นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 479 ทะนุถนอมนาง ในใจข้ามีเจ้าจริงๆนะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 479 ทะนุถนอมนาง ในใจข้ามีเจ้าจริงๆนะ

เฟิ่งชิงเฉินทานแค่ข้าวต้มถ้วยเดียวในตอนเช้า นอกเหนือจากนี้ก็ไม่ได้ทานอะไรอีกเลย กระเพาะของนางนั้นว่างเปล่า แล้วจะมีอะไรให้นางอาเจียนออกมานอกเสียจากน้ำย่อยอีกล่ะ

เมื่ออาเจียนไม่สุดท้อง ท้องไส้ของนางจึงยังคงทรมาน บวกกับอาการเวียนศีรษะอย่างรุนแรง ทำให้เฟิ่งชิงเฉินในตอนนี้มีอาการทรุดหนัก

“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าเป็นอะไรไป?” เฟิ่งชิงเฉินอาเจียนน่ากลัวมาก เสด็จอาเก้าเห็นดังนั้นแล้วก็ทั้งตกใจและวิตกกังวล เขารีบเข้าไปประคองเฟิ่งชิงเฉิน แล้วลูบหลังให้นางเบาๆเพื่อเป็นการไล่ลม

ตอนนี้เฟิ่งชิงเฉินกำลังทรมาน นางคิดแต่เพียงว่าผู้ชายคนนี้เป็นสาเหตุให้นางต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ความกลัวและความรอบคอบของนางได้มลายหายไปแล้ว นางผลักเขาออกไปพร้อมกับตวาดว่า “จะพอได้หรือยัง อย่าเข้ามาใกล้ข้านะ”

ในตอนนี้แค่นางเห็นเสด็จอาเก้าก็หงุดหงิดยิ่งนัก ถ้าไม่ใช่เพราะเขาแล้วล่ะก็ ป่านนี้นางคงได้กลับจวนไปพักผ่อนตั้งนานแล้ว คงไม่ต้องมาทรมานเช่นนี้

“เฟิ่งชิงเฉิน” เสด็จอาเก้ายืนอึ้ง แต่เขาก็ไม่ได้ถอยห่างนาง แววตาเขาปวดร้าวและเหมือนกำลังตำหนิตัวเองอยู่

“อย่าเข้ามาใกล้ข้า เป็นเพราะท่านคนเดียวเลย หากไม่ใช่เพราะท่านแล้ว ข้าคงไม่มาซวยอย่างนี้หรอก ข้าไม่ค่อยสบายตั้งนานแล้ว แต่ท่านก็มัวแต่พูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง แค่พูดมากยังพอว่า นี่ยังให้ข้าขี่ม้าออกมานอกเมืองอีก ไหนจะต้องมาเดินเล่นเป็นเพื่อนท่าน ท่านคงจะว่างมากก็เลยพาคนอื่นมาเดือดร้อน ไม่คำนึงถึงคนอื่นบ้างเลย” เฟิ่งชิงเฉินยิ่งพูดยิ่งโมโห

พวกองค์ชายองค์หญิงช่างวิเศษวิโสนัก อยากให้นางทำสิ่งใดก็ต้องบีบบังคับนางให้ได้โดยไม่สนใจว่านางจะยินยอมหรือไม่ นี่นางก็เป็นคนเหมือนกันนะ นางมีความรู้สึกนึกคิด คนพวกนี้มีสิทธิ์อะไรมาวางอำนาจเพื่อข่มเหงรังแกนาง

ยิ่งนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการประลองที่ผ่านมาบวกกับความวิตกกังวลของนางแล้วก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกเหนื่อยขึ้นไปอีก

มาอยู่ในภพชาตินี้ก็ตั้งนาน นอกจากรักษาดวงตาให้กับหวังจิ่นหลิงแล้วก็ไม่มีสิ่งใดที่นางทำไปด้วยความยินยอมเลย นางเหมือนเป็นหุ่นเชิดที่ถูกคนบังคับ

น้ำตาของนางค่อยๆไหลอาบแก้ม เพราะสังขารทรุดหนักแล้ว เฟิ่งชิงเฉินจึงยอมเปิดเผยด้านอ่อนแอของตัวเองออกมาต่อหน้าของเสด็จอาเก้า

“เฟิ่งชิงเฉิน ข้า……” เสด็จอาเก้าสวมกอดเฟิ่งชิงเฉิน คำขอโทษต่างๆนานาไม่สามารถกลั่นกรองออกมาได้ในตอนนี้ หากเขารู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่สบายก็คงไม่พานางออกมาถึงนอกเมือง

“ข้า ข้าอะไรล่ะ ถอยไปเดี๋ยวนี้ ข้าเกลียดท่าน ก็รู้ๆอยู่ว่าข้าไม่สบายยังจะมาบังคับข้า……” เฟิ่งชิงเฉินรวบรวมเรี่ยวแรงเพื่อผลักเขา แต่ก็ไม่อาจสะบัดเขาออกไปได้

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้า……” เสด็จอาเก้ากล่าวอย่างรู้สึกผิด เขาไม่รู้จริงๆว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่สบาย เขาเห็นสีหน้านางก็ดูปกติดี

ไม่รู้งั้นหรือ ช่างเป็นข้อแก้ตัวที่ฟังดูดีมาก คำว่าไม่รู้แค่คำเดียวก็สามารถลบล้างความทุกข์ทรมานทั้งหลายให้หมดสิ้นน่ะสินะ เฟิ่งชิงเฉินอยากจะพูดออกมา แต่นางทำได้เพียงแค่อ้าปากโดยไม่ได้พูดสิ่งใดออกมาเลย พลันนางก็หน้ามืดแล้วเป็นลมล้มฟุบ

“เฟิ่งชิงเฉิน!” เสด็จอาเก้าถึงกับหน้าถอดสี เขารีบอุ้มเฟิ่งชิงเฉินขึ้นมาโดยไม่ห่วงว่าตัวเองจะยังเจ็บ แล้วพานางไปยังบ้านไม้หลังเล็ก

“เร็วเข้า รีบไปตามหมอมาเร็ว” เสด็จอาเก้าร้อนใจยิ่งนัก หากไม่ติดว่าเฟิ่งชิงเฉินยังมีลมหายใจอยู่ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะหัวเสียจนถึงขั้นฆ่าคนตายก็เป็นได้

เนื่องจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกะทันหัน ทั่วพื้นที่ในหุบเขาจึงเกิดความชุลมุน แต่ละคนกุลีกุจอมาช่วยเหลือ หุบเขาที่เคยเงียบสงบ ในเวลานี้พลันวุ่นวายขึ้นทันที เมื่อซีหลิงเทียนอวี่ทราบข่าวก็อดสงสารเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้เลย

เสด็จอาเก้าช่างตาถั่วเหลือเกิน ขนาดเขาเองยังมองออกว่าเฟิ่งชิงเฉินดูผิดปกติ แต่เสด็จอาเก้ากลับดูไม่ออกเลย แถมเสด็จอาเก้าก็ยังรู้ดีว่าช่วงนี้นางกำลังวุ่นวายกับเรื่องการประลอง นางเหนื่อยจนจะตายอยู่แล้ว แต่เสด็จอาเก้าก็ยังหาเรื่องมาให้นาง คราวนี้เป็นอย่างไรล่ะ ทำเอานางล้มป่วยไปจนได้

หมอรีบมาอย่างรวดเร็ว ภายใต้สายตากดดันของเสด็จอาเก้าที่กำลังจ้องมอง หมอผู้นี้ก็รีบตรวจชีพจรให้กับเฟิ่งชิงเฉิน ผลการตรวจร่างกายออกมาว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้เป็นอะไรมาก นางเพียงแค่เหนื่อยล้าและถูกทำร้ายความรู้สึก ให้ทานยาสักเล็กน้อยก็ดีขึ้น

“ไม่ได้เป็นอะไรมากงั้นหรือ แล้วทำไมจู่ๆนางจึงอาเจียนล่ะ แถมยังเป็นลมไปอีกด้วย?” เสด็จอาเก้าไม่ยอมรับคำวินิจฉัย ทำให้หมอผู้นั้นตกใจกลัวจนตัวสั่นแล้วรีบอธิบายว่าเฟิ่งชิงเฉินหิวนานเกินไป ทำให้กระเพาะนางผิดปกติ เมื่อนางฟื้นแล้วก็ให้นางทานอาหาร อีกประเดี๋ยวนางก็จะเป็นปกติ

เสด็จอาเก้าจึงนึกขึ้นได้ว่าเฟิ่งชิงเฉินไปที่สำนักบัณฑิตตั้งแต่เช้า หลังจากนั้นนางก็เข้าไปในวัง แล้วจึงถูกรัชทายาทพามาที่จวนอ๋องเก้า นางไม่มีเวลาทานข้าวเลย

เสด็จอาเก้ารู้ตัวดีว่าผิด เมื่อเขาแน่ใจแล้วว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้เป็นอะไรมากก็ให้หมอไปต้มยา

หลังจากนั้นไม่นาน ยาและโจ๊กก็ถูกนำมาตั้งไว้ เสด็จอาเก้าลงมือป้อนอาหารและยาให้เฟิ่งชิงเฉินเอง แล้วสั่งให้บ่าวไพร่ไปยกน้ำร้อนมา ก่อนจะช่วยเฟิ่งชิงเฉินเช็ดหน้า

และในตอนนี้เองเสด็จอาเก้าจึงได้รู้ว่าที่ใบหน้าเฟิ่งชิงเฉินมีเลือดฝาดเป็นเพราะนางทาแก้มสร้างสีสัน

เสด็จอาเก้าเช็ดหน้าให้เฟิ่งชิงเฉินอย่างทะนุถนอม ด้วยกลัวว่าจะทำให้นางเจ็บ ตอนที่เขาเช็ดหน้าผากให้นาง ก็พลันได้เห็นรอยแผลที่หน้าผาก แววตาเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกเวทนา

เขานึกว่าอันผิงและจื่อลั่วคงจะแค่ใช้คำพูดดูหมิ่นนาง ไม่นึกเลยว่าจะถึงขั้นทำให้นางต้องบาดเจ็บ บาดแผลที่ซ่อนอยู่นี้ หากเฟิ่งชิงเฉินไม่ปริปากเขาก็คงจะไม่รู้

เมื่อคิดมาถึงจุดนี้แล้ว เสด็จอาเก้าก็ถกขากางเกงของนางขึ้นแล้วจึงได้พบกับหัวเข่าที่เขียวช้ำ ทำให้เสด็จอาเก้าในตอนนี้ร้อนรุ่มไปด้วยพลังแค้น

อันผิง จื่อลั่ว ความเจ็บปวดครั้งนี้ข้าจะขอจดจำแทนเฟิ่งชิงเฉินเอง

เสด็จอาเก้าระงับความโกรธไว้ แล้วสั่งคนไปนำยามาให้ เขาทายาที่เข่านางอย่างเบามือ ทุกครั้งที่ทายา หัวใจของเขาก็เจ็บปวดยิ่งนัก

หากไม่ได้มาเห็นกับตาแล้ว เขาคงเข้าใจแค่เพียงว่าเฟิ่งชิงเฉินคุกเข่านานเกินไป

“เจ้าเด็กโง่ มาถึงตอนนี้แล้วยังไม่เชื่อข้าอีก” เสด็จอาเก้ามองใบหน้าอมทุกข์ของเฟิ่งชิงเฉิน เขาทั้งสงสารและแค้นใจ

หญิงโง่คนนี้ถูกเอารัดเอาเปรียบมามากมาย แต่นางกลับไม่ปริปากพูดเลย ไม่รู้ว่านางคิดอะไรของนางอยู่ หากเป็นผู้หญิงทั่วๆไป เมื่อถูกคนกลั่นแกล้งก็มีแต่จะมาฟ้องผู้ชายที่ใกล้ชิดของตัวเอง เพื่อให้ผู้ชายเอาคืนให้กับนาง แต่ว่าเฟิ่งชิงเฉินล่ะ?

เขามอบโอกาสให้เฟิ่งชิงเฉินแล้ว แต่นางก็ไม่รู้จักนำไปใช้ประโยชน์ แม้เขาจะไม่คิดที่จะเอาชีวิตจื่อลั่วและอันผิง แต่สิ่งใดที่เขาเคยลั่นวาจาเพื่อเฟิ่งชิงเฉินไปแล้ว เขาจะต้องทำมันให้สำเร็จ

เสด็จอาเก้าเฝ้าดูแลเฟิ่งชิงเฉินอยู่ตลอดจนตัวเองเริ่มรู้สึกเจ็บแผล ทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าจังหวะที่เขาอุ้มเฟิ่งชิงเฉินขึ้นมานั้น เขาเผลอไปทำปากแผลแตกเสียแล้ว

เสด็จอาเก้าสั่งให้คนมาดูแลเฟิ่งชิงเฉินอย่างใกล้ชิด แล้วหยิบกล่องยาของนางไปยังห้องข้างๆ เขานึกภาพเหตุการณ์ในอดีต แล้วลงมือล้างแผล ใส่ยา และพันแผลตามแบบเฟิ่งชิงเฉิน

แม้จะไม่ชำนาญเหมือนอย่างเฟิ่งชิงเฉิน แต่คนที่เคยบาดเจ็บมานานแล้ว การทำแผลให้ตนเองจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ปัญหาอยู่ที่เขามือหนักกับตัวเองเกินไป จึงมักทำตัวเองเจ็บอยู่บ่อยครั้ง

ในขณะเดียวกัน เฟิ่งชิงเฉินที่นอนอยู่อีกห้องหนึ่งก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว

เมื่อนางลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องของบ้านไม้หลังเล็ก นางพยายามคิดทบทวนว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำให้นางเป็นกังวลในทันที นางนึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจที่พูดจาไม่ระวัง ขอให้เสด็จอาเก้าอย่าถือโทษโกรธนางเลย

เมื่อเฟิ่งชิงเฉินหันไปมองทางหน้าต่างก็พบว่าด้านนอกมืดสนิท ทำเอานางหัวใจสั่นระรัว

มืดค่ำแล้วหรือนี่ แต่นางยังอยู่ข้างนอกอยู่เลย แล้วการแข่งขันวันพรุ่งนี้จะทำอย่างไรล่ะ?

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท