นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 454 การเขียนตัวอักษร จิ่วชิงเสียเปรียบแล้ว
“มัวนิ่งอยู่ทำไม รีบปลดกางเกงสิ” เฟิ่งชิงเฉินรออยู่นานสองนานก็ยังไม่เห็นหลานจิ่วชิงทำอะไรเสียที นางจึงเร่งเขา
เอ่อ……หลานจิ่วชิงมองหน้านาง เขารู้มาตลอดว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นคนที่ใจแข็ง เนื่องจากนางเป็นหมอ ความรู้สึกในแง่ของชายหญิงจึงเป็นเรื่องที่ชาชินสำหรับนาง แต่หลานจิ่วชิงนึกไม่ถึงเลยจริงๆว่าเฟิ่งชิงเฉินจะใจแข็งถึงเพียงนี้
ชายหญิงอยู่กันในห้องสองต่อสอง แถมนางยังสั่งให้เขาถอดกางเกง นี่นางไม่รู้หรืออย่างไรว่าการทำเช่นนี้จะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้ง่ายๆ?
เพราะคำพูดของเฟิ่งชิงเฉิน บวกกับการตอบสนองของร่างกาย ร่างกายเขาอ่อนไหว หลานจิ่วชิงผู้แน่วแน่นอนนิ่งอยู่ดังเดิม ร่างกายของเขายังแน่นิ่งไม่ไหวติง
“เป็นอะไรไป? เจ็บแผลหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินรอจนเริ่มเหลืออด นางกวาดสายตามองร่างเขาและคาดเดาว่าเขาคงเจ็บหนักมาก นางไม่รีรอ รีบวางผ้าซับเลือดไว้ข้างๆแล้วโน้มตัวลงไปช่วยหลานจิ่วชิงปลดกางเกง
ให้ตายสิ หน้าที่พยาบาลนางก็ต้องทำด้วยหรือนี่
เฟิ่งชิงเฉินศึกษาหนทางแก้ปมผูกกางเกงอยู่นาน ในที่สุดนางก็แก้ปมได้ เฟิ่งชิงเฉินมัวแต่ยุ่งอยู่กับการปลดกางเกงเพื่อที่จะทำแผล จนไม่ได้สังเกตว่าใบหน้าภายใต้หน้ากากของหลานจิ่วชิงนั้นแดงก่ำเสียยิ่งกว่าอะไรแล้ว
เฟิ่งชิงเฉินไม่จำเป็นต้องถอดกางเกงเขาออกทั้งหมด เพียงให้พ้นจากบาดแผลก็พอแล้ว เฟิ่งชิงเฉินจับตัวหลานจิ่วชิงเพื่อขอให้เขาขยับตัวเล็กน้อย หลานจิ่วชิงก็ให้ความร่วมมือ เมื่อเขารู้สึกตัวอีกครั้ง กางเกงของเขาก็หลุดลงมาจนถึงจุดสำคัญแล้ว หากกางเกงยังหลุดลงไปอีก เห็นทีจะมีสิ่งที่ไม่ควรแสดงตัวโผล่ออกมาให้เห็นอย่างแน่นอน
นี่เป็นครั้งแรกที่หลานจิ่วชิงรู้สึกว่าการทำแผลเป็นเรื่องน่าเหนื่อยใจ เนื่องจากตำแหน่งแผลอยู่ใกล้ๆกับร่างกายท่อนล่าง มือของเฟิ่งชิงเฉินจึงเผลอไปโดนท่อนล่างของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และหลังจากนั้น……หลานจิ่วชิงก็จะเกิดการตอบสนองแบบแปลกๆ
เฮ่อ……
หลานจิ่วชิงอึดอัดใจจนแทบทนไม่ไหวแล้ว อยากรีบๆดึงกางเกงขึ้นมาแล้วเดินหนีไปเสีย แต่เขาเห็นเฟิ่งชิงเฉินไม่รู้สึกอะไรเลย แถมยังไม่ได้สังเกตท่าทีแปลกๆของเขาด้วย นางกำลังทำแผลให้เขาอย่างตั้งใจ
เฟิ่งชิงเฉินเริ่มต้นจากการใช้น้ำร้อนมาเช็ดคราบเลือดรอบปากแผลจนสะอาด ส่วนตัวบาดแผล นางหยิบเข็มขนาดเล็กออกมาจากกล่องยาแล้วฉีดลงไปบนตัวเขา
เมื่อฉีดยาเสร็จแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ล้างแผลให้เขาก่อนที่จะเย็บแผล เขาไม่รู้สึกเจ็บเลย ปลายเข็มที่ร้อยไปร้อยมาบนตัวเขา เขาเพียงรู้สึกคันเหมือนมดกัด และหลังจากนั้นสักพักเขาก็รู้สึกคล้ายกับว่ามีมดมากัดที่หัวใจของเขา มันคันยุบยิบจนเขาอยากปัดมือของเฟิ่งชิงเฉินทิ้ง……
หลานจิ่วชิงสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อควบคุมสติอารมณ์ของตัวเอง
แต่เนื่องจากเฟิ่งชิงเฉินกำลังใจจดใจจ่อกับการทำแผล ทำให้หลานจิ่วชิงเริ่มเบี่ยงเบนความสนใจ เขาจ้องมองใบหน้าทางด้านข้างอันงดงามของนาง มองอยู่เช่นนั้นไม่วางตา
เขาชอบดูเฟิ่งชิงเฉินรักษาคน นางดูสุขุมรอบคอบและระมัดระวัง แต่มองๆไปก็ดูน่าเห็นใจ เรื่องนี้นางคงจะยังไม่รู้
ภาพเช่นนี้ของเฟิ่งชิงเฉินให้เขาดูเป็นร้อยครั้งเขาก็ไม่เบื่อเลย
ดูไปดูมา หลานจิ่วชิงก็ต้องเจอกับเรื่องไม่คาดคิด
หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินเย็บแผลเสร็จแล้ว นางก็ลุกไปหยิบยาทาภายนอกจากกล่องเครื่องมือการผ่าตัด และยังมีผ้าสำหรับใช้พันแผล เมื่อนางหันกลับมา มือของนางก็บังเอิญไปโดนต้นเสาสะท้านฟ้าของเขา
มันอุ่นๆชอบกลนี่ ทำให้เฟิ่งชิงเฉินสัมผัสต่ออยู่สักพัก จนเมื่อเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร นางก็รีบดึงมือกลับอย่างรวดเร็ว “ขอโทษที เป็นอุบัติเหตุน่ะ”
นี่มันอะไรกัน!
เฟิ่งชิงเฉินมองไปทางอื่นโดยมีสีหน้าที่นิ่งเฉย นางกลับหลังหัน ทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่หลานจิ่วชิงกลับรู้สึกเหมือนกระแสเลือดไหลย้อนกลับ หลังจากที่อาการร้อนผ่าวบนใบหน้าเพิ่งจางหาย พลันทุกอย่างก็เหมือนปะทุขึ้นอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เป็นมากกว่าครั้งก่อน หลานจิ่วชิงจะควบคุมจังหวะการหายใจอย่างไรดี เขาจะทำใจให้สงบได้อย่างไร ตอนนี้เขาว้าวุ่นไปหมดแล้ว……
เฟิ่งชิงเฉินหยิบยามาทาให้หลานจิ่วชิง หลังจากนั้นนางก็พันแผล นางไม่ได้สนใจเลยว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เขาเขินอาย ตอนนี้นางเป็นหมอ เมื่ออยู่ต่อหน้าหมอ คนไข้คงไม่อยากพูดอะไรมาก สิ่งสำคัญคือของของหลานจิ่วชิงไม่ได้โผล่ออกมา หากโผล่ออกมาจริงๆแล้วล่ะก็ คนที่เขินอายก็คงจะเป็นนาง
“พรุ่งนี้ท่านยังต้องไปทำธุระอีก เดี๋ยวข้าจะพันแผลให้ท่านหลายๆรอบ ท่านเองก็ระวังหน่อยนะ พยายามอย่าทำให้แผลแยก หากแผลแยกขึ้นมาจะกลายเป็นเรื่องใหญ่” เฟิ่งชิงเฉินประคองหลานจิ่วชิงให้ลุกขึ้น แล้วนำผ้าพันแผลมาพันรอบๆเอวของเขา
รอบเอวหลานจิ่วชิงมีขนาดพอเหมาะ พอที่แขนของหญิงสาวคนหนึ่งจะโอบล้อมได้สบาย ว่าที่ฮูหยินของหลานจิ่วชิงจะต้องโชคดีมาก เฟิ่งชิงเฉินอดไม่ได้ที่จะแอบคิดเช่นนี้
ส่วนเรื่องเจ้าน้องชายหลานจิ่วชิง เฟิ่งชิงเฉินหาได้ใส่ใจไม่ ขอโทษนะ ตอนนี้นางกำลังให้ความสนใจกับเรื่องบาดแผลอยู่ ถึงเห็นแล้วจะเป็นอย่างไรล่ะ นางไม่ใช่หมอด้านระบบทางเดินปัสสาวะเสียหน่อย แล้วหลานจิ่วชิงก็ไม่ได้มาตัดแต่งชิ้นส่วนตรงนั้นด้วย นางไม่จำเป็นต้องไปยุ่งกับส่วนนั้นของหลานจิ่วชิง
เพื่อเป็นการป้องกันรอยแผลแยก เฟิ่งชิงเฉินยังพันผ้ารอบสะโพกหลายๆรอบ เมื่อมั่นใจว่าทุกอย่างอยู่ตัวแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็มัดปมแล้วตัดเศษผ้าพันแผลที่เหลือทิ้ง
“เสร็จแล้ว ลุกขึ้นสิ เดี๋ยวข้าจะช่วยท่านสวมกางเกง” เฟิ่งชิงเฉินทำราวกับว่าหลานจิ่วชิงมิได้เป็นบุรุษเพศทั่วๆไป แต่เป็นเพียงผู้ป่วยอาการหนักที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้
หลานจิ่วชิงอยากบอกกับนางว่ามือของเขานั้นไม่ได้บาดเจ็บ เขาสามารถสวมกางเกงเองได้ แต่ทว่า……
ลึกๆในใจแล้ว เขาก็เปิดใจยอมรับการดูแลจากเฟิ่งชิงเฉิน หลังจากที่พันแผลเสร็จแล้ว เขาก็รู้สึกดีขึ้น เขาเริ่มมีแรงลุกขึ้นยืน เพื่อให้เฟิ่งชิงเฉินทำงานได้สะดวก แต่ไม่นึกไม่ฝันว่า……
กางเกงของเขาร่วงหล่นไปด้านล่าง ซึ่งเป็นจังหวะที่ไม่มีใครจับกางเกงเอาไว้เลย กางเกงของเขากองตกอยู่บนพื้น หลานจิ่วชิงเหลือเพียงกางเกงชั้นในเพียงตัวเดียว เขายืนจังก้าเช่นนั้นต่อหน้าเฟิ่งชิงเฉิน
สถานการณ์เช่นนี้……
หลานจิ่วชิงหน้าแดงจนเกือบดำ ดวงตาของเขาเยือกเย็นปานสายน้ำที่หาได้มีความอบอุ่นแม้แต่น้อย เขาจ้องหน้าเฟิ่งชิงเฉินด้วยแววตาถมึงทึง แต่น่าเสียดายนักที่เฟิ่งชิงเฉินไม่สะทกสะท้านเลย
ฮ่าๆๆ……หากไม่ใช่เพราะหลานจิ่วชิงมีรัศมีความโหดอย่างเด่นชัด หากไม่ดูเรื่องกาลเทศะ เฟิ่งชิงเฉินคงหัวเราะไปนานแล้ว
นี่มันตลกเป็นบ้าเลย
จอมยุทธหนอจอมยุทธ ท่านจอมยุทธหลานจิ่วชิงผู้เกรียงไกรได้ทำเรื่องขายหน้าถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่ ฮ่าๆๆ สนุกดีจริงๆ ถึงคืนนี้จะอดนอนก็ถือว่าคุ้มค่า
เฟิ่งชิงเฉินกลั้นหัวเราะพร้อมกับก้มตัวลงไปช่วยหลานจิ่วชิงเก็บกางเกง
“อยากหัวเราะก็หัวเราะออกมาเถอะ ไม่ต้องกลั้นเอาไว้หรอก” หลานจิ่วชิงกล่าวอย่างอารมณ์เสีย
เขาสูญเสียความบริสุทธิ์ไปเสียแล้ว!
“ฮ่าๆๆ……” เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะเพียงเล็กน้อย แล้วเตือนตัวเองให้วางตัวดีๆ
“ต้องขอโทษด้วยนะ ข้าทำงานไม่รอบคอบเองแหละ” เฟิ่งชิงเฉินหันมากล่าวอย่างจริงจัง แต่น้ำเสียงของนางเหมือนไม่รู้สึกผิดเลย หลานจิ่วชิงเมินหน้าไปทางอื่น เขาขี้เกียจมาต่อล้อต่อเถียงกับเฟิ่งชิงเฉินแล้ว
คืนนี้เขาไม่น่าออกมาข้างนอกเลย มีแต่เรื่องที่ไม่ได้ดั่งใจ เขาจะต้องกลับไปอัดปู้จิงหยุนเสียให้น่วม เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนนี้ก็ยิ่งทำให้เขาอารมณ์เสีย สิ่งที่เขาเปิดเผยให้เฟิ่งชิงเฉินได้เห็นในคืนนี้มันแย่ชะมัดเลย
เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ว่าหลานจิ่วชิงกำลังอารมณ์แปรปรวน ระหว่างที่นางช่วยเขาดึงกางเกงขึ้นมา นางก็ทำเป็นไม่สนใจปฏิกิริยาตอบสนองของเขา นางช่วยเขาผูกกางเกงด้วยสีหน้านิ่งเฉย นางเห็นกางเกงเขามีรูโหว่อยู่รูหนึ่ง จึงหันไปหยิบเข็มกับด้ายมาช่วยเย็บกางเกงให้
ศัลยแพทย์ผู้เก่งกาจในการเย็บเนื้อหนัง ท่าทางการเย็บผ้าก็ประณีตไม่แพ้กัน เพียงแต่นางลืมคำนึงถึงลักษณะของกางเกง
เฟิ่งชิงเฉินเย็บกางเกงเหมือนเย็บแผล ส่วนที่เป็นรูโหว่ นางไม่ได้หาเศษผ้ามาแต่งเติม แต่กลับขยุ้มเนื้อผ้ารอบๆมาหากัน เนื้อผ้าไม่เหมือนเนื้อมนุษย์ มันไม่มีความยืดหยุ่น จึงกลับกลายเป็นว่าหลานจิ่วชิงต้องสวมกางเกงที่สูงข้างต่ำข้าง ฝั่งซ้ายรัดฝั่งขวาหลวมเช่นนั้นเดินออกไปข้างนอก
เมื่อหลานจิ่วชิงสวมใส่กางเกงที่เฟิ่งชิงเฉินรังสรรค์กลับมายังห้องลับในจวนซู ซูเหวินชิงก็ตกใจจนต้องอ้าปากค้าง เขาครุ่นคิดอย่างหนักว่าคนอย่างหลานจิ่วชิงถึงกับกล้าใส่กางเกงที่ “แหวกแนว” เช่นนี้ออกไปข้างนอก นี่เขาไม่กลัวขายหน้าหรือไงนะ?
แน่นอนว่าหลานจิ่วชิงกลัวขายหน้ายิ่งนัก แต่เฟิ่งชิงเฉินไม่เปิดโอกาสให้เขาออกความคิดเห็นเลย เมื่อนางเย็บกางเกงให้เขาเสร็จแล้วนางก็ไปล้างมือ แล้วจึงยกหม้อไก่ตุ๋นที่ทงจือเตรียมไว้มาให้เขา
“ซดน้ำแกงไก่ตุ๋นนี่หน่อยสิ ท่านต้องทานของที่มีประโยชน์นะ” เดิมทีแผลของหลานจิ่วชิงควรจะให้ยาแก้อักเสบ แต่หลานจิ่วชิงมีเรื่องที่ต้องสะสางวันพรุ่งนี้ นางไม่อาจให้ยาแก่เขามากเกินไป นางได้แต่เตรียมยาต้านการอักเสบและยาทาที่ดีที่สุด รวมถึงยาลดไข้ นางกำชับกับหลานจิ่วชิงว่าหากเขาตัวร้อนก็ให้ทานยานี้
เมื่อหลานจิ่วชิงซดน้ำแกงหมดแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็เก็บกล่องเครื่องมือการผ่าตัด ส่วนเรื่องน้ำที่เปื้อนเลือด ก็รอให้ทงจือและทงเหยามาจัดการ
“จิ่วชิง หลังจากนี้ครึ่งชั่วยาม สาวใช้ของข้าจะเข้ามาเก็บของนะ” เมื่อพูดจบ เฟิ่งชิงเฉินก็หิ้วกล่องยาเดินออกไป พร้อมกับเรียกทงจือและทงเหยาไปด้วยกัน โดยนางสั่งคนทั้งสองเอาไว้ว่าหลังจากนี้ครึ่งชั่วยามค่อยเข้าไปทำความสะอาดห้อง
หลานจิ่วชิงไม่ได้พูดอะไรมาก เฟิ่งชิงเฉินจัดการทุกอย่างจนเสร็จสรรพ ยังมีเวลาอีกราวๆครึ่งชั่วยาม พอที่จะให้เขาได้พักฟื้นอีกสักนิด
ช่วงครึ่งชั่วยามนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้อยู่ว่างๆ นางเพิ่งจะทำแผลเสร็จ มีกลิ่นยาและกลิ่นคาวเลือดติดตัวนาง นางต้องการอาบน้ำ
กลางดึกกลางดื่น นางนึกอยากอาบน้ำก็จะอาบ โดยไม่สนใจบ่าวรับใช้ นางให้ทงจือและทงเหยาไปปลุกคนครัวที่ทำหน้าที่ต้มน้ำให้ลุกขึ้นมาต้มน้ำให้นางอาบ
การมีอาหารมาบริการถึงที่ การที่ยื่นมือก็มีคนคอยสวมเสื้อผ้าให้ ชีวิตเฟิ่งชิงเฉินเปลี่ยนไปมาก ตอนนี้นางมองว่าการปลุกคนมารับคำสั่งนางในยามวิกาลไม่ใช่เรื่องที่เสียหาย
นางเป็นนายหญิง นี่คืออำนาจผู้เป็นนาย
เช่นเดียวกัน ทงจือและทงเหยาก็มองว่าการทำเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องไม่สมควร เฟิ่งชิงเฉินคือนายหญิงของพวกนาง อย่าว่าแต่ต้มน้ำตอนดึกๆดื่นๆเลย หากเฟิ่งชิงเฉินเกิดหิวตอนกลางดึก พวกคนครัวก็ต้องตื่นขึ้นมาทำให้นางกิน
ผ่านไปสักพัก ทงจือและทงเหยาก็นำน้ำร้อนมาให้เฟิ่งชิงเฉินอาบ ยังไม่ทันจะฟ้าสาง จวนเฟิ่งก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวแล้ว หลังจากอาบน้ำเสร็จเฟิ่งชิงเฉินก็เข้านอน ธุระหลังจากนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทงจือและทงเหยา
นี่คือความแตกต่างระหว่างนายกับบ่าว
คงเป็นเพราะความเหนื่อยล้า เฟิ่งชิงเฉินหลับสนิทจนถึงเช้า เมื่อนางตื่นมา นายบ่าว 3 คนก็เป็นอันรู้กันว่าไม่ควรพูดถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ เฟิ่งชิงเฉินคว้าเสื้อสีส้มแล้วมุ่งหน้าไปที่สำนักบัณฑิต โดยมีเหล่าผู้อารักขามาตามส่ง
เข้าวันที่สามแล้ว นางกับซูหว่านต้องมาประลองกันด้านการเขียนตัวอักษร ซึ่งลานประลองยังคงเป็นสำนักบัณฑิตเช่นเดิม ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าต้องมีฝูงชนไปรอดูอย่างคับคั่งแน่นอน……