นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 457 จิตวิญญาณเก้าแคว้น ใครใคร่สนใจ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

ฉินหมากอักษร การประลองทั้งสามอย่างนี้ นอกจากซูหว่านที่ทำทุกอย่างเหมือนคนปกติแล้ว เฟิ่งชิงเฉินหาได้ทำตัวเหมือนคนปกติไม่ คุณชายหยวนซีอยากจะผ่าสมองของเฟิ่งชิงเฉินออกมาดูยิ่งนัก ว่าสมองของนางบรรจุสิ่งใดเอาไว้บ้าง

“คุณชายหยวนซีกล่าวได้ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ ชิงเฉินต้องใจเขียนตัวอักษรลงบนข้าวสารจริง ๆ ” เฟิ่งชิงเฉินตอบกลับ

“จะเป็นไปได้อย่าง? เมล็ดข้าวสารก็สามารถเขียนตัวอักษรลงไปได้ด้วยหรือ” ไม่เพียงแต่คุณชายหยวนซีที่รู้สึกไม่เชื่อ คนอื่น ๆ ก็มีสีหน้าที่ไม่เชื่อใจเช่นเดียวกัน มีเพียงเสด็จอาเก้าเท่านั้น ที่สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนสี เขาพอจะเข้าใจแล้วว่า เหตุใดเฟิ่งชิงเฉินถึงไม่มีท่าทีกังวลใจ ยามต้องมาแข่งขันกับซูหว่านเลยแม้แต่น้อย ที่แท้ นางก็ได้เตรียมการรับมือเอาไว้เนิ่น ๆ มาตั้งแต่แรกแล้วนี่เอง

การรับมือของเฟิ่งชิงเฉิน กับหมากที่นางลงไปช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก ทั้งแปลกประหลาดและยากที่จะคาดเดาทิศทางได้ ทั้งยังไม่มีผู้ใดคาดคิดอีกด้วย

“มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้กัน คุณชายหยวนซีอย่าได้ดูถูกเม็ดข้าวเล็ก ๆ ไป ถึงแม้ว่าเม็ดขาวจะมีความเล็ก แต่ทว่า ประโยชน์ของมันหาได้เล็กตามตัวไม่” เฟิ่งชิงเฉินพลันหยิบเม็ดข้าวออกมาไว้ในมือของตน “คุณชายหยวนซีไม่เชื่อหรือ ว่าข้าจะสามารถเขียนตัวอักษรลงบนเม็ดข้าวได้ใช่หรือไม่?”

เรื่องนี้ จะเชื่อหรือว่าไม่เชื่อดี?

คุณชายหยวนซีกำลังตกอยู่ในความสับสน ปัญหานี้ดูไม่ค่อยน่าตอบนัก หากกล่าวตามตรงเขาย่อมไม่เชื่ออยู่แล้ว แต่จากท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินนั้น ดูสงบนิ่งยิ่งนัก หากเขากล่าวว่าไม่เชื่อ แล้วเฟิ่งชิงเฉินสามารถเขียนตัวอักษรลงบนเมล็ดข้าวได้ละก็ เขาย่อมต้องขายหน้าเป็นแน่

หากเขากล่าวว่าเชื่อ มันก็จะดูเหมือนว่า เขาเอนเอียงไปทางเฟิ่งชิงเฉิน เขาในยามนี้เป็นถึงคณะกรรมการผู้ตัดสินการประลอง การตัดสินใจย่อมต้องยุติธรรม

เฟิ่งชิงเฉินหาได้รอให้คุณชายหยวนซีตอบรับไม่ เพียงกล่าวออกมาว่า “ซูหว่านสามารถเขียนอักษรบนผ้าไหมได้ ชิงเฉินย่อมสามารถเขียนอักษรลงบนเม็ดข้าวได้เช่นกัน การประลองตัวอักษรหาได้มีกฎกติกาไม่ว่าต้องเขียนอักษรลงแต่บนกระดาษเพียงอย่างเดียว”

เฟิ่งชิงเฉิินกำลังใช้ช่องโหว่ของกฎกติกา ไม่ว่าจะเป็นกฎใด ๆ ย่อมมีช่องโหว่ในตัวของมันอยู่เสมอ มิต้องพูดถึงการประลองเช่นนี้เลย แม้แต่กฎหมายของแว่นแคว้น ย่อมต้องมีช่องโหว่ด้วยเช่นกัน

“แน่นอนว่า ย่อมไม่มีกฎเช่นนี้” ผู้อาวุโสเหยียนพลันพยักหน้าลง ราวกับว่าตกลงที่จะให้เฟิ่งชิงเฉินเขียนอักษรลงบนเม็ดข้าว

ซูหว่านเพียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย หากเป็นเมื่อก่อนละก็ ซูหว่านย่อมคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินกำลังจะสร้างความประทับใจให้กับผู้คนเป็นแน่ ทว่า หลังจากผ่านเหตุการณ์ฉินไร้สายมานั้น เฟิ่งชิงเฉินเพียงแค่เป็นสตรีกลับกลอกเท่านั้น นางไม่อาจหาเหตุผลใด ๆ มาตอบโต้คำพูดของเฟิ่งชิงเฉินได้เลยแม้แต่น้อย

“เฟิ่งซิ่ว เจ้าจะเขียนอักษรลงบนเม็ดข้าวจริง ๆ หรือ? ตรงนั้น มีเมล็ดข้าวถึงร้อยเม็ดเช่นนี้ คงมิใช่ว่าเขียนหนึ่งตัวอักษรต่อหนึ่งเม็ดข้าวกระมัง?” ซูหว่านแสร้งทำเป็นเตือนด้วยความหวังดี แต่มิอาจปกปิดความชั่วร้ายภายในใจที่นางมีต่อเฟิ่งชิงเฉินไปได้

ผู้คนที่อยู่ที่นี่หาใช่คนโง่เง่าไม่ พวกเขาจักไม่เข้าใจได้อย่างไร ยังมิทันจะรอให้เฟิ่งชิงเฉินตอบกลับ คุณชายหยวนซีพลันพูดขึ้นมาก่อนว่า “ซูซิ่ว เรื่องนี้หาใช่สิ่งที่ท่านจะต้องกังวลไม่ เกณฑ์ในการตัดสินใจอยู่ที่คณะกรรมการทั้งเจ็ดคน เจ้าเพียงทำผลงานของตนเองให้ดีก็พอ”

ทันทีที่คุณชายหยวนซีพูดจบ เขาก็พลันรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ขึ้นมาในทันที เมื่อชำเลืองมองข้างกาย ก็พลันสบสายตากับเสด็จอาเก้าพอดิบพอดี เสด็จอาเก้าจึงส่งสายตากล่าวเตือนไปทางคุณชายหยวนซีว่า เรื่องของเฟิ่งชิงเฉิน เจ้ามิต้องมายุ่ง

เมื่อเป็นเช่นนั้น คุณชายหยวนซีพลันก้มหน้าลงโดยไว เพื่อหนีไอสังหารที่เสด็จอาเก้ามองมา พร้อมกับนั่งหลังตรง มองไปยังด้านหน้าราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นอีก

หึ เสด็จอาเก้าพลันพ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา มิมองคุณชายหยวนซีอีก

เจ้าน่าตายนี่ รนหาที่นัก

แม้ว่าสีหน้าของคุณชายหยวนซีจะทำเหมือนว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น แต่ภายในใจ เขาเอาแต่ก่นด่าเสด็จอาเก้าไม่หยุด ท้ายที่สุดเอาเรื่องที่เสด็จอาเก้าอายุน้อยกว่าเขา แต่กลับมีอำนาจในการหยุดเขาได้ ดูเหมือนว่าของเช่นนี้ ดูจะสืบมาจากทางสายเลือดของตระกูลหลาน ที่เหลือทายาทอยู่เพียงผู้เดียวกระมัง เชื้อพระวงศ์ของพระเจ้า

บุรุษทั้งสอง ต่างมีอายุอานามห่างกันถึงสิบกว่าปี ทว่า กลับมาทะเลาะกันเพียงเพราะสตรีนางเดียว อีกทั้งพวกเขาหาได้ปิดบังเรื่องราวไม่ คล้ายกับศึกแย่งชิงน้ำส้มเปรี้ยวยิ่งนัก พวกเขาทำเกินไปจริง ๆ

แต่ทว่า คนส่วนมากก็ยังคงรู้สึกสนุกสนามที่ได้ดูงิ้วฉากนี้เช่นกัน การประลองของเฟิ่งชิงเฉินและซูหว่านนั้น ย่อมน่าสนใจอยู่แล้ว เมื่อรวมงิ้วฉากเล็ก ๆ น้อย ๆ เข้าไป ย่อมทำให้น่าชมมากขึ้นเป็นเท่าตัว

การประลองของเฟิ่งชิงเฉินนั้น นับว่าเป็นการยากที่จะคาดเดาว่าผู้ใดจะชนะหรือแพ้ ไม่เพียงแต่ผู้ชมที่จะไม่รู้ผลลัพธ์ ทว่า ด้วยการคาดเดาของเสด็จอาเก้าและคุณชายหยวนซีแล้ว พวกเขากลับคิดผลลัพธ์ออกมาได้ในทันที แม้ว่าดูภายนอกจะเหมือนว่าเสมอกัน แต่แท้จริงแล้ว ทุกคนล้วนแต่ทราบดีว่า เสด็จอาเก้าเป็นชัยอยู่ก้าวหนึ่งอย่างแน่นอน

ซูหว่านพลันมองไปที่เฟิ่งชิงเฉิน จากสายตาของความดูถูกเมื่อครู่ พลันแปรเปลี่ยนเป็นความอิจฉาริษยาไปในทันที

สามารถทำให้เสด็จอาเก้าและคุณชายหยวนซีตบตีแย่งกันกินน้ำส้มเปรี้ยวเช่นนี้ได้ ถึงแม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะพ่ายแพ้ แต่ก็นับว่าเป็นการพ่ายแพ้ที่งดงาม หากเป็นไปได้ นางยินยอมที่จะเปลี่ยนเป็นเฟิ่งชิงเฉินเสียเอง ถึงแม้ว่าจะต้องพ่ายแพ้ในการประลอง นางก็พอใจแล้ว น่าเสียดายนัก ที่นางเป็นเพียงซูหว่าน

เมื่อเผชิญหน้ากับอารมณ์ดีพร้อมกับความผิดหวังไปแล้ว ไม่นานนัก อารมณ์ของซูหว่านจึงกลับมาเป็นปกติดังเดิม ทั้งยังมิคิดสนใจเฟิ่งชิงเฉินอีก นางค่อย ๆ ตั้งใจฝนหมึกไปเรื่อย ๆ นางมีสิ่งที่นางอยากจะเขียนลงไปแล้ว

เฟิ่งชิงเฉินก็มิได้ตอบซูหว่านกลับไปด้วยเช่นกัน นางจะตอบกลับไปทำไมกัน ในเมื่อทุกอย่างเป็นดั่งที่คุณชายหยวนซีกล่าวออกมาหมดแล้ว ผู้ที่มีสิทธิ์ตัดสินผลงานได้ มีเพียงคณะกรรมการทั้งเจ็ดคนเท่านั้น นางและซูหว่านที่เป๋็นเพียงผู้เข้าร่วมการแข่งขัน ย่อมไม่อาจมีสิทธิ์ไปถามอะไรนางได้

ซูหว่านพลันสั่งให้สาวใช้ของนางเลื่อนเก้าอี้ออกไป จากนั้นก็หลับตาลง พร้อมกับหายใจเข้าช้า ๆ เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แววตาของนางพลันฉายแววออกมา จากนั้นซูหว่านจึงหยิบพู่กันขึ้น พร้อมทั้งจุ่มลงไปบนแท่นหมึก จากนั้น จึงจรดปลายพู่กันลงไปบนผืนผ้า

เฟิ่งชิงเฉินเองก็นั่งลงบนเก้าอี้ พร้อมทั้งหยิบเมล็ดข้าวขึ้นมา เพื่อเลือกเมล็ดข้าวที่ดูอวบอ้วนมากที่สุดสองเม็ด จากนั้นก็เอามาวางไว้บนมือของตน พร้อมหยิบสิ่งที่คล้ายว่าจะเป็น”พู่กันด้ามแหลม”ขึ้นมา ตัวของคนแทบจะลงไปกองอยู่บนเม็ดข้าวเสียแล้ว พร้อมกับขีด ๆ เขียนอยู่บนเม็ดข้าวเสียนานสองนาน ดูเหมือนว่านางจะสามารถทำได้จริง ๆ

แม้จะกล่าวว่าเป็นการเขียนตัวอักษร แต่แท้จริงแล้ว คือการแกะสลักตัวอักษรต่างหาก ปรมาจารย์ในด้านการแกะสลักเม็ดข้าวที่แท้จริง พวกเขาสามารถแกะสลักได้เป็นแสนคำภายในเมล็ดข้าวเพียงเม็ดเดียวเสียด้วยซ้ำ น่าเสียดายที่เฟิ่งชิงเฉินไม่อาจทำได้ แม้ว่านางจะแกะสลักลงไปมากเพียงใด คนพวกนี้ก็ไม่อาจมองเห็นมันได้เช่นกัน

ในคราวนี้ แม้ว่าสายตาทุกคนจะจับจ้องไปที่เฟิ่งชิงเฉินเพียงใด ก็ไม่อาจมองเห็นได้ว่า เฟิ่งชิงเฉินกำลังเขียนสิ่งใดอยู่กันแน่ เพียงแต่หันไปมองดูซูหว่านที่กำลังเขียนอยู่เท่านั้น

“ความสงบก้าวไกล”

ซูหว่านพลันเขียนตัวอักษรทั้งสี่ไว้ทางด้านซ้าย เมื่อมาถึงทางฝั่งด้านขวานั้น มิต้องรอให้ผู้ชมได้คาดเดา พวกเขาย่อมรู้แจ้งได้ว่าต้องเป็นคำว่า”ก่อเกิดปัญญา”

ตัวอักษรทั้งแปดนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นการวิจารณ์คณะกรรมการทั้งหมด ทั้งผู้อาวุโสเหยียน คุณชายหยวนซีและบัณฑิตทั้งสามคนของสำนักศึกษาจี้เซี่ย ที่เรียกตนเองว่าสุภาพบุรุษ อีกทั้งตัวอักษรทั้งแปดนั้นเหมาะสมกับบุรุษเพศเสียมากกว่า

โดยเฉพาะเสด็จอาเก้าและองค์รัชทายาทเหล่ยที่มิอาจไปวิพากษ์วิจารณ์ได้แล้ว องค์รัชทายาทเหล่ยก็ไม่จำเป็นต้องทำให้นางพอใจเขาเช่นเดียวกัน เพียงแค่ซูหว่านได้คะแนนจากบัณฑิตทั้งสามคนของสำนักศึกษาจี้เซี่ย นางก็สามารถเอาชนะได้แล้ว

“เส้นตรงและเส้นแนวนอนมีความหนักแน่น ลงน้ำหนักมือลงไปด้วยความพอดี ลายเส้นสง่างาม ตัวอักษรเหยียนนี้ สามารถเทียบเท่ากับปรมาจารย์ด้านอักษรในใต้หล้าได้เลย คุณหนูซูหว่านที่อายุยังน้อย สามารถเขียนตัวอักษรเหยียนได้งดงามและเปล่งประกายเช่นนี้ได้ ไม่เสียทีที่เป็นบุตรีของตระกูลซู”

“องศาหนักแน่น แข็งแกร่งและองอาจ ไม่ผิดไม่ผิด” บัณฑิตทั้งสามคนของสำนักศึกษาจี้เซี่ย ต่างพากันแสดงสีหน้าออกมาด้วยความพึงพอใจ สำหรับเฟิ่งชิงเฉินนั้น

ต้องขอโทษด้วย นอกจากสายตาของเสด็จอาเก้าจะยังอยู่ที่เฟิ่งชิงเฉินแล้ว สายตาของผู้อื่นต่างก็มองไปที่ซูหว่านกันเป็นตาเดียวในทันที ทำเช่นไรได้ ในเมื่อพวกเขาไม่อาจมองเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินเขียนสิ่งใดลงไป สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ไม่มีผู้ใดเชื่อว่า เฟิ่งชิงเฉินจะสามารถเขียนตัวอักษรที่งดงามลงบนเม็ดข้าวได้ อย่างมาก นางคงเขียนได้แค่คำว่า”หนึ่ง” กระมัง

“ความสงบก้าวไกล ก่อเกิดปัญญา”

หลังจากเวลาผ่านไปได้หนึ่งก้านธูป ซูหว่านจึงวางพู่กันลง เพียงแค่รอให้ลายเส้นตัวอักษรของนางแห้งลงเท่านั้น นางก็จะสามารถนำไปให้คณะกรรมการทั้งเจ็ดตัดสินได้ในทันที

ในเมื่อฝั่งของซูหว่านไม่มีปัญหาอันใดแล้ว สายตาของทุกคนก็หันกลับมาจ้องมองที่เฟิ่งชิงเฉินอีกครั้ง ก็พลันเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินวางเมล็ดข้าวอีกหนึ่งเม็ดลงแล้ว จากนั้นก็เริ่มทำการเขียนเม็ดที่สองต่อไป นางเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำ แม้ว่าจะมีความตั้งใจเจือไปด้วยความเข้มงวดมากมาย แต่ทว่า ก็ไม่อาจลดละความพิถีพิถันลงไปได้เช่นกัน นางไม่มีเค้าโครงนักอักษรเลยแม้แต่น้อย เมื่อทุกคนได้เห็นเช่นนั้น ต่างก็พากันเก็บสายตาของตนเองกลับไป พร้อมกับนั่งลงรั้งรอตามเดิม

ในที่สุด ตัวอักษรของซูหว่านก็แห้งแล้ว สามารถนำไปส่งให้กับคณะกรรมการทั้งเจ็ดดูได้ ในขณะเดียวกัน เฟิ่งชิงเฉินก็เขียนเสร็จแล้วเช่นกัน จากนั้นก็หยิบถาดรองที่เป็นแผ่นไม้เล็ก ๆ ออกมาจากแขนเสื้อของตน

เมื่อทุกคนที่ได้เห็นถาดรองนั้น ก็พลันรู้สึกว่าแสบตาไปในทันที คล้ายว่าจะมีแสงอะไรบางอย่างสาดส่องเข้ามาในตาของทุกคน เมื่อทุกคนมองมาที่ถาดรองนั้น ก็พลันพบว่าถาดรองที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ พลันมีผลึกแก้วที่ถูกตีเป็นแผ่นเรียบ ๆ วางอยู่ด้านใน

เฟิ่งชิงเฉินเขียนตัวอักษรลงบนเม็ดข้าวเพียงสองเม็ดเท่านั้น พร้อมกับวางมันลงไปบนแผ่นผลึกแก้ว แล้วจึงส่งให้เด็กน้อยที่อยู่ด้านหลัง

เด็กน้อยเมื่อได้เห็นเมล็ดข้าวที่วางอยู่บนถาดนั้น ดวงตาทั้งสองข้าง พลันแสดงออกมาว่าไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตาเห็นไปในทันที จนกระทั่งเฟิ่งชิงเฉินต้องเรียกเตือนสติเขา เด็กน้อยผู้นั้นถึงได้ดึงสติกลับมา แล้วจึงค่อยนำถาดรองที่เป็นผลึกแก้วเดินออกไปด้วยความระมัดระวัง ราวกับกลัวว่าเมล็ดข้าวทั้งสองจะสูญหายไป

ผู้คนที่มองดูไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก ว่าเฟิ่งชิงเฉินกำลังแสดงงิ้วอันใดอยู่ แต่พวกเขาก็ชะเง้อคอออกไปมองดูเช่นกัน แต่ก็หาได้เห็นสิ่งใดไม่ ได้แต่อดทนตั้งตารอ ให้เหล่าคณะกรรมการได้เห็นเสียก่อน

ยามที่เฟิ่งชิงเฉินนำถาดรองที่เป็นผลึกแก้วออกมานั้น ซูหว่านก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาในทันที พร้อมกับเงยหน้ามองขึ้นไป พลันพบว่าสีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินยังคงเงียบสงบดังเดิม เพียงแค่นางกะพริบตาไม่หยุดเท่านั้น

เฮอะเฮอะ นางที่เอาแต่จดจ่อยู่กับเมล็ดข้าวเช่นนี้ ย่อมรู้สึกปวดตาเป็นอย่างมาก

ตัวอักษรของซูหว่านนั้น ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง เนื่องจากว่าพวกเขาได้เห็นฝีมือของนางกันไปแล้ว ตั้งแต่นางเขียนตัวอักษรตัวแรก นอกจากเสด็จอาเก้าแล้ว กรรมการทั้งหกคนต่างก็พยักหน้าลงด้วยความพึงพอใจ แต่ทว่า สิ่งที่พวกเขารอคอยมากที่สุด ย่อมต้องเป็นตัวอักษรของเฟิ่งชิงเฉินที่อยู่ในเมล็ดข้าว

ไม่มีทางเลือก เฟิ่งชิงเฉินกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาเอง

เด็กน้อยพลันถือถาดที่ใส่น้ำเข้ามา ในยามที่ทุกคนกำลังรอคอยอยู่นั้น เขาก็เดินมาถึงเบื้องหน้าของคณะกรรมการในทันที ทว่า เมื่อเห็นสายตาทั้งเจ็ดคู่ ที่เกิดความ “ร้อนระอุ”ขึ้นมาในทันที เด็กน้อยไม่รู้ว่าตนเองควรจะนำถาดเอาไปให้ผู้ใดดูกันแน่

เสด็จอาเก้าพลันส่งเสียงกระแอมกระไอออกมาหนึ่งที ก็ทำเอาเด็กน้อยตกใจเสียแทบปล่อยถาดตกลงพื้น เขาเพียงเดินเข้าไปสามก้าว ที่คล้ายว่าจะเป็นสองก้าวไปหาเสด็จอาเก้าในทันที พร้อมทั้งนำถาดแก้วไปไว้เบื้องหน้าของเสด็จอาเก้าโดยพลัน เสด็จอาเก้าเพียงพยักหน้าลงด้วยความพอใจ คณะการทั้งหกนั้น ต่างพากันถลึงตามองเด็กน้อยด้วยความโกรธชังไปยกใหญ่ เจ้าเด็กน้อยถึงกับต้องรีบขอตัวออกไปโดยไว

ยามที่เสด็จอาเก้ากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ว่าตนเองควรจะมองมันเช่นไร เพียงก้มหน้า ก็พลันพบตัวอักษรขนาดใหญ่ทั้งแปดเสียแล้ว

“จิตวิญญาณเก้าแคว้น ใครใคร่สนใจ”

“อะไรกัน? เฟิ่งชิงเฉินเขียนตัวอักษรลงไปในเมล็ดข้าวได้จริง ๆ หรือ ทั้งยังเป็นแปดตัวอักษรด้วย” คุณชายหยวนซีพลันอุทานออกมาด้วยความตกใจ มิรอให้เสด็จอาเก้ายินยอม เขาก็พลันเอื้อมมือผ่านซีหลิงเทียนเหล่ยมาคว้าถาดผลึกแก้วไปในทันที

เสด็จอาเก้าที่คิดจะร้องห้ามนั้น เมื่อมาคิดว่า อย่างไรตนเองก็ไม่อาจต้านทานแรงยื้อของพวกเขาไว้ได้ สำหรับเฟิ่งชิงเฉินแล้ว ไม่ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะชนะหรือแพ้ เขาก็ได้แต่ต้องอดทนเอาไว้

“เป็นจิตวิญญาณเก้าแคว้น ใครใคร่สนใจจริง ๆ ด้วย เป็นอักษรข่ายที่งดงามยิ่งนัก” เมื่อคุณชายหยวนซีพูดจบนั้น ทุกคนต่างก็ไม่อาจนิ่งเฉยไปในทันที ซูหว่านพลันกระโดดขึ้นมาในทันใด

จะเป็นไปได้อย่างไร ที่เฟิ่งชิงเฉินจะสามารถเขียนอักษรทั้งสี่ลงเมล็ดข้าวได้ แม้แต่ทุกคนก็สามารถมองเห็นมัน

“จิตวิญญาณเก้าแคว้น ใครใคร่สนใจ” หลังจากที่ซีหลิงเทียนเหล่ยเห็นตัวอักษรทั้งแปดนั้น เขาก็เงยหน้ามองไปที่เฟิ่งชิงเฉินอย่างไม่รู้ตัว น่าเสียดายนัก เฟิ่งชิงเฉินหาได้รับรู้ไม่ เนื่องจากว่า เฟิ่งชิงเฉินกำลังขยี่ตาของตนเอง เพื่อปัดเป่าความเหนื่อยล้าให้ออกไป จึงมิได้มีเวลามาสนใจความนึกคิดของกรรมการทั้งหลาย

สิ่งใดที่นางทำได้ นางก็ลงมือทำไปหมดแล้ว ผลึกแก้วอันนั้น นางเพียงแค่ทำตามหลักการของแว่นขยายในยุคปัจจุบัน เมื่อตีให้มันออกมาเป็นแผ่นเรียบ มันก็จะสามารถเป็นกระจกได้ แน่นอนว่า ถึงแม้นางจะไม่มีผลึกแก้วอันนี้ นางก็สามารถหาหยดน้ำมาขยายมันได้

ฟ้าดินเป็นพยาน นางพยายามด้วยแรงทั้งหมดที่ตนเองมีแล้ว ผลลัพธ์ที่ออกมา หาได้เป็นสิ่งที่นางสามารถควบคุมมันได้ไม่ การตัดสินแพ้ชนะที่เหลืออยู่ ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ตัดสินไป ในยามนี้ นางเพียงแค่หวังว่า เสด็จอาเก้าจะมีอำนาจมากพอ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท