เฟิ่งชิงเฉินพลันมีความคิดที่ชั่วร้ายออกมา ถ้าหากวันพรุ่งนี้ นางทำตัวหยาบคายหยิบอาภรณ์ชุดขาวมาสวมใส่ละก็ ไม่รู้ว่าซูหว่านจะสวมใส่อาภรณ์ชุดขาวเช่นเดียวกับนางหรือไม่ แต่เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่า ตัวนางเหมาะกับอาภรณ์สีขาวยิ่งนัก เช่นเสื้อกราว์สีขาว
แน่นอนว่าความคิดเช่นนี้ นางได้แต่แอบคิดอยู่ภายในใจเพียงผู้เดียวเท่านั้น ไม่อาจทำขึ้นมาจริง ๆ ได้ ใต้หล้าทั้งเก้าแคว้นนั้น นอกจากจะสวมใส่อาภรณ์สีขาวเพื่อแสดงความกตัญญูต่อผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว การสวมใส่อาภรณ์สีขาวยังนับได้ว่าเป็นสีต้องห้ามด้วยเช่นกัน ในสายตาของคนยุคโบราณนั้น การสวมใส่อาภรณ์สีขาว นับว่าเป็นสีที่ไม่มงคล หากว่าสวมใส่อาภรณ์สีข่าวเพื่อไว้ทุกข์แล้วละก็ ไม่สมควรที่จะสวมชุดไว้ทุกข์เพื่อออกจากบ้านเป็นอันขาด
มิเคยได้ยินประโยคที่ว่าหรือ หากต้องการแสดงความกตัญญูออกมา ให้สวมใส่ชุดขาว สตรีที่ถูกสอนมาอย่างเข้มงวด มักจะสวมใส่อาภรณ์สีขาวเสียส่วนใหญ่ อีกทั้งในยามที่อยู่ในช่วงไว้ทุกข์ สตรีพวกนี้มักจะไม่ออกมาจากจวนเลย ทั้งยังไม่มีผู้ใดมาหาสตรีเหล่านี้อีกด้วย เนื่องจากกลัวว่า พวกนางจะนำพาความโชคร้ายมาให้
ยามที่ไปงานเลี้ยงบ้านใด หากงานนั้นเต็มไปด้วยความสนุกสนาน กลับมีเจ้าคนเดียวที่สวมใส่ชุดขาว มิใช่เป็นการสร้างความลำบากใจให้กับเจ้าบ้านหรอกหรือ ทว่า หากสวมสีอ่อน ๆ เรียบ ๆ ไปก็ไม่ดี นั่นแสดงถึงความอ่อนแอ
แม้แต่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อยบางเรื่อง ก็สามารถเป็นตัวกำหนดได้ว่า เจ้าสมควรที่จะเข้าร่วมงานสังคมนั้น ๆ หรือไม่ ของพวกนี้เฟิ่งชิงเฉินให้ความสำคัญกับพวกมันเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าบิดามารดาของนางจะสิ้นชีพไปแล้วทั้งคู่ หากนางสวมใส่ชุดขาว ย่อมไม่มีคนกล้าพูดสิ่งใด แต่นอกจากยามที่นางยืนอยู่ในห้องผ่าตัดแล้ว นางมิเคย ที่จะสวมอาภรณ์สีขาวออกนอกจวนเลยแม้แต่น้อย
ยามที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังคิดเรื่องไม่ดีออกมา หากว่านางและซูหว่านสวมใส่อาภรณ์สีขาวสีเดียวกันออกมาละก็ จะมีคนสงสัยหรือไม่ว่า ตระกูลซูเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่ ฉับพลัน เสด็จอาเก้าที่เป็นหนึ่งในผู้ตัดสินการประลองในครานี้ก็ปรากฏตัวขึ้นมา
แม้ว่าผู้อื่นจะมิได้สนใจ แต่เสด็จอาเก้ากลับเห็นแววตาซุกซนของเฟิ่งชิงเฉิน ที่เต็มไปด้วยความขบขันเสียมากมายได้อย่างชัดเจน เมื่อเห็นท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินที่เป็นเช่นนั้น เสด็จอาเก้าก็รู้ได้ทันทีว่า เฟิ่งชิงเฉินกำลังคิดสิ่งใดที่ไม่ดีออกมาเป็นแน่ ในทุก ๆ ครั้งที่นางมีความพิเรนทร์อยู่ในหัว นางมักจะเป็นเช่นนี้ เฉกเช่นในค่ำคืนเมื่อวานนี้
เมื่อคิดถึงเรีื่องของเมื่อคืน ใบหูของเสด็จอาเก้าพลันเกิดอาการแดงก่ำขึ้นมาในทันที
ซีหลิงเทียนเหล่ยพลันเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยด้วยความรู้สึกประหลาดใจ พร้อมทั้งหันตัวมองรอบกาย นอกจากเฟิ่งชิงเฉินและซูหว่านที่สวมใส่อาภรณ์สีเดียวกันแล้ว หาได้มีสิ่งผิดปกติอื่นใดไม่?
แน่นอนว่าผู้อื่นมิได้มาสนใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อยเช่นเขา
เมื่อเหล่าคณะกรรมการเดินเข้ามานั้น มีทั้งเสด็จอาเก้า องค์รัชทายาท ทั้งเฟิ่งชิงเฉินและซูหว่านเองต่างก็มิได้รับการยกเว้น สตรีทั้งสองพลันลุกขึ้นยืนพร้อมกัน เพื่อทำความเคารพต่อพวกเขาต่อหน้าผู้คนในทันที
“มิต้องมากพิธี” เสด็จอาเก้าคือคนของฝั่งตงหลิง ในคณะกรรมการทั้งเจ็ดนั้น เสด็จอาเก้าเป็นผู้ที่มีฐานะสูงที่สุด พระองค์จึงได้นั่งอยู่ตรงกลางและมีอำนาจในการพูดและตัดสินใจมากที่สุด
เมื่อนั่งลง เสด็จอาเก้าพลันหันไปส่งสัญญาณให้ขันทีว่าให้เริ่มได้ ท่าทางของเสด็จอาเก้านั้น เต็มไปด้วยความรวดเร็วและฉับไวยิ่งนัก
“โต๊ะเก้าอี้ได้จัดเตรียมไว้แล้วขอรับ เชิญคุณหนูทั้งสองลงมือได้เลย” น้ำเสียงเล็กแหลมของขันทีพลันประกาศกร้าวออกมา
เสด็จอาเก้าที่นั่งอยู่ตรงกลาง ไม่มีท่าทีโมโหแต่อย่างใด พร้อมกับแสดงสีหน้าที่ไร้อารมณ์ออกมา สายตาของเสด็จอาเก้าพลันกวาดตามองไปทั่วร่างเฟิ่งชิงเฉิน พร้อมกับความวูบไหวที่เกิดขึ้นภายในดวงตา ที่มิอาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
เฟิ่งชิงเฉินพลันพาเด็กน้อยคนหนึ่งมาด้วย นางหาได้มีสิ่งใดติดไม้ติดมือมาด้วยไม่
แล้วนางจะเอาสิ่งใดเขียนอักษรกัน? เฟิ่งชิงเฉินมิรู้หรือว่า การประลองในวันนี้ จักต้องเตรียมอุปกรณ์ฝนหมึกพู่กันกระดาษมาด้วยตนเอง? หรืิอว่า นางเตรียมใจที่จะยอมแพ้มาแล้ว?
แท้จริงแล้วการประลองในครานี้ หาได้มีความยุติธรรมไม่ อีกทั้งระดับมีฝีมือของผู้เข้าแข่งขันทั้งสองก็หาได้อยู่ในระดับเดียวกัน แม้แต่อุปกรณ์ฝนหมึกพู่กันกระดาษก็ยังมิใช่สิ่งของชนิดเดียวกันอีก เช่นนี้ผลงานที่ได้ ย่อมแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ถึงอย่างไรการใช้น้ำหมึก พู่กันและกระดาษที่นำมาเขียน เป็นของที่ดีกว่านั้น คนผู้นั้น ย่อมคว้าชัยกลับไปได้โดยง่าย
แน่นอนว่า การประลองในทุก ๆ ครั้ง แม้จะดูเหมือนว่ามีความยุติธรรม แต่แท้จริงแล้ว ทุกการแข่งขันในโลกใบนี้ หาได้มีความยุติธรรมไม่ เรื่องนี้เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจเป็นอย่างดี ฉะนั้นแล้ว นางหาได้สนใจการประลองที่ไม่มีความยุติธรรมเช่นนี้ไม่ อีกทั้งนางก็ไม่ได้คิดที่จะต้องมาแข่งขันกับซูหว่านเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ทั้งเฟิ่งชิงเฉินและซูหว่านต่างก็พากันลุกขึ้นยืน หลังจากที่ทำความเคารพเสด็จอาเก้านั้น พวกนางก็พากันอยู่ที่เดิม ซูหว่านจึงสั่งให้สาวใช้ของนาง ไปนำอุปกรณ์ฝนหมึกพู่กันกระดาษมาวางเรียงกันเอาไว้ ยามที่ของถูกจัดวางลงมานั้น สายตาของทุกคนก็พลันสนใจไปที่สิ่งของพวกนั้นในทันที
“ตระกูลซูใช้เงินมือเติบยิ่งนัก พู่กันเล่มนั้นหากข้ามองไม่ผิดไปละก็ มันคือพู่กันหลงหาวที่ราชวงศ์ก่อนได้ตั้งชื่อให้ พู่กันหลงหาวนั้นมีเพียงตระกูลชุยเท่านั้นที่สามารถทำออกมาได้ ขนพู่กันมิมีหลุดลุ่ย ยามจุ่มลงไปในน้ำหมึกขนไม่มีทางแตกออก นับว่าเป็นสิ่งของที่ราชวงศ์ก่อนได้เคยหยิบใช้งาน แต่พู่กันนี้ได้สูญหายไปพร้อมกับราชวงศ์ก่อนและการล่มสลายของตระกูลชุยไปแล้ว มิคิดว่า แม้แต่ตระกูลซูเองก็จะมีของสิ่งนี้ไว้ครอบครองเช่นเดียวกัน”
“นั่น จานฝนหมึกเฉิงหนีเอี้ยนมิใช่หรือ น้ำหมึกในจานที่เข้มข้น ย่อมไม่อาจละลายไปกับน้ำได้ ”
“ถึงกับใช้ผ้าไหมน้ำแข็งแทนกระดาษเลยหรือ ผ้าไหมน้ำแข็งย่อมไม่ทำให้น้ำหมึกเปรอะเปื้อน อีกทั้งน้ำหมึกก็ยังไม่กระจายแตกตัวเฉกเช่นกระดาษอีกด้วย การเก็บรักษาจึงง่ายดายกว่ากระดาษมากนัก”
เมื่อผู้คนที่เห็นเรื่องราวอันน่าสนุกนั้น ต่างก็พากันพูดคุยปากต่อปากไปในทันที พร้อมทั้งพากันพูดคุยถึงสิ่งของที่ซูหว่านนำมาไม่หยุด คณะกรรมหนึ่งในสามคนนั้น มาจากสำนักบัณฑิตที่เชี่ยวชาญในด้านอักษร ถึงแม้ว่าพวกเขามิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา แต่นัยน์ตาของพวกเขา พลันแสดงออกมาถึงความกระตือรือร้นยิ่งนัก นั่นหมายความว่า พวกเขาชมชอบในสิ่งของที่ซูหว่านนำมาใช้งานในวันนี้
ครั้งนี้ ตระกูลซูถึงกลับควักเลือดเนื้อของตนออกมาเลยทีเดียว สิ่งของที่นำมาในวันนี้นั้น ย่อมทำให้ผู้คนเข้าใจได้ไม่ยากว่า ตระกูลซูมีเส้นสายมากมายเพียงใด พวกเขาหาได้เป็นเพียงเห็บตัวหนึ่งไม่
เมื่อได้ยินคำพูดที่ชื่นชม พร้อมกับสายตาที่แฝงไปด้วยความอิจฉาของคนทั่วไปแล้วนั้น ซูหว่านก็ได้แต่กระยิ้มกระย่อมออกมา นัยน์ตามิอาจปิดความชอบใจลงได้ สิ่งของที่นางนำมาในวันนี้ แม้มีเงินก็มิอาจซื้อได้ตามใจชอบ
เมื่อผู้อาวุโสเหยียน คุณชายหยวนซีและองค์รัชทายาทเห็นพู่กันหลงหาวนั้น สีหน้าพลันเปลี่ยนไปในทันที มีเพียงเสด็จอาเก้าเท่านั้น ที่ยังคงความเย็นชาของตนเอาไว้ ทั้งยังมิคิดสนใจของของซูหว่านอีก นั่นทำให้ซูหว่านรู้สึกเจ็บใจยิ่งนัก
ได้แต่เก็บความไม่พอใจของตนเอาไว้ ซูหว่านจึงชำเลืองมองไปที่ทางฝั่งของเฟิ่งชิงเฉิน เพื่อคอยดูว่านางจะนำสิ่งของเช่นไรออกมา
หลังจากที่ทุกคนตกตะลึงกับสิ่งของของซูหว่านไปแล้วนั้น ก็พันหันมองตามซูหว่านไปในทันที เพื่อหันไปมองดูเฟิ่งชิงเฉิน ถึงแม้ว่าทุกคนจะมิได้คาดหวังว่า เฟิ่งชิงเฉินจะสามารถหาสิ่งของออกมาได้ดีกว่าซูหว่านก็ตาม แต่ทว่า พวกเขาก็ยังคงมีความหวังขึ้นมาในใจเพียงเล็กน้อย
ทว่า เมื่อได้เห็นสิ่งของที่เฟิ่งชิงเฉินนำออกมาจากแขนเสื้อนั้น ก็ทำเอาผู้ที่อยู่ในลานประลองทุกคนตกตะลึงไปในทัน พร้อมกับไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใดออกมาแทน
หืม
พวกเขามิได้มองผิดไปใช่หรือไม่? เฟิ่งชิงเฉินถึงได้กล้านำสิ่งนี้มาแข่งขันด้วย เฟิ่งชิงเฉินนางไม่รู้หรือว่าวันนี้มาประลองสิ่งใด?
หากนางมิได้เตรียมอุปกรณ์ฝนหมึกพู่กันกระดาษมาก็แล้วไป แต่นางก็มิควรเตรียมของเช่นนี้มามิใช่หรือ?
อย่าได้เอ่ยแต่เพียงผู้ที่มาชมการแข่งขัน แม้แต่คณะกรรมการผู้ตัดสินทั้งเจ็ดคน ก็ยังคงยืดคอมองออกไปดู เพื่อยืนยันกับตนเองว่า พวกเขาหาได้มองผิดไปไม่ มิเช่นนั้น ก็คงเป็นเฟิ่งชิงเฉินที่บ้าเกินไปกระมัง
มือของซูหว่านพลันหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พลันหัวเราะออกมา ด้วยท่าทีสง่างามเหมือนเช่นเคย แต่มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ว่า เสียงหัวเราะของนาง มันเต็มไปด้วยความเยาะเย้ยและดูถูกเฟิ่งชิงเฉินมากเพียงใด
เมื่อเผชิญหน้ากับเหล่าสายตาที่ดูงงงวย ดูถูกและความเยาะเย้ยต่าง ๆนานา เฟิ่งชิงเฉินเพียงแค่คลี่ยิ้มบาง ๆ เท่านั้น ราวกับว่าความหมายที่พวกเขาสื่อออกมา เฟิ่งชิงเฉินหาได้สนใจมันไม่
แต่เดิม นางก็มิได้คิดที่จะต้องมาประมือกับซูหว่านอยู่แล้ว ที่นางมาในวันนี้ ก็เพียงเพื่อที่จะลองมาฉกฉวยโชคชะตาของตนเองดู ไม่ว่านางจะคว้าชัยชนะมาได้หรือไม่ ก็ต้องมาดูกันแล้วว่า ระหว่างโชคชะตาของนางจะสามารถแข็งแกร่งเทียบเท่าอำนาจของเสด็จอาเก้าหรือไม่กัน
“เฟิ่งชิงเฉิน หากเจ้ามิได้นำอุปกรณ์ฝนหมึกพู่กันกระดาษ ข้าจะให้คนนำมาส่งให้เจ้าชุดหนึ่ง” ผู้อาวุโสเหยียนพลันลูบเคราแพะของตนไปมา หากมิได้สนใจหน้าตาของตนเองแล้วละก็ เกรงว่า เขาคงจะเหมือนกับคุณชายหยวนซีเช่นกัน ที่ทำท่าทางชะโงกหน้าออกไปมองพร้อมกับดวงตากลมโตราวกับว่าจะถลนออกมาก็ไม่ปาน สูญเสียท่วงท่าที่น่าเคารพไปเสียหมด
“อะแฮ่ม ข้าเองก็มีชุดอุปกรณ์ฝนหมึกพู่กันกระดาษที่ไม่เลวอยู่ชุดหนึ่งเช่นกัน” หลังจากที่คุณหชายหยวนซีได้สติกลับมานั้น ก็พลันกลับมานั่งตัวตรง พร้อมกับนั่งคร่ำครวญภายในใจว่า บางทีเขาและเฟิ่งชิงเฉินอาจจะมีดวงไม่ค่อยสมพงศ์กันก็เป็นได้ เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนเดียว ที่สามารถทำให้เขาสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปได้ ทั้งยังมิใช่เพียงครั้งเดียวอีกด้วย
“ขอบคุณความเมตตาของท่านผู้อาวุโสเหยียนและคุณชายหยวนซีมากเจ้าค่ะ ชิงเฉินใช้เพียงสิ่งนี้ก็พอแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินเพียงชี้ไปที่สิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ํะ พร้อมกับแย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย
“สิ่งของบนโต๊ะนั่นนะหรือ? แม้แต่กระดาษสักแผ่นก็ไม่มีเช่นนี้ เจ้าจะเขียนลงไปที่ใดกัน? เขียนบนโต๊ะหรือ? หรือว่าเจ้าจะเขียนลงไปในเม็ดข้าว” คุณชายหยวนซีพลันทำปากขมุบขมิบเล็กน้อย เขาพลันรู้สึกว่า ตนเองมิเข้าใจความคิดของเฟิ่งชิงเฉินเลยสักนิด
คราวก่อนเป็นฉินไร้สาย ในยามนี้ยังมาเป็นข้าวสารอีก พร้อมกับไม้กิ่งหนึ่งที่คล้ายว่าจะเป็นพู่กัน ทั้งยังมีความเล็กและบางกว่าเข็มยิ่งนัก เฟิ่งชิงเฉิน นางจะทำตัวปกติเสียหน่อยมิได้หรือ?