บทที่ 417 เสด็จอาเก้า ให้ข้าได้พิงท่านสักพัก
สตรีที่สามารถยืนหยัดอยู่ในวังได้ นอกจากอำนาจของวงศ์ตระกูลแล้ว วิธีการเฉพาะตัวก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เฟิ่งชิงเฉินคิดว่าจิตใจของตนเองนั้นเย็นชาและโหดร้ายมากพอมาโดยตลอด แต่เมื่อเทียบกับสนมเอกเซี่ยแล้ว นางถึงกับไม่กล้าที่จะมองดูวิธีการของตนเอง
ยามที่นางบอกกับสนมเอกเซี่ยว่า “เหนียงเหนียง ทารกในครรภ์ของท่านเป็นองค์ชาย แต่ร่างกายของท่านทรุดโทรมไปมากและได้ส่งผลกระทบกับสุขภาพองค์ชายน้อย”
สนมเอกเซี่ยถามอย่างตรงไปตรงมา “โอกาสที่จะให้กำเนิดองค์ชายที่แข็งแรงนั้นมีมากแค่ไหน?”
เมื่อสนมเอกเซี่ยได้รู้ว่ามีเพียงแค่เจ็ดส่วนเท่านั้นก็ได้ขอให้นางเตรียมยาที่ใช้ทำแท้งเด็กโดยตรง
“เหนียงเหนียง ถ้าหากว่าท่านต้องการที่จะทำแท้งเด็กคนนี้ โอกาสการตั้งครรภ์ในอนาคตของท่านจะเป็นศูนย์” เฟิ่งชิงเฉินตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา
นางคิดมาโดยตลอดว่ามารดาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ถึงแม้ว่าแม่ของนางจะทิ้งนางไปตั้งแต่นางเกิด แต่นางก็คิดมาโดยตลอดว่าแม่ของนางคงจะต้องมีความลำบากบางอย่าง
แต่เมื่อได้เห็นสนมเอกเซี่ยที่คิดคุณค่าของเด็กในครรภ์ตนเองด้วยวิธีเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินจึงตระหนักได้ว่าไม่ใช่มารดาทุกคนที่จะรักลูกของตนเองอย่างแท้จริง ในบางครั้งลูกก็เป็นเพียงเครื่องมือสำหรับมารดาเท่านั้น
ต่อให้นางจะหาเหตุผลให้มารดาของตนเองอีกกี่ครั้งก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องที่แม่ของนางเห็นนางเป็นเพียงเครื่องมือได้และเมื่อเครื่องมือนี้ไร้ประโยชน์ นางจึงถูกทอดทิ้ง
ในยุคปัจจุบันชีวิตที่ผ่านมาของนางนั้นช่างโหดร้ายราวกับอยู่ในละคร อย่างเรื่องเลขาคนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์แบบลับๆ กับเจ้านายที่แต่งงานแล้ว หลังจากที่ตั้งครรภ์ก็ต้องไปซ่อนตัวอยู่ในชนบทตามลำพังและให้คลอดลูกออกมา
เมื่อคลอดออกมาเป็นเด็กผู้หญิง แม่ของนางผิดหวังมากแต่ก็ยังคงอุ้มนางไปหาผู้เป็นพ่อถึงหน้าประตูบ้าน ผลสุดท้ายอีกฝ่ายกลับไม่รับผิดชอบ ต่อให้มีผลตรวจพิสูจน์ความเป็นพ่อลูกก็ไม่ยอมรับและให้เงินกับแม่ของนางมาก้อนหนึ่งก่อนจะไล่แม่ของนางไป
แม่ของนางทิ้งนางไว้ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ส่วนตนเองนั้นนำเงินติดตัวไปด้วยพร้อมเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุล แล้วบินไปอยู่ต่างประเทศ
นางไม่ได้นึกถึงเรื่องในภพก่อนมานานมากแล้วและยิ่งไม่เคยนึกถึงตัวตนของตนเองในชีวิตที่ผ่านมา แต่เพราะสนมเอกเซี่ย นางจึงได้นึกถึงเรื่องราวของภพก่อนขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
หลังจากที่ออกมาจากวังแล้ว สภาพจิตใจของนางก็ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ทั้งไม่มีชีวิตชีวาและเหนื่อยล้าไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย ทั้งร่างเหมือนถูกปกคลุมไปด้วยความเศร้าอันนิรนามราวกับว่าถูกคนทั้งโลกทอดทิ้ง
ตกกลางคืน เมื่อเสด็จอาเก้าปรากฏตัวที่เรือนหลังเล็กทางเขตตะวันตกของเฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินถึงขนาดไม่ได้คิดอะไรมาก นางลืมตาขึ้นและกล่าวทักทายด้วยใบหน้าสงบนิ่ง “เสด็จอาเก้า”
“อืม” เฟิ่งชิงเฉินเป็นอะไรไปหนอ? หรือเมื่อตอนกลางวันจะถูกรังแกอีก?
เสด็จอาเก้าขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินนั้นถูกรังแกโดยฮองเฮาหรือสนมเอกเซี่ยหรือไม่? หรือว่านางกำลังกังวลเรื่องการประลองอยู่?
เอ่อ… เมื่อนึกมาถึงตอนนี้ เสด็จอาเก้าก็มีความรู้สึกผิดเล็กๆ เกิดขึ้นในใจ เขานั่งลงตรงหน้าเฟิ่งชิงเฉินโดยไม่พูดอะไร เพียงแค่นั่งอยู่เงียบๆ เป็นเพื่อนนางเท่านั้นและหวังว่าสภาพจิตใจของนางจะดีขึ้นมาได้บ้าง
“เสด็จอาเก้า? ท่านมาหาข้าด้วยเรื่องอะไร?” เสด็จอาเก้าไม่ได้พูดอะไรอยู่สักพักจนเฟิ่งชิงเฉินจำเป็นที่จะต้องดึงสติกลับมาเพื่อรับมือเขา วันนี้นางไม่มีอารมณ์ต่อล้อต่อเถียงกับเสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉินเพียงหวังไล่ให้อีกฝ่ายจากไปเร็วๆ
“อืม” เสด็จอาเก้าพยักหน้า “เรื่องการทำขาเทียมขององค์ชายรองเป็นอย่างไรบ้าง?” สิ่งที่เขาอยากจะถามก็คือ เหตุใดนางจึงดูไม่มีความสุข แต่พอพูดออกมากลับกลายเป็นประโยคนี้ไปเสียได้
“ทุกอย่างเรียบร้อยดี ขอให้องค์ชายรองวางพระทัยได้เลย ทางด้านของข้านั้นจะไม่มีปัญหาแน่นอน” เป็นเรื่องนี้จริงๆ เฟิ่งชิงเฉินเก็บซ่อนความรู้สึกอ้างว้างอย่างยากลำบาก นางในค่ำคืนนี้ค่อนข้างอ่อนแอ เรื่องเล็กๆน้อยๆ ก็สามารถทำให้สภาพจิตใจของนางย่ำแย่ลงได้
เฟิ่งชิงเฉินค้นพบอย่างเศร้าสร้อยว่าเสด็จอาเก้าก็เป็นเหมือนกับมารดาของนางในภพที่แล้ว จะพูดให้ดีอย่างไรเขาก็แค่เห็นนางเป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น เครื่องมือเช่นนางก็ยังเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับเขาอยู่
นางเป็นคนที่ล้มเหลวยิ่ง คนสองคนที่นางห่วงใยมากที่สุดในชีวิตนี้และภพก่อนหน้ากลับไม่จริงใจต่อนางเลยสักนิด เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้ามองเพดานและเผยรอยยิ้มหยันออกมา
นางเป็นอะไรไป? เสด็จอาเก้ารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เขาแทบไม่เคยเห็นเฟิ่งชิงเฉินมีท่าทางเช่นนี้จึงได้ลองถามเพื่อหยั่งเชิงไปว่า “เจ้ากังวลเรื่องการประลองกับตระกูลซูอยู่หรือ?”
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ ให้เป็นเช่นนั้นไปก็แล้วกัน มิเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอาการตอนนี้ของนางอย่างไร
“เพียงแค่ตระกูลซูเท่านั้น จะมีอะไรให้ต้องกลัว เจ้าจะแพ้ต่อซูหว่านได้หรือ” เขาไม่ชอบท่าทางที่เฟิ่งชิงเฉินไม่มีความมั่นใจเช่นนี้ นางต้องมีความโอหังที่จะเหยียบย่ำสตรีทุกคนในโลกไว้ใต้ฝ่าเท้าของนาง
“แล้วเกิดว่าข้าแพ้ล่ะ?” เฟิ่งชิงเฉินนางเป็นคนไม่ใช่เทพเซียน เมื่อเป็นคนก็ไม่สามารถที่จะชนะไปได้ตลอด ถึงแม้ว่านางในยุคปัจจุบันจะถูกยกย่องว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านการแพทย์ แต่ก็ยังมีคนที่นางรักษาแล้วไม่หายหรือมีคนไข้ที่ตายในระหว่างผ่าตัดเช่นกัน
“เจ้าไม่มีทางแพ้” แต่ถึงแม้ว่าจะแพ้แล้วอย่างไร? มีเขาอยู่ทั้งคน คิดว่าคนเหล่านั้นจะทำอะไรนางได้หรือ
“พูดเช่นนี้หมายถึงข้าจำเป็นต้องชนะเท่านั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้าขึ้นมองเสด็จอาเก้า ดวงตาสีดำไร้แววทำให้เสด็จอาเก้ารู้สึกเจ็บปวดใจ ในตอนที่เขารู้สึกตัวนั้น ตนเองก็ได้เดินไปข้างกายนางและเอ่ยถามประโยคที่ต้องการถามออกไปได้ในที่สุด “เฟิ่งชิงเฉินเจ้าเป็นอะไรไป?”
“ไม่มีอะไร ข้าเพียงแค่อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก” อาจจะเป็นเพราะน้ำเสียงของเสด็จอาเก้านั้นอ่อนโยนมาก หรืออาจจะเป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉินในวันนี้อ่อนแอเหลือเกิน นางต้องการหาที่พึ่งพิงสักแห่งและเขาก็ปรากฏตัวออกมาพอดี
แบบนี้ยังจะบอกว่าไม่เป็นอะไรอีกหรือ? ไม่มีอะไรแต่กลับแสดงท่าทางที่เหมือนถูกทอดทิ้งโดยคนทั้งโลก เสด็จอาเก้าไม่พอใจกับคำตอบที่ขอไปที่ของเฟิ่งชิงเฉินและพูดขึ้นมาว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เฟิ่งชิงเฉินที่เป็นเช่นนี้เปราะบางราวกับทารกแรกเกิด ต้องดึงนางเข้าสู่อ้อมกอดและปลอบโยนนางอย่างนุ่มนวล ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในใจของเสด็จอาเก้าและเขาก็ทำสิ่งนี้ในวินาทีถัดมา
เขาดึงนางขึ้นมาโอบกอดไว้ในอ้อมแขน ในขณะที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังตกใจ เสด็จอาเก้าก็นั่งลงยังที่ที่เฟิ่งชิงเฉินนั่งอยู่ในตอนแรกและนางก็นั่งอยู่ในอ้อมแขนของเขา
“อย่าขยับ”
“หา…” เฟิ่งชิงเฉินสะดุ้งตกใจ แต่ในวินาทีต่อมานางก็ได้ตกลงไปอยู่ในอ้อมกอดที่อบอุ่นและคุ้นเคย กลิ่นหอมของไผ่อ่อนๆ ที่คุ้นเคยบนตัวของเขา เฟิ่งชิงเฉินจึงหยุดขัดขืน นางเหมือนกับลูกแมวที่ ค่อยๆ ถูไถตัวของเสด็จอาเก้าอย่างช้าๆ
บรรยากาศที่คุ้นเคยทำให้รู้สึกปลอดภัย
“คุณหนู?” เสียงของทงเหยาและทงจือลอยเข้ามาจากด้านนอกประตูกำลังเตรียมที่จะเดินเข้ามา แต่ก็ถูกเฟิ่งชิงเฉินกระแอมให้ออกไป “ข้าไม่เป็นไร พวกเจ้าไปเถอะ”
“เจ้าค่ะ” ทงเหยาและทงจือไม่ได้ยืนกรานที่จะเข้าไป พวกนางรู้ว่าวันนี้อารมณ์ของเฟิ่งชิงเฉินนั้นไม่ค่อยดีนัก
เสด็จอาเก้ามีความสุขอย่างมากกับความเชื่อฟังของเฟิ่งชิงเฉิน เขารู้ว่านางยังคงห่วงใยเขามาก หัวใจของเขาเปี่ยมไปด้วยความสุข แต่หน้าของเขาก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่อได้กลิ่นยาที่คุ้นเคยบนตัวของเฟิ่งชิงเฉิน เสด็จอาเก้าก็ลูบหัวของเฟิ่งชิงเฉินอย่างเชื่องช้า มือที่โอบกอดรอบเอวของเฟิ่งชิงเฉินก็รัดแน่นมากขึ้นด้วย “ไม่ต้องกังวล มีข้าอยู่ด้วย เจ้าจะไม่มีทางเป็นอะไรไป”
“อืม” นางตอบกลับมาด้วยคำโอนอ่อนคล้อยตามอย่างหาได้ยาก นางพิงอ้อมแขนของเขาและขยับจนอยู่ในตำแหน่งที่สบาย จากนั้นก็อยู่ในอ้อมแขนของเสด็จอาเก้าอย่างนั้นโดยไม่ขยับ “เสด็จอาเก้า ขอให้ข้าได้พิงท่านสักพัก” ไม่ว่าจะสักพักหรือจะทั้งคืน รอจนกว่าความเจ็บปวดในหัวใจของนางได้หายดีแล้ว นางจึงจะกลับมาเป็นเฟิ่งชิงเฉินที่แข็งแกร่งคนเดิม
เสด็จอาเก้าไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ลูบหลังของเฟิ่งชิงเฉินเบาๆ อย่างนุ่มนวล
เหอะๆ… เขาไม่รู้จักวิธีการปลอบโยนผู้คน เขาจำได้ว่าในตอนที่ยังเยาว์ เวลาที่เขาเศร้าหรือเจ็บปวดใจ อาจารย์ก็จะลูบที่หลังของเขาเบาๆ เช่นนี้และทุกครั้งเขาก็จะรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง
ทั้งสองคนไม่ได้พูดจากัน ในห้องเงียบสงบ เหลือเพียงเสียงลมหายใจของกันและกัน เฟิ่งชิงเฉินซุกตัวลงในอ้อมแขนของเสด็จอาเก้าและหวนนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของนางที่ภพก่อนและภพนี้…
และเมื่อคิดๆ ไปก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว…