บทที่ 420 การแก้แค้น ไม่จำเป็นต้องลงมือเอง
เมื่อกลับมายังจวนในเขตตะวันตก เฟิ่งชิงเฉินกำลังคิดว่าจะเปิดเผยเรื่องที่จวนหย่งชางป๋ออย่างไรให้แนบเนียนไร้ร่องรอย
เฟิ่งชิงเฉินมั่นใจได้ว่าหลังจากที่นางจากมา จวนหย่งชางป๋อจะต้องปิดปากหรือไม่ก็โบยหรือฆ่าสาวใช้ที่อยู่ตรงนั้นเพื่อปิดไม่ให้เรื่องนี้รั่วไหลออกไป คนในจวนหย่งชางป๋อสักแปดส่วนต้องรู้สึกว่านางจะต้องยอมก้มหน้ารับชะตากรรมโดยไม่ปริปากพูดอะไรออกมาเลย เพราะอย่างไรสิ่งที่คุณชายรองแห่งจวนหย่งชางป๋อพูดนั้นจะทำให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียงและต้องอับอายขายหน้า
น่าเสียดายที่คนในจวนหย่งชางป๋อต้องผิดหวังแล้ว ถ้าเฟิ่งชิงเฉินใส่ใจเรื่องเหล่านี้จริงๆ ก็คงไม่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว ในขณะที่นางกำลังนึกเช่นนี้อยู่ ทงจือก็มารายงานว่าซูเหวินชิงมาที่นี่
“มาได้ถูกเวลาจริงๆ” บนใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินปรากฏรอยยิ้มชั่วร้าย นางเพิ่งจะคิดออกว่าซูเหวินชิงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด หากเขาเป็นคนแพร่ข่าวนี้ออกไป ทุกคนล้วนได้ประโยชน์
เฟิ่งชิงเฉินสามารถมั่นใจได้ว่าด้วยความฉลาดของซูเหวินชิงแล้ว เพียงแค่นางเผยคำออกไปเพียงเล็กน้อย เขาก็จะไปสืบเรื่องที่เกิดขึ้นที่จวนหย่งชางป๋อในวันนี้ทันที แล้วก็จะนำเรื่องนี้ไปบอกแก่เสด็จอาเก้าและตระกูลหวังให้รู้อย่างแน่นอน
เรื่องของจวนหย่งชางป๋อนั้น นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเลยแม้แต่น้อย
ซูเหวินชิงมาหาเฟิ่งชิงเฉินเพื่อคุยกับนางเรื่องข้าว การใช้วิธีการของเฟิ่งชิงเฉิน ทำให้ซูเหวินชิงสะสมเสบียงไว้ได้ไม่น้อยในช่วงนี้
“ชิงเฉิน ราคาข้าวในตลาดลดลงถึงเจ็ดส่วน เจ้าคิดว่าข้าควรจะพอหรือยัง?” การถามออกมาเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการจะหยุดมือ
เฟิ่งชิงเฉินแนะนำซูเหวินชิงว่าวิธีการสะสมธัญพืชนั้นง่ายมาก ให้ซูเหวินชิงนำธัญพืชที่สะสมทั้งหมดขายสู่ตลาด สร้างภาพลวงตาว่าในตลาดมีธัญพืชมากเกินไป จากนั้นก็ลดราคาลง ลดราคาลง…
ยามที่เริ่มลดราคาลงนั้นทำให้เกิดการแย่งซื้อธัญพืชกันขึ้น ร้านค้าขนาดใหญ่ก็เข้ามาร่วมแย่งซื้อด้วยเช่นกัน แต่ทว่า…
การสะสมธัญพืชของซูเหวินชิงเพื่อมอบให้แก่อวี่เหวินหยวนฮั่วจะอยู่ได้ไม่นานนัก แต่ถ้าขายออกสู่ตลาดจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแน่นอน ซูเหวินชิงมีความมั่นใจมากพอที่จะต่อสู้กับสงครามราคาแม้ว่าผู้ซื้อจะมากขึ้นก็ตาม เขาก็มีของเพียงพอที่จะที่จะขาย
ยิ่งกว่านั้นราคาธัญพืชแตกต่างกันไปทุกวัน ของที่ซื้อวันนี้ถูกกว่าที่ของซื้อมาเมื่อวานเสียอีก ถึงแม้อยากจะสะสมเสบียงอาหารแต่ก็ไม่กล้าลงมืออย่างง่ายดายเพราะกลัวของที่ซื้อมาจะยังถูกไม่พอ
ราคาข้าวถูกลงทุกวันแล้วใครจะยังซื้ออีก ร้านขายธัญพืชรายใหญ่ล้วนตื่นตระหนกจึงรีบนำธัญพืชที่เก็บสะสมไว้ออกมาขาย ปริมาณธัญพืชในตลาดมีมากขึ้นเรื่อยๆ ราคาก็ยิ่งต่ำลง ลูกค้าที่มาซื้อก็น้อยลงเรื่อยๆ เหล่าพ่อค้ายิ่งตื่นตระหนกราคาก็ยิ่งถูกลง แต่ไม่ว่าราคาจะต่ำแค่ไหนก็มีคนซื้อไม่มากนัก ทุกคนซื้อข้าไว้จนเพียงพอแล้ว แม้ชาวบ้านธรรมดาที่มีข้าวสะสมเอาไว้ก็ยังนำออกมาขาย
พวกเขากลัวว่าราคาธัญพืชถูกลงถึงเพียงนี้ ธัญพืชที่พวกเขากักตุนไว้จะมีมูลค่าน้อยลงเรื่อยๆ มิสู้ใช้ประโยชน์จากราคาปัจจุบันขายออกให้เร็วที่สุด
ในยุคปัจจุบัน นี่คือการทุ่มตลาด กลุ่มธุรกิจใหญ่ต่อสู้กับสงครามราคาด้วยความได้เปรียบและความเชื่อมั่นอย่างมากและกลืนกินธุรกิจขนาดเล็ก การเคลื่อนไหวนี้ของซูเหวินชิงจะบีบให้ผู้ค้าธัญพืชรายย่อยและขนาดกลางล้มละลาย
พ่อค้าขายข้าวรายใหญ่สองสามรายไม่อาจทนขาดทุนต่อไปได้อีก พวกเขาขาดทุนไปครึ่งหนึ่งแล้ว หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลขุนนาง พ่อค้าธัญพืชเหล่านี้ก็คงจะกระโดดลงจากที่สูงเพื่อฆ่าตัวตายไปแล้ว พวกเขากักตุนธัญพืชไว้ยามที่ราคาสูง ตอนนี้ไม่ขายไม่ได้ หากไม่ขายก็จะมีคนจำนวนมากขาย หากเก็บธัญพืชไว้ไม่แน่ว่าจะมีแต่ขึ้นราเพราะขายไม่ออก
ราคาธัญพืชได้ลดลงจากยี่สิบเหวินต่อหนึ่งชั่งเหลือเพียงเจ็ดเหวินต่อหนึ่งชั่ง แม้ว่าซูเหวินชิงจะขาดทุนเล็กน้อยในช่วงนี้ แต่เขาก็ได้รับธัญพืชราคาต่ำมามากมาย ตอนนี้ปริมาณธัญพืชที่เขากักตุนได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าแล้ว
ต้องรู้ว่าของเช่นข้าวนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหาได้แม้ว่าจะมีเงินก็ตาม
“ควรจะหยุดมือได้แล้ว สิ่งที่เจ้าต้องการคือธัญพืช ทำไมต้องแข่งขันกับผู้คนเพื่อผลกำไร หากสงครามราคายังดำเนินต่อไป คนที่จะเสียหายที่สุดก็คือชาวบ้าน” เฟิ่งชิงเฉินสีหน้าเฉยเมย เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้สนใจมากนัก ส่วนหนึ่งนางเสแสร้งแกล้งทำและส่วนหนึ่งเป็นเพราะนางรู้สึกผิดในใจ
ในฐานะคนยุคปัจจุบัน นางรู้ดีถึงอันตรายของการทุ่มตลาด มันดูเหมือนคนธรรมดาอาจทำเงินได้มากในตอนแรก แต่เมื่อกลุ่มธุรกิจใหญ่ใช้สงครามราคาแบบนี้เพื่อกดดันให้คู่แข่งรายอื่นล้มละลายและกุมอำนาจยิ่งใหญ่อยู่เพียงกลุ่มเดียว เมื่อถึงยามนั้นราคาจะพุ่งพรวดต่อไปเรื่อยๆ และเป็นชาวบ้านธรรมดาที่จะได้รับความเดือดร้อน
นอกจากนี้ธัญพืชมีปริมาณจำกัด หากซูเหวินชิงกักตุนธัญพืชทั้งหมดในตลาดก็จะไม่มีธัชพืชเหลือในตลาด ราคาก็จะพุ่งสูงขึ้นอย่างแน่นอน แล้วชาวบ้านจะทำอย่างไร?
แม้ว่าในยุคนี้ชาวบ้านทั่วไปจะกินได้แต่เพียงธัญพืชเม็ดใหญ่เช่นข้าวเจ้าและข้าวสาลี ธัญพืชเหล่านี้ถูกนำออกมาขายจนหมด แต่ปริมาณข้าวเจ้าที่ลดลง ทำให้ราคาธัญพืชชนิดอื่นๆ เพิ่มขึ้นด้วย เพียงแค่ยืนหยัดถึงฤดูเก็บเกี่ยวครั้งต่อไปก็พอแล้ว
“เฮ้อ… เหตุใดเจ้าจึงพูดเหมือนจิ่วชิงเลย” ซูเหวินชิงรู้สึกเซ็งอยู่ในใจ เมื่อคืนนี้หลานจิ่วชิงขอให้เขาหยุดแต่เขาไม่ยอม ธัญพืชราคาถูกเช่นนี้หากไม่กักตุนให้มากคงต้องรู้สึกผิดต่อตัวเอง
ที่วันนี้เขามาหาเฟิ่งชิงเฉินเพราะเขาหวังว่านางจะเข้าข้างเขา เดิมทีเขาคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเห็นด้วยกับเขาให้เขาปั่นราคาต่อไป แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่า…
เอาเถอะ พวกเขาเป็นคนประเภทเดียวกัน เขาเป็นพ่อค้าวาณิชย์ที่มองเห็นแต่ผลประโยชน์ที่อยู่ตรงหน้าและต้องการใช้ประโยชน์จากราคาธัญพืชที่ต่ำเพื่อหาเงินเพิ่ม
หลานจิ่วชิง? นานมากแล้วที่นางไม่ได้ยินชื่อนี้ นางจำได้ว่าตอนที่นางถูกลอบสังหารครั้งสุดท้าย หลานจิ่วชิงเป็นผู้ช่วยชีวิตนางไว้ “เขาสบายดีไหม?”
“เจ้าเป็นห่วงเขาหรือ?” ซูเหวินชิงอยู่ในสายลมที่ยุ่งเหยิง เป็นไปได้ไหมว่าระหว่างทั้งสองคนมีอะไรบางอย่างที่เขาไม่รู้?
“ก็ไม่เชิง” เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกเสียใจทันทีที่นางพูด เฟิ่งชิงเฉินเผชิญหน้ากับสายตาอยากรู้อยากเห็นของซูเหวินชิงอย่างสงบโดยไม่รู้สึกเขินอายหรือร้อนรนที่ถูกจับได้ “เพียงถามดูเท่านั้น”
เชอะ ผีเท่านั้นแหละที่จะเชื่อ
ซูเหวินชิงมั่นใจได้เลยว่ามีบางอย่างระหว่างเฟิ่งชิงเฉินและหลานจิ่วชิง แต่เมื่อคิดถึงตัวตนของทั้งสองและสภาพแวดล้อมแล้ว ซูเหวินชิงก็ต้องเก็บงำความอยากรู้อยากเห็นของเขาไว้ “ช่วงนี้เขายุ่งมาก เรื่องการประลองของเจ้ากับซูหว่านมีอะไรให้ข้าช่วยไหม?”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวข้าจัดการเอง” ศิลปะทั้งสี่แขนงนั้นนางไม่ได้เรื่องสักอย่าง แล้วยังจะประลองอะไร
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจเลย สำหรับซูหว่านแล้ว การแข่งขันครั้งนี้มีเพื่อใช้พิสูจน์ว่าหญิงสาวตระกูลซูแห่งหนานหลิงนั้นดีเลิศเพียงใดและซูหว่านก็ไม่สามารถแพ้ได้
แต่สำหรับนางแล้วเป็นเพราะคำพูดเดียวของเสด็จอาเก้าที่สร้างเรื่องยุ่งยากให้กับนาง นางแพ้ได้แต่แน่นอนว่านางจะพยายามเอาชนะให้ดีที่สุด เพราะคำว่า “แพ้” นั้นทำให้รู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแพ้ให้กับหญิงสาวเช่นซูหว่าน
“เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าจะชนะซูหว่าน?” ซูเหวินชิงสงสัย เขาเป็นผู้ที่ได้รับข่าวสารอย่างรวดเร็ว การประลองทั้งแปดครั้งนั้น ซูเหวินชิงรู้สึกว่านอกจากการขี่ม้าและเรื่องทักษะการแพทย์แล้ว เฟิ่งชิงเฉินไม่มีโอกาสชนะเลย
“จะมั่นใจหรือไม่สำคัญด้วยหรือ? เพียงแค่การประลองหนหนึ่งเท่านั้น ถ้าข้าสามารถชนะซู่หว่านได้หนึ่งครั้ง ข้าก็จะสามารถชนะนางเป็นครั้งที่สองได้” เมื่อพูดถึงการประลองเฟิ่งชิงเฉินก็ยังไม่ค่อยสนใจมากนักและปล่อยให้ซูเหวินชิงที่อารมณ์บูดถูกเมินจนทนไม่ไหวแล้ว
“เจ้าคิดแบบนี้ได้เสียก็ดี ดูจากท่าทางไม่มีความสุขของเจ้าแล้ว ข้านึกว่าเจ้ากังวลเกี่ยวกับการประลองเสียอีก” ซูเหวินชิงหยั่งเชิงถาม
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้พูดอะไรแต่กลับยิ้มอย่างขมขื่น ทำให้ซูเหวินชิงรู้สึกประหลาดและแอบตัดสินใจว่าจะไปสืบว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง ช่วงนี้นางเป็นอะไรไป เขานึกว่านางอารมณ์ไม่ดีเพราะเรื่องการประลองกับซูหว่าน แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น
ตั้งแต่ที่ซูเหวินชิงถามเรื่องของซูหว่าน เฟิ่งชิงเฉินก็รู้ว่าชายผู้ชาญฉลาดผู้นี้คงค้นพบท่าทางผิดปกติของนาง ดีจริง นางไม่จำเป็นต้องบอกใบ้ด้วยซ้ำ ขั้นต่อไปก็ให้ซูเหวินชิงจัดการไปเสียก็แล้วกัน
แต่ทว่าเมื่อนางคิดถึงการประลองกับซูหว่าน เฟิ่งชิงเฉินก็นึกถึงโอกาสทางธุรกิจอีกอย่าง ธุรกิจที่จะทำเงินได้มากมาย…