นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 424 ซุ่มโจมตี เสด็จอาเก้าถูกคนทรยศ
ความจริงที่ว่าซูเหวินชิงถูกปฏิเสธโดยตระกูลขุนนางหลายตระกูลไม่อาจปกปิดไว้ได้ คำถามเหล่านี้เพียงแค่ถามก็รู้แล้วและหลังจากที่ซูเหวินชิงถูกปฏิเสธก็ได้ไปที่จวนของเฟิ่งชิงเฉินนั้นก็ปิดไว้ไม่ได้เช่นกัน
หลังจากออกมาจากจวนหลังเล็กของเฟิ่งชิงเฉินแล้ว ซูเหวินชิงก็กลับไปหาตระกูลที่เคยปฏิเสธเขาและเกลี้ยกล่อมจนพวกเขายินยอม
หากบอกว่านี่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญและไม่เกี่ยวอะไรกับเฟิ่งชิงเฉิน ให้ตายอย่างไรหนานหลิงจิ่นฝานและเจิ้นกั๋วกงก็คงไม่เชื่อ พวกเขามั่นใจว่าเรื่องทั้งหมดถูกบงการโดยเฟิ่งชิงเฉินและแน่นอนว่าเหตุผลก็คือการแก้แค้นพวกเขา
ดังนั้นเฟิ่งชิงเฉินจึงได้ซวย แม้ว่านางจะเป็นผู้ที่เสนอความคิดนี้ แต่ทั้งผู้ที่จัดการเรื่องนี้และผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดล้วนไม่ใช่นาง แต่… ยามที่คนเหล่านี้แก้แค้นกลับจับจ้องมาที่นางเท่านั้น
หากจะรังแกก็ต้องเลือกรังแกผู้ที่อ่อนแอ หนานหลิงจิ่นฝานและเจิ้นกั๋วกงไม่กล้าทำอะไรซูเหวินชิง หากโจมตีซูเหวินชิงก็เท่ากับพวกเขาตบหน้าเหล่าขุนนางตระกูลดังเช่นหวังเซี่ยหรือหนิงกั๋วกง
แม้ว่าหนานหลิงจิ่นฝานและเจิ้นกั๋วกงจะไม่รู้จักกัน แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาได้นัดหมายกันมาเพื่อแก้แค้นเฟิ่งชิงเฉิน
การผ่าตัดขาของซีหลิงเทียนอวี่ต้องดำเนินการอย่างเป็นความลับ ดังนั้นเวลาที่พวกเขาตกลงกันตั้งแต่แรกก็คือตอนกลางคืน เมื่อถึงเวลา เฟิ่งชิงเฉินก็เก็บของเรียบร้อยรอให้คนมารับ
“เสด็จอาเก้า?” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าเขาจะมารับนางด้วยตัวเองจึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเสด็จอาเก้าจะให้ความสำคัญกับซีหลิงเทียนอวี่เป็นอย่างมาก
คืนนี้เสด็จอาเก้าไม่ได้สวมอาภรณ์หรูหรา เขาสวมชุดสีดำสะอาดสะอ้านทะมัดทะแมง นัยน์ตาสีดำสนิทกวาดไปรอบๆ ห้อง สุดท้ายก็ตกลงบนกล่องเครื่องมือผ่าตัดของเฟิ่งชิงเฉิน “ไปเถอะ”
ถ้าไม่ใช่เพราะการตามสืบอย่างใส่ใจของซูเหวินชิง เขาคงจะไม่มีวันดูออกแน่ว่าเฟิ่งชิงเฉินได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจอยากมากที่จวนหย่งชางป๋อ นางปกปิดไว้ได้ดีเกินไปแล้ว
อ่ะแฮ่ม… เป็นอีกหนึ่งความเข้าใจผิดที่สวยงาม
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า ยกกล่องเครื่องมือผ่าตัดขึ้นเป็นสัญญาณให้เสด็จอาเก้านำทาง แต่เขากลับเอื้อมมือไปหยิบกล่องเครื่องมือผ่าตัดที่อยู่ในมือของเฟิ่งชิงเฉินแทน
มือใหญ่ที่อุณหภูมิเยียบเย็นเล็กน้อยกุมหลังมือของเฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินตกตะลึงครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ปล่อยกล่อง นางไม่ชินกับการมอบกล่องเครื่องมือผ่าตัดให้คนอื่น แต่เสด็จอาเก้ายืนกรานโดยการถือที่จับไม่ยอมปล่อย
ดวงตาของพวกเขาประสานกันโดยไม่มีใครยอมใคร ทั้งสองเดินบนถนนไปแบบนี้ เฟิ่งชิงเฉินกลอกตาด้วยความโกรธ นางไม่ต้องการเสียเวลากับเรื่องไร้สาระเช่นนี้
เสด็จอาเก้า ท่านชนะแล้ว!
เฟิ่งชิงเฉินปล่อยมือ เสด็จอาเก้าจึงรับกล่องยามาอย่างพึงพอใจ แต่กลับพบว่ามือของเขาหนักจนเกือบจะถือไม่มั่นคง โชคดีที่เขาตอบสนองอย่างรวดเร็วจึงไม่ได้หน้าแตกต่อหน้าเฟิ่งชิงเฉิน
หนักขนาดนี้เชียวหรือ? เสด็จอาเก้าขมวดคิ้ว ยามที่เฟิ่งชิงเฉินถือมันนางจะกินแรงมาก มิน่าเล่านางจึงมักจะเจ็บข้อมือ ดูแล้วคงจะต้องหาคนที่ไว้ใจได้มาอยู่ข้างกายนางแล้ว ไม่ได้ต้องทำอะไร เพียงแค่ช่วยนางถือกล่องยาก็พอแล้ว
ทันทีที่เฟิ่งชิงเฉินและเสด็จอาเก้าออกไปก็พบว่าด้านนอกยังมีกลุ่มชายชุดดำที่เป็นผู้คุ้มกันอยู่ด้านนอก เฟิ่งชิงเฉินจึงรู้สึกโล่งใจ การเดินทางยามค่ำคืนมักจะไม่ปลอดภัย มีผู้คุ้มกันมากขึ้นอีกหน่อยนางก็วางใจ หากเกิดพบเจอกับการลอบสังหารหรืออะไรทำนองนั้น นางจะได้ไม่ต้องพยายามดิ้นรนนัก
ไม่นานคนกลุ่มนั้นก็หายตัวไปท่ามกลางจวนเขตตะวันตกมุ่งหน้าไปยังนอกเมือง เฟิ่งชิงเฉินคิดว่านางร่างกายแข็งแรงดี แต่ก็ยังค่อนข้างยากที่จะตามเสด็จอาเก้าให้ทัน
หลังจากเดินทางผ่านถนนไปห้าสาย เฟิ่งชิงเฉินก็เริ่มหอบ แม้ว่านางจะพยายามควบคุมการหายใจของนางอย่างเต็มที่ แต่นางก็ไม่อาจทำให้ฝีเท้าอันยุ่งเหยิงของนางสงบลงได้ ในเวลานี้นางรู้สึกยินดียิ่งที่กล่องยาอยู่ในมือของเสด็จอาเก้า มิเช่นนั้นแล้วหากถือกล่องนั้นวิ่งผ่านถนนสายหนึ่งได้ก็ไม่เลวแล้ว
อาชีพหมอนั้นเป็นอาชีพที่ต้องใช้แรงงานจริงๆ เฟิ่งชิงเฉินเคยพกกล่องยาวิ่งไปด้วยไม่น้อย บางครั้งถึงแม้จะใช้เวลาสองสามวันกว่าจะถึงที่หมาย แต่ถึงอย่างนั้นไม่ว่าความเร็วจะเร็วแค่ไหน ก็ไม่เร็วเท่าความเร็วของเหล่ายอดฝีมือเหล่านี้
“ไร้ประโยชน์” ดูเหมือนเสด็จอาเก้าจะสังเกตเห็นท่าทางประหลาดของนางแล้ว แม้จะพูดอย่างนั้น ความเร็วของเขาก็ช้าลงมาก เขาลืมไปว่าหญิงสาวที่อยู่ข้างหลังเขาไม่มีวิทยายุทธ์
ในที่สุดเฟิ่งชิงเฉินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ควบคุมการหายใจและเดินหน้าต่อไป ในขณะเดียวกันก็แอบตัดสินใจว่าหลังจากกลับมาแล้วนางจะต้องออกกำลังกายให้แข็งแรง ร่างกายของหมอไม่ควรจะแย่ มิฉะนั้นจะยืนหน้าเตียงผ่าตัดเป็นเวลาหลายสิบชั่วโมงได้อย่างไร
แต่เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ว่าชายชุดดำที่คุ้มกันพวกเขามองนางด้วยความชื่นชมมาตลอดทาง
หมอเฟิ่งผู้นี้ทรงพลังยิ่งที่สามารถตามความเร็วของนายท่านได้ตลอด ต้องรู้ว่าแม้แต่ผู้ฝึกวิทยายุทธ์นั้นก็ยากที่จะตามความเร็วของนายท่านทัน
อย่างไรก็ตามความเร็วของนายท่านช้าลงในภายหลัง แต่ความเร็วเช่นนั้นแม้แต่บุรุษก็ตามไม่ทัน แต่หมอเฟิ่งสามารถตามไปได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่แสดงออกถึงความยากลำบากใดๆ
เมื่อห่างจากประตูเมืองไม่ไกล เสด็จอาเก้าก็หยุดลงและหยิบห่อผ้าห่อหนึ่งจากคนที่อยู่ด้านข้างแล้วโยนให้เฟิ่งชิงเฉิน “ใส่เสีย”
เขายังดึงหมวกด้านหลังเสื้อผ้าของเขาขึ้นมาคลุม ทั้งตัวของเขาถูกคลุมด้วยอาภรณ์สีดำตั้งแต่หัวจรดเท้า นอกจากนี้เสด็จอาเก้าจงใจปกปิดลมหายใจของเขา ทั้งตัวเขาดูราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับยามราตรีอันมืดมิด
นี่คือการเปลี่ยนร่างหรือ? ผลลัพธ์ชัดเจนยิ่งและเป็นไปไม่ได้เลยที่จะดูออกว่าชายชุดดำผู้นี้คือเสด็จอาเก้า
เฟิ่งชิงเฉินสวมเสื้อผ้าของนางอย่างเรียบร้อยและทำตามเสด็จอาเก้า นางดึงหมวกด้านหลังขึ้น ให้อาภรณ์สีดำปกคลุมร่างกาย ชายชุดดำที่อยู่ข้างนางก็ทำเช่นเดียวกัน ทั้งกลุ่มก็เหมือนวิญญาณเดินทางข้ามผ่านราตรีกาลอันมืดมิด
เงาดำกลุ่มหนึ่งเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วในคืนที่มืดมิด ภาพนั้นแปลกมาก หากเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้รู้สึกถึงผู้คนที่อยู่รอบตัวนาง นางก็คงสงสัยว่านางถูกผีหลอกเสียแล้ว
นางเป็นผู้ไม่นับถือพระเจ้า แต่ตั้งแต่ที่กล่องเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะพานางมายังที่แห่งนี้ นางก็เชื่อว่าอาจมีพลังพิเศษบางอย่างอยู่ในโลกนี้จริงๆ อย่างเช่น พลังประหลาดที่ยังไม่ตื่นขึ้นของนาง
เฮ้อ ไม่รู้ว่าร่างกายนี้มีพลังเหนือธรรมชาติหรือไม่ เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกเสียใจเล็กน้อย นางยังคงอยากรู้ว่าพลังเหนือธรรมชาติของนางคืออะไร
ไม่นานกลุ่มคนก็มาถึงประตูเมือง ยามที่ทหารรักษาเมืองก้าวไปข้างหน้า เสด็จอาเก้าก็หยิบป้ายป้ายหนึ่งมาโบกต่อหน้าทหารรักษาเมือง “กองพลเสินจีมีภารกิจ เปิดประตูเมือง”
ด้านหน้าของป้ายเป็นตัวอักษร “เสิน (神) ” ตัวใหญ่ ส่วนด้านหลังเป็นรูปมังกรยักษ์
กองพลเสินจีเป็นกำลังลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของราชวงศ์ตงหลิง ปัจจุบันอยู่ภายใต้การควบคุมของซู่ชินอ๋องและเสด็จอาเก้า
“ขอรับ” ทหารรักษาเมืองไม่ถามอะไรอื่นอีกและเปิดประตูเล็กข้างประตูเมืองทันที หลังจากที่เสด็จอาเก้าและกลุ่มคนหายตัวไป ประตูเมืองเล็กๆ ก็ปิดลงอีกครั้งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ห่างจากประตูเมืองสามลี้ มีคนของเสด็จอาเก้าอยู่ที่นั่นพร้อมม้าสิบแปดตัว หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายยืนยันตัวตนแล้ว เสด็จอาเก้าก็ส่งคนเก้าคนออกไป “ทำธุระ” เหลือเพียงองครักษ์อีกเจ็ดคนและเฟิ่งชิงเฉิน
“ขึ้นม้า” เสด็จอาเก้ากระโดดขึ้นหลังม้าและยื่นมือขวามาให้เฟิ่งชิงเฉินเป็นสัญญาณให้นางขึ้นม้าไปกับเขา
“ขอบใจ ข้าทำเองได้” เฟิ่งชิงเฉินส่ายหัวปฏิเสธ นางหยิบถุงมือจากแขนเสื้อออกมาแล้วสวมมัน สุ่มเลือกม้าตัวหนึ่งแล้วขึ้นขี่
สีหน้าของเสด็จอาเก้าเปลี่ยนไปทันที โชคดีที่มีผ้าสีดำคลุมอยู่ ดังนั้นจึงมองไม่ออก
ใครเป็นคนจัดม้า มีม้าเสริมมาตัวหนึ่งได้อย่างไร?
เสด็จอาเก้าโมโหและจ้องเขม็งไปที่ผู้ที่เฝ้าม้าอยู่ที่นี่จนทำให้เขากลัวจนไม่กล้าพูด
ฮือๆๆ … เดิมทีเขาต้องการบอกเสด็จอาเก้าว่าม้าที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังขี่นั้นเป็นของเขา นางจะคืนให้เขาได้หรือไม่ เขาไม่ต้องการวิ่งตามหลังม้า…
การปฏิเสธของเฟิ่งชิงเฉินทำให้เสด็จอาเก้าเซ็ง แต่เขาก็ยังต้องทำสิ่งที่จำเป็นต้องทำ ยามที่เขากำลังจะยกแส้ขึ้นฟาดม้าและกำลังจะบังคับม้าไปข้างหน้า ม้าที่เขานั่งอยู่ก็เกิดตื่นตระหนกขึ้นมาและยกกีบเท้าขึ้นอย่างไม่สบายใจพร้อมทั้งร้องฮี้ออกมา หญ้าทั้งสองข้างทางมีเสียงแซ่กๆ ดังขึ้น…
“มีมือสังหาร!” เสด็จอาเก้าดึงกระบี่อ่อนออกมาจากเอว ดวงตาคมกริบแวบวาบ
ภารกิจของเขารั่วไหล มีคนทรยศอยู่ข้างกายเขา…