นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 476 การเยี่ยมไข้ที่ทำให้หน้าประตูจวนอ๋องเก้าคึกคัก

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 476 การเยี่ยมไข้ที่ทำให้หน้าประตูจวนอ๋องเก้าคึกคัก

เฟิ่งชิงเฉินเดินออกจากตำหนักเย็นโดยไม่ลังเล เมื่อลั่วอ๋องกลับมาแล้วไม่พบนาง เขาจะอาละวาดหรือไม่นั้น นางมิได้เป็นกังวลแม้แต่น้อย

แม้ก่อนหน้านี้ตงหลิงจื่อลั่วจะเคยช่วยปิดบังเรื่องของนาง แต่หลังจากนั้นแล้วก็ไม่เคยนำเรื่องนี้มาเป็นข้อต่อรองกับนางเลย เหตุผลน่ะหรือ ก็เพราะเกียรติภูมิแห่งราชวงศ์ที่ทำให้เขาไม่อาจยอมให้ตัวเองต้องเสียหน้าอย่างไรล่ะ

เฟิ่งชิงเฉินมอบเงินเล็กๆน้อยๆให้นางกำนัลเล็กๆคนหนึ่งช่วยบอกทางแก่นาง นางเดินมาตามทางจนในที่สุดก็มาพบกับทางออก เมื่อนางมาถึงหน้าประตูตำหนักเย็น ก็ได้มีองครักษ์นายหนึ่งเดินเข้ามาหานาง “แม่นางเฟิ่ง พระองค์กำลังทรงรอท่านอยู่”

เฟิ่งชิงเฉินมองตามที่องครักษ์ชี้ จึงได้พบกับรถม้าที่ใช้สำหรับสมาชิกราชวงศ์

“พระองค์ พระองค์ไหน?” เฟิ่งชิงเฉินใจเต้นตุบตับ นี่นางต้องมาเจอเรื่องปวดหัวอีกแล้วน่ะสินะ

คงไม่ใช่ตงหลิงจื่อลั่วหรอกกระมัง เขาจะรู้ตัวเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ? นางคงไม่ซวยขนาดนั้นกระมัง เฟิ่งชิงเฉินคอตก รอยยิ้มของนางค่อยๆจางหายไป

องครักษ์ไม่รู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นอะไร แต่ก็ตอบนางไปว่า “องค์รัชทายาท”

“องค์รัชทายาท?” เฟิ่งชิงเฉินแววตาเป็นประกาย นางดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันที รอยยิ้มของนางแช่มชื่นกว่าเมื่อครู่เสียอีก “ในเมื่อองค์รัชทายาททรงต้องการพบชิงเฉิน เช่นนั้นเราก็รีบไปเถิด อย่าให้พระองค์ทรงรอนานเลย”

เฟิ่งชิงเฉินยกชายกระโปรงขึ้นแล้วเดินจ้ำอ้าวไปทันที

มีรัชทายาทอยู่ทั้งคน ตงหลิงจื่อลั่วจะทำอะไรก็ต้องคิดหน้าคิดหลังบ้าง นางมีที่พึ่งแล้ว

เอ่อ……องครักษ์ทำหน้างุนงงแล้วเดินตามนางไป พลางคิดในใจว่าผู้หญิงนี่น่ากลัวจริงๆ เปลี่ยนสีหน้าได้รวดเร็วกว่าเปลี่ยนหน้าหนังสืออีก

รัชทายาททรงให้เกียรติเฟิ่งชิงเฉินมาก เป็นการให้เกียรติอย่างจริงใจ ไม่เหมือนกับสนมเอกเซี่ยที่ทำทีให้เกียรตินางเพียงผิวเผิน เมื่อนางจะคุกเข่าคารวะเขาก็รีบไปห้ามไว้

“ขอบพระทัยเพคะ รัชทายาท” เฟิ่งชิงเฉินกำลังเจ็บเข่าเนื่องจากนางคุกเข่าต่อหน้าตงหลิงจื่อลั่วนานเกินไป ในเวลานี้นางจึงไม่อยากมากพิธีกับรัชทายาทแล้วรีบขึ้นไปบนรถม้า

“ชิงเฉิน เจ้าเป็นอะไรหรือ?” แม้เฟิ่งชิงเฉินจะวางตัวปกติ แต่รัชทายาททรงเห็นว่านางหน้าซีด บวกกับเฟิ่งชิงเฉินอยู่ในวังหลวงมาได้สักระยะแล้ว เขาจึงเอ่ยถามนางเช่นนั้น

เฟิ่งชิงเฉินยิ้มหน้าเศร้า “พระสนมเอกทรงเรียกพบหม่อมฉัน ตอนหม่อมฉันเดินออกมาก็ได้พบกับองค์หญิงอันผิงและลั่วอ๋องเพคะ”

รัชทายาทขมวดคิ้ว แววตาเขาดูร้อนใจเล็กน้อย “พวกเขาคงไม่ได้รังแกเจ้าหรอกใช่หรือไม่?” ภายในวังหลวง รัชทายาทมิได้มีอำนาจอะไรนัก แถมเขายังไม่สามารถไปที่วังหลังได้อย่างออกหน้าออกตาเช่นตงหลิงจื่อลั่ว

การที่ตงหลิงจื่อลั่วไปวังหลัง เขาสามารถอ้างได้ว่าไปพบฮองเฮาและองค์หญิงอันผิง ส่วนรัชทายาทนั้น นอกจากฮองเฮาจะทรงเรียกพบแล้วก็ไม่มีข้ออ้างอื่นให้เขาไปวังหลังได้เลย

“รัชทายาททรงวางพระทัยเถิดเพคะ ชิงเฉินไม่เป็นไร” นางเพียงเจ็บเข่าและปวดศีรษะ นอกนั้นนางยังสบายดี

แน่นอนว่าท่าทีของตงหลิงจื่อลั่วนั้นทำให้นางขนลุกได้ไม่น้อย คงเป็นเพราะองค์หญิงเหยาหวาใกล้จะอภิเษกมาอยู่ที่นี่แล้ว ลั่วอ๋องคงกำลังหงุดหงิด คนที่อารมณ์ขึ้นๆลงๆอย่างตงหลิงจื่อลั่วทำให้นางรู้สึกไม่ปลอดภัย นางไม่อยากอยู่ใกล้คนเช่นนี้

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เสด็จอามอบหมายให้ข้าคอยดูแลเจ้า หากเจ้าเป็นอะไรขึ้นมา ข้าก็ไม่รู้ว่าจะไปเจอหน้าเสด็จอาได้อย่างไร” รัชทายาทกล่าวด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้พูดอะไรมาก เขาเองก็ไม่พูดให้มากความ

เรื่องบางเรื่อง ให้เจ้าตัวเป็นคนจัดการเองจะดีกว่า

“……” เฟิ่งชิงเฉินก้มหน้านิ่งโดยไม่พูดอะไรเลย

รัชทายาทมักจะทรงกล่าวถึงเสด็จอาเก้าอยู่บ่อยๆ เฟิ่งชิงเฉินอยากรู้เหลือเกินว่าเสด็จอาเก้าทรงดีกับรัชทายาทถึงขั้นไหน จึงทำให้รัชทายาททุ่มเทเพื่อเขาถึงเพียงนี้

เมื่อเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ตอบกลับ รัชทายาทก็ไม่พูดเรื่องนี้อีก แล้วเปลี่ยนเป็นแจ้งจุดประสงค์ที่ตนเองมารอเฟิ่งชิงเฉิน “ชิงเฉิน ข้ากำลังจะไปเยี่ยมไข้ที่จวนอ๋องเก้า เจ้าไปเป็นเพื่อนข้าได้ไหม?”

“รัชทายาทเพคะ ให้ชิงเฉินไปจวนอ๋องเก้าในสภาพเช่นนี้ เห็นทีคงไม่เหมาะนะเพคะ” เฟิ่งชิงเฉินหดหู่ในทันใด พวกเจ้านายทั้งหลายพอกินอิ่มนอนหลับแล้วก็คงจะว่างมาก ถึงได้มีเวลาหาเรื่องมาให้นางอยู่บ่อยครั้ง

เดิมทีนางนึกว่ารัชทายาทจะพานางกลับไปส่งที่จวนนาง ไม่นึกเลยว่าเขาจะพานางไปที่จวนอ๋องเก้า

ก็เพราะว่าเจ้าเป็นเช่นนี้อย่างไรล่ะถึงต้องพาไปให้เสด็จอาได้เห็น ให้เสด็จอาทรงทราบว่าเจ้าถูกตงหลิงจื่อลั่วและอันผิงกลั่นแกล้ง

รัชทายาทหาได้เอ่ยประโยคนี้ออกมาไม่ เขายิ้มและบอกกับนางว่า “ชิงเฉินไม่ต้องเป็นกังวล เดี๋ยวสั่งให้นางกำนัลมาช่วยเจ้าแปรงผมใหม่แค่นั้นก็เรียบร้อย ข้าว่าเสด็จอาจะต้องดีพระทัยมากแน่ๆเมื่อเห็นเจ้าไปหา”

แม้น้ำเสียงของรัชทายาทจะฟังดูอ่อนละมุน แต่กลับแฝงไปด้วยอำนาจบังคับที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้ เฟิ่งชิงเฉินพอจะเข้าใจแล้วว่ารัชทายาทวางแผนอะไรอยู่ ความรู้สึกชื่นชมที่นางเคยมีต่อรัชทายาท มาตอนนี้กลับสูญสิ้นไปหมดแล้ว

เป็นหมากให้คนอื่นมากำกับ เช่นนี้แล้วยังจะให้นางหน้าระรื่นอยู่อีกหรือ แม้ในตอนแรกรัชทายาทมิเคยคิดเช่นนี้ แต่ในตอนนี้เขากลับผุดความคิดที่จะหลอกใช้นางเสียแล้ว

เมื่อเอ่ยปากบอกจุดประสงค์เรียบร้อยแล้ว รัชทายาทก็ไม่พูดอะไรอีก และเขายังไม่ชวนคุยเรื่องอื่นด้วย

เฟิ่งชิงเฉินจะเต็มใจหรือไม่นั้นหาใช่สิ่งสำคัญไม่ ขอเพียงเสด็จอาดีพระทัยก็พอแล้ว

ในเวลาเดียวกัน ตงหลิงจื่อลั่วก็ไปที่ตำหนักเย็น แต่กลับไม่พบเฟิ่งชิงเฉินแม้แต่เงา เขารู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก

เฟิ่งชิงเฉินไม่ยอมเชื่อใจเขา

เพล้ง……ตงหลิงจื่อลั่วปาของลงบนพื้น แล้วรีบเดินออกไปในทันที

เฟิ่งชิงเฉินไม่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อสิ เรื่องบ้าๆเช่นนี้เขาไม่มีทางทำซ้ำเป็นรอบที่สองแน่นอน เมื่อกลับตำหนักแล้ว ตงหลิงจื่อลั่วก็เตรียมออกไปนอกวัง พลันมีขันทีเข้ามารายงานว่า รัชทายาทเสด็จออกนอกวังไปกับเฟิ่งชิงเฉิน โดยมุ่งหน้าไปทางจวนอ๋องเก้า

“ไปหาเสด็จอาอย่างนั้นหรือ? เฟิ่งชิงเฉินคิดจะไปทูลฟ้องน่ะสินะ?” ตงหลิงจื่อลั่วกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น เขาคิดไตร่ตรองอยู่สักพักจนกระทั่งเข้าใจแล้วว่านี่เป็นความคิดของผู้ใด

“เสด็จพี่ทรงรีบร้อนขึ้นทุกวันเลยนะ เรื่องเล็กๆเช่นนี้ก็ยังนำมาใช้ประโยชน์ได้ เห็นเสด็จอาเก้าอยู่ห่างจากข้ามากขึ้นทุกวัน ท่านก็คงสบายใจแล้วสินะ ท่านจะร้อนรนไปเพื่ออะไรกัน”

เมื่อนึกถึงสภาพร่างกายที่ป่วยออดๆแอดๆของรัชทายาทขึ้นมาแล้ว ตงหลิงจื่อลั่วก็บอกไม่ได้ว่าตนเองนั้นรู้สึกเห็นใจหรือเริงรื่นกันแน่ หากรัชทายาททรงแข็งแรงดี เรื่องราวที่เกิดขึ้นก็คงจะไม่วุ่นวายถึงเพียงนี้ ตัวเขาเองก็คงได้เป็นอ๋องที่วันๆไม่ต้องทำอะไรเลย จะแต่งงานกับเฟิ่งชิงเฉินหรือเหยาหวาก็ย่อมได้

แต่ว่า……

สวรรค์มักไม่ดลบันดาลให้เป็นตามปรารถนา

“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ?” ขันทีเห็นตงหลิงจื่อลั่วเงียบอยู่นานจึงเรียกเขาเบาๆ

ตงหลิงจื่อลั่วหันมามองขันทีพร้อมกับลุกขึ้นยืน “ไปเตรียมตัวเดี๋ยวนี้ ข้าจะไปเยี่ยมไข้ที่จวนอ๋องเก้า”

“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเพียงมองหน้าก็รู้แล้วว่าตงหลิงจื่อลั่วกำลังคิดสิ่งใด เขาเรียกนางกำนัลมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ตงหลิงจื่อลั่ว แล้วรีบไปจัดแจงของเยี่ยมไข้

เนื่องจากรัชทายาทมีปัญหาสุขภาพ รถม้าของรัชทายาทจึงขับไม่เร็วมาก ตงหลิงจื่อลั่วไม่เลือกเดินทางด้วยรถม้า เขาตัดสินใจที่จะขี่ม้าไป และแล้วทั้งสองฝ่ายก็มาเจอกันที่หน้าประตูจวนอ๋องเก้า

รัชทายาทมีสีหน้าหนักใจ ฝีเท้าของเขาก็พลอยหนักอึ้งตามไปด้วย ส่วนเฟิ่งชิงเฉินก็ยังคงสีหน้าเดิมมาตลอด เมื่อนางเห็นการปรากฏตัวของตงหลิงจื่อลั่วก็มิได้ตกใจจนขวัญเสีย เรื่องที่นางสามารถคาดเดาได้ มีหรือที่ตงหลิงจื่อลั่วจะคาดเดาไม่ได้

ท่าทางหมากของรัชทายาทคงต้องถูกกินจนหมดกระดานแน่ ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องดูด้วยว่าเฟิ่งชิงเฉินจะให้ความร่วมมือกับเขาหรือไม่ หากนางยอมให้ความร่วมมือ หมากของรัชทายาทก็คงจะพอเดินต่อไปได้อีก

แต่ก็น่าเสียดาย……

เห็นได้ชัดว่านางไม่อยากให้ความร่วมมือกับรัชทายาท จะให้ไปทูลฟ้องเสด็จอาเก้าน่ะหรือ นางไม่ใช่เด็กน้อยที่อะไรๆก็ต้องฟ้องผู้ใหญ่ ขืนทำแบบนั้นคงจะขายหน้าแย่

ความแค้นของนางนางเอาคืนเองได้ อายุนางยังน้อย ยังมีเวลาอีกถมเถ

“เสด็จพี่” ตงหลิงจื่อลั่วโยนแส้ฟาดม้าลงให้บ่าวรับใช้ด้วยท่าทางอันมาดมั่น ก่อนจะเดินมาคำนับรัชทายาท

“น้องเจ็ด” รัชทายาทกล่าวทักทายอย่างเย็นชา

เรื่องฉินสายน้ำแข็งทำให้รัชทายาทและฮองเฮาต้องหน้าแตกยับเยิน ตอนนี้รัชทายาทไม่มีกะจิตกะใจจะมาแสร้งทำเป็นญาติดีกับเขาอีกต่อไป

“เสด็จพี่เสด็จมาเยี่ยมเสด็จอาเก้าหรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็ตั้งใจจะมาเยี่ยมเสด็จอาเก้าเช่นกัน เราไปด้วยกันดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?” ตงหลิงจื่อลั่วมิได้แยแสอาการเมินเฉยของรัชทายาท เขาชายตามองเฟิ่งชิงเฉิน จึงพบว่าเฟิ่งชิงเฉินมีสีหน้าปกติ เมื่อนางเห็นเขาแล้วก็ไม่ได้แสดงความไม่พอใจแต่อย่างใด จึงรู้ว่านางจะไม่ไปทูลฟ้องต่อเสด็จอาเก้า ทำให้เขาโล่งใจเป็นอย่างมาก

อันที่จริงแล้ว ตงหลิงจื่อลั่วก็ยังเป็นกังวลอยู่ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะไปทูลฟ้องต่อเสด็จอาเก้า หากเสด็จอาเก้าเอาเรื่องขึ้นมา ก็ทำให้เขาปวดหัวได้เช่นกัน ใครๆก็รู้ดีว่าเสด็จอาเก้าปกป้องคนของตัวเองดีเพียงใด……

และคนที่เสด็จอาเก้ากำลังปกป้องอยู่ก็คือเฟิ่งชิงเฉิน!

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท