นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 496 แย่งชิง ความยั่วยวนในชุดเครื่องแบบ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 496 แย่งชิง ความยั่วยวนในชุดเครื่องแบบ

ตอนที่เฟิ่งชิงเฉินก้าวเข้าไปในห้องโถง ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงประกายแห่งแสงที่ผ่านเข้าไปด้านในพร้อมกับนาง ดวงตาของพวกเขาถูกแสงที่แผ่ออกมาจากร่างของเฟิ่งชิงเฉินแยงตาเสียจนแทบมองไม่เห็น

ต้องขอบอกว่าวันนี้อากาศดีจริง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีอยู่วันสดใสในฤดูใบไม้ร่วงอันมืดมนเช่นนี้ และในวันนี้เฟิ่งชิงเฉินก็ได้รับประโยชน์จากท้องฟ้าอากาศ

องค์รัชทายาทและซีหลิงเทียนเหล่ยพร้อมกับคนอื่นๆ กำลังนั่งหันหน้าไปทางประตูห้องโถง วินาทีที่เฟิ่งชิงเฉินก้าวเข้าไปด้านในนั้น พวกเขาทุกคนก็ได้เงยหน้าขึ้นมองแล้วยกมือขวาขึ้นบังตา เมื่อทุกคนเคยชินกับแสงนั้นแล้วเฟิ่งชิงเฉินก็ก้าวออกมา ท่ามกลางแสง เฟิ่งชิงเฉินทำความเคารพทุกคนกล่าวว่า “ขออภัยที่ชิงเฉินเสียมารยาท ให้ฝ่าบาทรออยู่เป็นเวลานาน ขอฝ่าบาทโปรดลงโทษหม่อมฉันด้วย”

เฟิ่งชิงเฉินหันหลังให้กับแสง ใบหน้าของนางดูคลุมเครือ เสื้อผ้าสีขาวบนร่างกายที่สวมใส่ดูโปร่งใสภายใต้แสงแดด ขณะนี้นอกเสียจากคำว่าความฝัน ดูเหมือนจะไม่มีคำใดที่เหมาะสมมาอธิบายท่าทางอันงดงามของเฟิ่งชิงเฉินได้ในบัดนี้

“ข้าหาได้ถือสาไม่” องค์รัชทายาทกล่าวขึ้นตามสัญชาตญาณของตน แต่เขาก็ยังไม่อาจตื่นขึ้นจากภวังค์เนื่องด้วยความงามของเฟิ่งชิงเฉินได้

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้หรอกว่าการเดินทางมาถึงของตนนั้นทำให้ทุกคนตกใจมากเพียงใด ในความคิดของนาง นางก็เพียงสวมชุดหมอธรรมดาเท่านั้น หลังจากที่องค์รัชทายาทกล่าวจบ นางก็ได้เดินตรงไปนั่งอยู่ที่ตำแหน่งของนางตรงข้ามกับซูหว่าน

แววตาสีหน้าของซูหว่านดูไม่น่ามองเอาเสียเลย คนส่วนมากเมื่อสวมใส่ชุดสีขาวจะทำให้ดูรู้สึกอ่อนแอบอบบาง แต่เมื่อเฟิ่งชิงเฉินสวมมันบนร่างกาย ไม่เพียงแต่จะไม่ได้แสดงถึงความอ่อนแอแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม มันดูช่างเข้มงวดเย้ายวนใจ เฟิ่งชิงเฉินที่เป็นเช่นนี้สามารถดึงดูดความสนใจของทุกคนและแววตาทุกคู่ได้เป็นอย่างดีรวมไปถึงนางด้วย

เห็นหรือไม่ว่าดวงตาของหมอหลวงมองไปอย่างไม่กะพริบ เห็นหรือไม่ว่าองค์รัชทายาทเหล่ยมีแสงประกายแวววาวออกมาจากดวงตาคู่นั้น เห็นหรือไม่ว่าองค์ชายสามหรี่ตาลงมองนางขึ้นเรื่อยๆ

หากว่าเฟิ่งชิงเฉินซึ่งสวมชุดพระชายาอ๋องเก้าคือองค์หญิงผู้สง่างาม เช่นนั้นในตอนนี้เฟิ่งชิงเฉินซึ่งสวมชุดคลุมของหมออันเรียบง่ายตรงไปตรงมา นางก็ดุจดั่งราชินี เมื่อนั่งอยู่ ณ ที่นี้รัศมีเจิดจ้าแผ่ซ่านออกมาโดยไม่มีใครกล้าเข้าใกล้

แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับหารู้ไม่ว่าวินาทีที่นางเดินเข้ามานั้น ใบหน้าของนางซึ่งเก็บสีหน้าอารมณ์ทั้งหมดเอาไว้ดูแข็งทื่อราวกับไร้ความรู้สึก กลับทำให้ผู้คนยิ้มให้แก่นาง ไม่สนใจกับเปลวไฟและอยากเข้าไปเล่นกับมัน

ในเวลานี้ นอกจากเฟิ่งชิงเฉินแล้วคงไม่มีใครจะไปสนใจการรักษาผู้ป่วยทั้งสิบราย และการวินิจฉัยของหมอหลวงทั้งสองนี้ทุกคนล้วนจับจ้องไปที่ร่างของเฟิ่งชิงเฉิน ส่วนตัวเฟิ่งชิงเฉินเอง หลังจากที่นางนั่งลงมาสักพัก จึงตระหนักได้ถึงแววตาอันร้อนผ่าวรอบข้าง นางจึงขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วเอ่ยถามว่า “ข้ามีอะไรผิดแผกแปลกไปหรือ เหตุใดทุกคนจึงเอาแต่จับจ้องมองข้า?”

น้ำเสียงอันเยือกเย็น เช่นเดียวกับความรู้สึกที่เฟิ่งชิงเฉินมีให้ทุกคนในบัดนี้ มันดูเฉยเมยและไร้ความปรานี ทำให้ทุกคนพากันตกตะลึง

“มิใช่หรอก ชิงเฉินที่เป็นเช่นนี้ดียิ่งนัก” องค์รัชทายาทได้สติกลับมาเป็นคนแรกแล้วรีบพยักหน้า เป็นการยืนยันคำพูดเมื่อครู่ของเขา

หนานหลิงจิ่นฝานก็ได้สติกลับคืนมาเช่นกัน เขารีบซ่อนแววตาอันประหลาดใจเอาไว้ หางตาเรียวยาวดุจดั่งนกฟินิกซ์เผยอขึ้นเล็กน้อยยิ้มแล้วอย่างชั่วร้ายว่า “ท่านอ๋องน้อยกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ชิงเฉินไม่เหมาะสมที่จะสวมชุดนั้นเสียจริง เมื่อเปลี่ยนชุดมาใหม่ ช่างเป็นที่ต้องตาต้องใจของทุกคนยิ่งนัก” อีกทั้งยังให้ความรู้สึกอยากจะกดเจ้าเอาไว้บนเตียงและฉีกเสื้อผ้าบนร่างของเจ้าให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย อยากจะทำให้เจ้าต้องลุกขึ้นมาต่อต้านและน้ำตาไหลริน

เฟิ่งชิงเฉินในสภาพเช่นนี้ กระตุ้นธรรมชาติความต้องการของชายหนุ่มได้ดียิ่งนัก หนานหลิงจิ่นฝานเผยปลายลิ้นสีชมพูของตนออกมา แล้วเลียไปที่ริมฝีปากของเขาอย่างเจ้าเล่ห์และมีเสน่ห์

“นี่คือชุดคลุมของหมอที่มีลักษณะเป็นสีขาวยาวเท่านั้น องค์ชายสามคิดมากไปเองเพคะ” เฟิ่งชิงเฉินเบือนหน้าหนีด้วยความรังเกียจ นางรังเกียจชายที่มีท่าทางดูอ้อนช้อยดุจสตรีเหลือเกิน

นางใช้ชีวิตอยู่ในค่ายทหารมาเป็นเวลานาน ชายหนุ่มที่นางเห็นแต่ละคนล้วนเป็นผู้มีความแข็งแกร่งกำยำ สำหรับชายหนุ่มที่มีผิวขาวดูบอบบางเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่าช่างอ่อนแอดูขัดหูขัดตายิ่งนัก ชายหนุ่มเช่นนี้ยังเรียกตนเองว่าเป็นชายได้อีกหรือ ช่างอ่อนแอบอบบางกว่าสตรีเสียอีก

“ชุดคลุมสีขาวของหมอหรือ? เหตุใดก่อนหน้านี้ข้าจึงไม่เคยเห็นมาก่อน หมอสวมชุดคลุมสีขาวจะไม่เลอะง่ายหรอกหรือ?” ซีหลิงเทียนเหล่ย กล่าวขึ้นในที่สุด

“เนื่องจากมันสกปรกง่าย ดังนั้นข้าจึงเลือกที่จะสวมใส่มัน เพราะเป็นการเตือนตนเองอยู่ตลอดเวลาว่าให้รักษาความสะอาดอยู่เสมอเพื่อให้ผู้ป่วยวางใจ หากท่านเป็นผู้ป่วย ท่านประสงค์ให้ผู้ที่สกปรกแตะต้องกับบาดแผลของท่านหรือ?”

ไม่รู้ว่าเป็นด้วยนิสัยหรือด้วยอาชีพ จึงทำให้ไร้ความอดทน น้ำเสียงของเฟิ่งชิงเฉินดังขึ้นเล็กน้อยแฝงถึงความไม่พอใจออกมา ดูเหมือนกำลังตำหนิ และดูเหมือนกับหมอกำลังกำชับญาติของผู้ป่วยถึงเรื่องที่จำเป็นต้องระมัดระวัง

ซีหลิงเทียนเหล่ยจินตนาการถึงภาพที่เฟิ่งชิงเฉินกล่าวเมื่อสักครู่ ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย “อืม เป็นจริงดังนั้น ชุดสีขาวของเฟิ่งชิงเฉินสะอาดสะอ้าน ดูเหมือนจะมีแสงสว่างส่องออกมาจากร่างกายทำให้ผู้คนที่มองดูรู้สึกไว้วางใจและผ่อนคลายได้อย่างง่ายดาย”

สีขาวนี้ เฟิ่งชิงเฉินสวมใส่มันและดูดียิ่งนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุดที่นางสวมใส่อยู่อาจจะดูค่อนข้างใหญ่ไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ปิดบังส่วนโค้งเว้าของร่างกายไปเสียสิ้น บริเวณเอวเก็บเข้าหากันเล็กน้อย ทำให้ผู้ที่มองดูอยากจะเอื้อมมือไปโอบเอวบางของนางเอาไว้

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินไม่มีเวลาจะไปสนทนาเกี่ยวกับเรื่องเสื้อผ้าของนางกับคนเหล่านี้ การที่นางตั้งใจจะสวมชุดหมอมา ประการแรกเพราะโรคย้ำคิดย้ำทำของนาง ประการที่สองนั่นเพราะว่าชุดหมอและชุดพระชายาอ๋องเก้าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ชุดทางการของพระชายาอ๋องก้าวสามารถแสดงถึงเสน่ห์และศักดิ์ศรีของนางออกมาได้ ขณะเดียวกันเมื่อนางสวมชุดของหมอก็แสดงถึงความเป็นมืออาชีพและมีความมั่นใจในตนเองได้ ในเวลาเดียวกันสีขาวบ่งบอกถึงความเย่อหยิ่งและความบริสุทธิ์ นางเพียงอยากจะให้คนกลุ่มนี้เข้าใจว่าข่าวลือเป็นจริงหรือไม่

“แค่กๆ……” ตงหลิงจื่อลั่วกระแอมออกมา ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยออกมาสักสองสามประโยคเพื่อบรรเทาความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเฟิ่งชิงเฉิน แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับไม่ให้โอกาสนั้นแก่เขา นางกล่าวขึ้นขัดด้วยน้ำเสียงอันเย็นเยือกว่า “ฝ่าบาท ในวันนี้เป็นการแข่งขันทักษะของหมอ ไม่ควรเอาแต่สนทนาถึงเรื่องเสื้อผ้าของชิงเฉินที่สวมใส่ หากไม่มีเรื่องอื่นใดแล้ว ขอฝ่าบาทอนุญาตให้เฟิ่งชิงเฉินและคุณหนูซูหว่านนำผู้ป่วยออกมารักษา”

ตงหลิงจื่อลั่วจึงได้กลืนคำพูดของตนลงไป องค์รัชทายาทพยักหน้าขึ้นอีกครั้ง “อืม ชิงเฉินกล่าวได้ถูกต้องแล้ว”

องค์รัชทายาทเพิ่งตระหนักได้ว่าในวันนี้เขาได้แต่ปฏิบัติตามคำสั่งของเฟิ่งชิงเฉินตลอดเวลา หรือเขาจะเห็นเฟิ่งชิงเฉินเป็นอาของเขาแล้ว?

องค์รัชทายาทสับสนยิ่งนัก……

จากหนานหลิงจิ่นฝานและซีหลิงเทียนเหล่ยก็พยักหน้าด้วยเช่นกัน เป็นความหมายว่าควรจะทำเรื่องสำคัญสักที สีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินดูเยือกเย็นดุจดั่งราชินีบนภูเขาน้ำแข็ง แน่นอนว่าหนานหลิงจิ่นฝานและซีหลิงเทียนเหล่ยล้วนไม่กล้าเผชิญหน้าเข้าชน พวกเขารักษาท่าทางอันสูงส่งของตนเอาไว้ได้อย่างดี หากว่าถูกเฟิ่งชิงเฉินทำให้รู้สึกอับอาย พวกเขาคงจะเขินขนาดไหนกัน เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาจะกล่าวโทษเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้ แต่หากจะไม่กล่าวโทษก็ไม่ได้อีกเช่นกัน

อนาคตยังอีกไกล การต่อสู้ระหว่างพวกเขากับเฟิ่งชิงเฉินและเสด็จอาเก้ายังเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น

การที่เสด็จอาเก้ากล่าวว่าเขาและเฟิ่งชิงเฉินนั้นเป็นสามีภรรยากัน แน่นอนว่าพวกเขาไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกมา ข่าวลือที่ว่าเสด็จอาเก้าไม่ชื่นชอบสตรี และข่าวลือระหว่างเขากับเฟิ่งชิงเฉินก็ถูกปิดซ่อนเอาไว้ ทุกคนรู้ว่าเสด็จอาเก้าไม่ชื่นชอบสนิทสนมชิดเชื้อกับสตรีมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ซึ่งข่าวลือที่พวกเขาปล่อยออกไปก็น่าเชื่อถือมากอย่างเห็นได้ชัด

หนานหลิงจิ่นฝานและซีหลิงเทียนเหล่ย จิ้งจอกเจ้าเล่ห์สองตัวนี้คิดไปในทางเดียวกัน ต่อมาทั้งสองจึงไม่กล้ากล่าวสิ่งใด ได้แต่นั่งอยู่ข้างกายหมอหลวงของทั้งสองราชวงศ์เพื่อรอประกาศผลการวินิจฉัย

ผู้ป่วยทั้งสิ้นสิบคน เดิมทีก็ได้ถูกคัดเลือกมาอย่างดี ราชวงศ์ตงหลิงคงจะไม่ตบหน้าของตนเองเป็นอย่างแน่นอน หลังหมอหลวงทั้งสองประเทศวินิจฉัยแล้ว ผู้ป่วยทั้งสิบคนมีข้อกำหนดตรงตามที่ต้องการแข่งขัน พวกเขาไม่มีอาการเจ็บป่วยในระยะสุดท้าย และไม่มีใครที่อันตรายถึงชีวิต

“องค์ชายสามมีสิ่งใดจะกล่าวหรือไม่?” หลังจากที่องค์รัชทายาทได้ยินดังนั้น เขาก็ได้เอ่ยถามหนานหลิงจิ่นฝานขึ้นอย่างสุภาพ

หนานหลิงจิ่นฝานส่ายหน้า “ข้าไม่มีสิ่งใดจะกล่าว มิใช่การคัดเลือกหมอหลวงสักหน่อย เหตุใดจึงต้องจริงจังเพียงนั้น?”

ประโยคนี้ดูเหมือนกำลังดูถูกการแข่งขันครั้งนี้อย่างเห็นได้ชัดเจน แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้โกรธ นางเพียงรู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย หลังจากนั้นก็สงบลง นางพบว่าในวันนี้ซูหว่านช่างดูมีเหตุมีผล การแสดงออกของนางแตกต่างไปจากปกติมาก……

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท