัก”
นี่เป็นการข่มขู่ เฟิ่งชิงเฉินเชื่อว่าเสด็จอาเก้าจะได้ยินเรื่องนี้ในไม่ช้า
หากเป็นเรื่องฉุกเฉินจริงๆ นางก็จะแต่งงานโดยไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นอีก คนที่ทนทุกข์ทรมานไม่จำเป็นต้องเป็นนาง ทั้งชีวิตของสตรีมิใช่ว่าต้องคอยปรนนิบัติรับใช้สามีและอบรมสั่งสอนบุตรหรือ คิดว่านางแต่งงานออกไปไม่ได้หรืออย่างไร
ต่อให้นางถูกระเบิดของจักรพรรดิแล้วอย่างไร ถ้าจักรพรรดิไม่สั่งลงโทษนาง นางก็เป็นผู้บริสุทธิ์ มีบรรดาศักดิ์เป็นสินสอดทองหมั้น ผู้ที่คิดอยากแต่งงานกับนางย่อมมีไม่น้อย…
“เจ้าพูดจริงเหรอ?” ซูเหวินชิงถามอย่างแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่เขาได้ยิน เฟิ่งชิงเฉินใจเด็ดเกินไปแล้ว
ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินเคร่งขรึม ชัดเจนว่านางไม่ได้ล้อเล่น “สามวัน ภายในสามวัน ถ้าข้ายังไม่ได้โฉนดที่ดินของจวนเฟิ่งคืน ข้าจะประกาศหาสามีแต่งงาน”
นางทิ้งท้ายไว้เช่นนี้แล้วจึงหมุนตัวจากไปโดยไม่สนใจว่าซูเหวินชิงจะคิดอย่างไร