นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 432 ลองใจ หลานจิ่วชิงหนักแน่น
“หลานจิ่วชิง ครั้งนี้เป็นเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ หรือสหายเจ้ากันเล่าที่ได้รับบาดเจ็บ?”
พรูด……
หลานจิ่วชิงพ่นน้ำชาในปากของเขาออกมา โชคดีที่เฟิ่งชิงเฉินมีปฏิกิริยาค่อนข้างไวนางจึงหลบได้ทันและไม่ถูกน้ำลายของหลานจิ่วชิงสาดรดทั่วหน้า
“สกปรกยิ่งนัก” เฟิ่งชิงเฉินมองไปยังน้ำที่กระจายอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะหันไปเหล่มองหลานจิ่วชิงด้วยแววตาอันดูถูก
หลานจิ่วชิงไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา เขาเงยหน้าขึ้นมองดูเฟิ่งชิงเฉินแล้วค่อยๆ วางถ้วยน้ำชาในมือลง พร้อมกับตักเตือนตนเองว่า ครั้งหน้ายามสนทนากับเฟิ่งชิงเฉินอย่าได้ดื่มน้ำ
“ในเมื่อไม่มีใครบาดเจ็บแล้วเจ้ามาหาข้าเพื่อสิ่งใด?” เฟิ่งชิงเฉินไม่คิดหรอกว่าหลานจิ่วชิงเดินทางมาหานางเพราะว่าเขาว่าง หรือเพราะเป็นห่วงนาง กลัวว่านางจะได้รับแรงกดดันเกินไปก่อนการแข่ง
มาทำอะไรนะหรือ? วันนี้เขาไม่ได้มีแผนการใด ก็เพียงแค่คิดถึงเฟิ่งชิงเฉินเท่านั้น “ข้ามาคุยเล่น”
หลานจิ่วชิงมองไปทางเฟิ่งชิงเฉิน แววตาของเขาเป็นประกายซับซ้อนและคาดหวัง ดูเหมือนเขามีเรื่องต้องการจะกล่าว แต่ก็ไม่รู้ควรกล่าวจากตรงไหนก่อน
เมื่อถูกชายหนุ่มจับจ้องมองมาด้วยแววตาเช่นนั้น เฟิ่งชิงเฉินสัมผัสได้ถึงอาการขนหัวลุก หลานจิ่วชิงเป็นอะไรไปกัน?
เมื่อนางรออยู่เนิ่นนานแต่ไม่ได้คำตอบ ประกอบกับนางและหลานจิ่วชิงก็นับได้ว่าเป็นสหายสนิท เฟิ่งชิงเฉินจึงไม่ได้นั่งนิ่ง แต่เอ่ยถามออกมาโดยตรงว่า “หลานจิ่วชิง เจ้ามีเรื่องใดจงกล่าวออกมาตามตรงเถิด หากว่าข้าสามารถช่วยได้รับรองว่าข้าจะช่วย”
หลานจิ่วชิงช่วยนางเอาไว้หลายครั้งหลายครา อีกทั้งนางพอจะรู้สึกได้ว่าหลานจิ่วชิงมีความรู้สึกลึกซึ้งกับนาง เพียงแต่ว่า……นางตั้งใจกำหนดให้หลานจิ่วชิงอยู่ในฐานะของสหายเท่านั้น และหลานจิ่วชิงจะเป็นได้เพียงสหายของนาง
เมื่อคิดได้ดังนั้นเฟิ่งชิงเฉินก็นิ่งเงียบลง เรื่องของความรู้สึกไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะควบคุมได้ หากนางสามารถควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้ก็คงดี
“เฟิ่งชิงเฉิน หากข้าเอ่ยปากขอให้เจ้าช่วย เจ้าก็จะช่วยทำให้ข้าทุกอย่างหรือไม่?” หลานจิ่วชิงนั่งนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน แต่เมื่อเขาเอ่ยปากขึ้นก็เป็นประโยคที่ค่อนข้างจะหนักแน่น
เอ่อ……ในครั้งนี้เป็นเฟิ่งชิงเฉินที่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้วเข้าหากันดูเหมือนนางกำลังครุ่นคิดว่าควรจะตอบเขาเช่นไรดี
เมื่อมองกลับไปทางหลานจิ่วชิง บัดนี้สีหน้าของเขาค่อนข้างจะสงบเงียบดูเหมือนคนก่อนหน้าเมื่อครู่ไม่ใช่เขา คำถามนี้เขาก็เพียงถามออกไปเท่านั้น แต่ใบหูของเขากลับบ่งบอกได้ถึงอารมณ์ความรู้สึก เห็นได้ชัดว่าเขาค่อนข้างที่จะเกร็งและให้ความสนใจกับคำตอบของเฟิ่งชิงเฉินยิ่งนัก
“ให้ข้าตอบบัดนี้เลยหรือ?” นางครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน ท้ายที่สุดแล้วเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบเช่นไรดี จึงได้เอ่ยถามออกไปอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน
“ใช่ มันง่ายยิ่งนัก เพียงเจ้าตอบข้ามาว่าใช่หรือไม่ใช่” แววตาของหลานจิ่วชิงดูหนักแน่น
เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง “คำถามนี้ข้าตอบได้ยากยิ่งนัก เจ้ากำลังทำให้ข้าต้องลำบากใจ”
“ข้าจะถือว่าข้ากำลังทำให้เจ้าลำบากใจก็ย่อมได้” หลานจิ่วชิงไม่สนใจกับคำพูดว่าตนกำลังบังคับเฟิ่งชิงเฉินอยู่
“เจ้า……” เฟิ่งชิงเฉินเบิกตากว้างมองหลานจิ่วชิงด้วยความโมโห คนคนนี้เหตุใดจึงทำเช่นนั้นเล่า
คำถามเช่นนี้คนปกติทั่วไปคงไม่เอ่ยถามกันหรอก ตอนที่หลานจิ่วชิงเอ่ยถามคำถามนี้ก็เท่ากับว่าเห็นนางเป็นคนกันเอง สำหรับเฟิ่งชิงเฉินแล้วนางรู้สึกยินดียิ่งนัก แต่ว่า……
เมื่อเห็นหลานจิ่วชิงซึ่งมีท่าทางอันลึกลับเช่นนั้น เฟิ่งชิงเฉินไม่ต้องเดาก็รู้ได้ว่าตัวตนของหลานจิ่วชิงนั้นไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เมื่อนางตอบออกไปว่า “ใช่” ก็เท่ากับนางก้าวขาลงไปในเรือโจร
แม้ว่าก่อนหน้านี้นางจะช่วยเหลือหลานจิ่วชิงมาไม่น้อย แต่เรื่องราวแตกต่างกัน ก่อนหน้านี้ที่นางช่วยเหลือเขาล้วนแต่เป็นเหตุโดยบังเอิญ นางไม่เคยเข้าไปห้องเกี่ยวกับเรื่องของหลานจิ่วชิง และไม่เอ่ยถามถึงเรื่องของหลานจิ่วชิงเป็นการส่วนตัว
นางยืนอยู่ในมุมมองของคนนอก หากว่านางตอบไปว่าใช่ หลานจิ่วชิงก็คงไม่เห็นนางเป็นคนนอกอีกต่อไป เห็นได้ชัดว่านางจะกลายเป็นหนึ่งในส่วนร่วมของชีวิตหลานจิ่วชิงอย่างไม่อาจหลบเลี่ยง
หากนางตอบว่าใช่ก็คงต้องทำให้ตนเองลำบาก แต่หากตอบว่าไม่ใช่ เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่อาจกล่าวออกมาได้ นางเชื่อได้เลยว่าเพียงแค่นางกล่าวออกวางมาว่าไม่ นับจากนี้ไปนางกับหลานจิ่วชิงคงไม่อาจเป็นมิตรกันได้อีก และหลานจิ่วชิงคงจะไม่เชื่อนางอีกต่อไป รวมทั้งอาจจะค่อนข้างระมัดระวังตัวนาง
นางมองเห็นการใช้ชีวิตด้วยความตื่นตระหนกอยู่ท่ามกลางอันตรายและกลิ่นคาวเลือดของเขา เหมือนกับตนเองในอดีต นางไม่อยากจะสูญเสียสหายคนนี้ไป เฟิ่งชิงเฉินเบิกตากลมกว้างแล้วทำท่าทางอ้อนวอนร้องขอ “ช่วยเปลี่ยนคำถามให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่?”
ท่าทางอันน่าสงสารราวกับสุนัขน้อยที่กำลังอ้อนวอนขอความเมตตาจากเจ้าของ ทำให้หลานจิ่วชิงใจอ่อน หากเป็นเรื่องอื่นล่ะก็เขาคงจะยอมอ่อนข้อให้ มีเพียงเรื่องนี้ที่ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ “เฟิ่งชิงเฉิน คำถามนี้เจ้าจำเป็นต้องตอบมัน”
ประโยคของหลานจิ่วชิงแต่ละครั้งที่กล่าวออกมาดูเข้มแข็งขึ้น เขาไม่อนุญาตให้เฟิ่งชิงเฉินปฏิเสธอย่างแน่นอน
“จิ่วชิง ข้าคิดว่าพวกเราเป็นสหายกัน” เฟิ่งชิงเฉินหมดแรง นางไม่รู้ควรตอบว่าเช่นไรดี ทำได้เพียงเอ่ยประโยคนู่นนี่ไปเรื่อยเพื่อหวังว่าจะทำให้หลานจิ่วชิงลืมเรื่องนี้ไปได้
แต่อย่างไรก็ตาม……วันนี้ที่หลานจิ่วชิงเดินทางมาก็เพื่อวัตถุประสงค์นี้และเพื่อคำถามนี้ เขาจะถูกเฟิ่งชิงเฉินหลอกลวงหลอกล่อได้เช่นไร “เพราะเราเป็นสหายกัน ดังนั้นข้าจึงได้เอ่ยคำถามนี้กับเจ้า”
สหายงั้นหรือ? ภายใต้หน้ากาก มุมปากของหลานจิ่วชิงเผยอยิ้มขึ้นเล็กน้อยด้วยความเยือกเย็น
ที่แท้ในใจของเฟิ่งชิงเฉินแล้วหลานจิ่วชิงเป็นเพียงแค่สหาย แต่เป็นเช่นนี้ก็ดี แม้เขาจะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ตอนนี้เขาก็ไม่ต้องเปลี่ยนวิธีการเข้าหาสนทนากับเฟิ่งชิงเฉินเป็นอย่างอื่น
“ในเมื่อพวกเราเป็นสหายกัน แล้วเหตุใดเจ้าจึงต้องทำให้ข้ารู้สึกลำบากใจด้วย? หลานจิ่วชิง วันนี้เจ้ามาหาเรื่องค่าหรืออย่างไร?” เฟิ่งชิงเฉินน้ำตานองหน้า เหตุใดบุรุษเหล่านี้จึงจัดการยากขึ้นเรื่อยๆ นะ
เสด็จอาเก้า ซีหลิงเทียนอวี่ ซีหลิงเทียนเหล่ย ตงหลิงจื่อลั่ว หนานหลิงจิ่นฝาน บัดนี้ยังมีหลานจิ่วชิงเพิ่มเข้ามาอีก แต่ละคนล้วนเป็นคนที่จัดการได้ยากและวุ่นวายเหลือเกิน จู่ๆ เฟิ่งชิงเฉินก็นึกถึงหวังจิ่นหลิงขึ้นมา
อืม จิ่นหลิงใจดีจริงเชียว จิ่นหลิงไม่เคยต้องทำให้นางลำบากใจ ไม่ว่าทำอะไรเขาก็ตามใจนางทั้งนั้น อีกทั้งไม่เอ่ยถามถึงเหตุผล เขาจะให้ความช่วยเหลือเสมอตอนที่นางต้องการ
“จิ่นหลิง ข้าคิดถึงเจ้าเสียจริง” เฟิ่งชิงเฉินแอบบ่นอยู่ในใจ
หวังจิ่นหลิงที่กำลังพักผ่อน อยู่ภายในเรือนที่โดดเดี่ยวเดี่ยว เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังดวงจันทร์แล้วกล่าวอยู่ในใจว่า “ชิงเฉิน ข้าคิดถึงเจ้า”
กิ่งไม้ไหวเอนท่ามกลางความเงียบสงบ ทำให้รู้สึกเงียบเหงายิ่งกว่าเดิม
หวังจิ่นหลิงนั่งชมจันทร์อยู่เพียงคนเดียวโดดเดี่ยวเดียวดาย เขากำลังดื่มด่ำกับความรู้สึกอันคำนึงหา เฟิ่งชิงเฉินรีบจัดการกับความคิดของตนแล้วหันมา จัดการกับหลานจิ่วชิงซึ่งอยู่ตรงหน้านี้ นางหวังว่าหลานจิ่วชิงจะยอมประนีประนอม แต่น่าเสียดายที่หลานจิ่วชิงไม่ใช่หวังจิ่นหลิง เขาไม่ได้จะยอมแพ้และถอดใจเพียงเพราะว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ยินยอม
“เฟิ่งชิงเฉิน จงบอกคำตอบของเจ้ามาแก่ข้า” หลานจิ่วชิงเน้นย้ำขึ้นอีกครั้งหนึ่ง หากวันนี้เขาไม่ได้รับคำตอบจากเฟิ่งชิงเฉิน เขาก็คงจะไม่จากไปอย่างแน่นอน
“อย่าทำตัวดื้อรั้นเช่นนี้ได้หรือไม่”
เฟิ่งชิงเฉินเริ่มโมโหแล้ว นางไม่อยากจะเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับความเดือดร้อนเพราะเพียงคำพูดคำเดียว แต่สถานการณ์ในบัดนี้นางจึงทำได้เพียงอ้อนขอ เฟิ่งชิงเฉินครุ่นคิดและถอนหายใจออกมา “หลานจิ่วชิง ก่อนหน้านี้เจ้าต้องการให้ข้าช่วยคนคนหนึ่งไม่ใช่หรือ เจ้าวางใจเถิด เพียงแค่เจ้าเอ่ยปากออกมา ไม่ว่าจะเป็นใครข้าจะช่วยรักษาให้อย่างสุดฝีมือ ต่อให้เป็นศัตรูที่ฆ่าบิดาของข้าก็ตาม เพียงแค่เจ้าเอ่ยปากร้องขอ ข้าก็จะช่วยเขาอย่างสุดกำลัง” ยอดเยี่ยมยิ่งนัก รอให้ข้าช่วยเขาแล้วค่อยจัดการฆ่าทิ้งทีหลังก็ได้
เมื่อพบว่าหลานจิ่วชิงดูไม่พอใจกับคำตอบของนางเท่าไหร่ เฟิ่งชิงเฉินจึงได้กล่าวขึ้นอีกว่า “ส่วนคำถามที่เจ้าเอ่ยถามข้าว่าหากเจ้าร้องขอให้ข้าช่วยไม่ว่าสิ่งใดข้าก็จะช่วยใช่หรือไม่ ข้า ข้าไม่อาจให้คำตอบที่ชัดเจนแก่เจ้าได้ ข้ากล่าวได้เพียงว่าหากสิ่งที่เจ้าร้องขอให้ข้าช่วยนั้นข้าสามารถทำได้ แน่นอนว่าข้าจะทำ”
นี่คือคำตอบที่นางคิดว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว สตรีที่กลัวความยุ่งยากวุ่นวายเช่นนั้น สามารถให้คำสัญญาเช่นนี้ได้นับว่าไม่เลวแล้วไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ต้องรู้ก่อนว่าต่อให้เป็นเสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิง นางเองก็ไม่เคยให้คำสัญญาเช่นนี้มาก่อน เสด็จอาเก้าใช้วิธีต่างๆ มากมายในการบีบบังคับให้นางทำระเบิดขึ้นมา แต่นางยังกัดฟันปฏิเสธจนถึงที่สุด
นางให้คำสัญญาเช่นนี้กับหลานจิ่วชิง นอกจากนางเห็นหลานจิ่วชิงเป็นสหายแล้วโดยมากเป็นเพราะต้องการรักษาน้ำใจของเขา หากไม่มีบุญคุณในการช่วยชีวิตนางไว้ของหลานจิ่วชิง หากไม่มีหลานจิ่วชิงแล้วก็เฟิ่งชิงเฉินคงจะตายไปตั้งนานแล้ว……