เวลากลางคืน หลานจิ่วชิงไปโจมตีฐานลับที่งหนานหลิงจิ่นฝานและซีหลิงเทียนเหล่ยตั้งแต่ในตงหลิง ด้วยตัวเขาเพียงคนเดียว จากนั้นเขาก็มาที่เรือนเล็กซีชวีที่เฟิ่งชิงเฉินอาศัย มาพร้อมทั้งกลิ่นอายของเลือด
เลือดไม่สามารถลบล้างความโกรธและความกังวลในหัวใจของเขาไปได้ เมื่อเขาเห็นเฟิ่งชิงเฉินไม่เป็นกระไร เขาจึงจะสามารถสบายใจได้ แต่นี่เป็นแค่ความหวังที่มิอาจเป็นไปได้
อย่างไรก็ตาม ซุนซือสิงอยู่ในห้องของเฟิ่งชิงเฉินตลอดเวลา เขาวัดอุณหภูมิร่างกายและตรวจดูอาการของเฟิ่งชิงเฉินทุก ๆ 15นาที หลานจิ่วชิงไม่สามารถเข้าไปในห้องโดยไม่ให้ผู้อื่นรู้
เขาสามารถทำให้ซุนซือสิงสลบไป แต่เขากลัวว่าระหว่างนั้นจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเฟิ่งชิงเฉิน สายลับรายงานว่าซุนซือสิงกล่าวว่า คืนนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากสำหรับเฟิ่งชิงเฉิน ห้ามเกิดความผิดพลาดแม้แต่น้อย
หมดหนทาง หลานจิ่วชิงทำได้เพียงมองจากนางระยะไกล และกำชับสายลับชุดใหม่ว่าปกป้องเฟิ่งชิงเฉินให้ดี จากนั้นเขาก็จากไป ” เฟิ่งชิงเฉินเชื่อข้า เรื่องนี้จะไม่มีวันจบดีอย่างแน่นอน ข้าจะให้พวกเขาชดใช้อย่างหนักแน่นอน”
วันรุ่งขึ้น เมื่อแสงแรกของพระอาทิตย์กระทบที่พื้น เฟิ่งชิงเฉินซึ่งเสียเลือดไปมากก็ยังไม่ฟื้น แต่ข่าวที่เฟิ่งชิงเฉินถูกมือสังหารแทง ตอนนี้ยังไม่รู้รอดหรือตาย กลับกระจายไปทั่วเมืองหลวงแล้ว
นอกเรือนเล็กซีชวี มีรถม้าจอดอยู่หน้าเรือนจำนวนมาก ทุกคนล้วนถูกซุนซือสิงปฏิเสธเยี่ยมและให้กลับไป โดยใช้เหตุผลที่ง่ายมาก อาจารย์ของเขาอยู่ในช่วยอันตรายอย่างมาก ไม่สามารถพบแขกได้ คนที่สามารถเข้าจวนเฟิ่งได้ มีแค่หมอหลวงทั้งสิบที่จักรพรรดิส่งมา
จักรพรรดิไม่เชื่อในตัวเฟิ่งชิงเฉิน และผู้ที่มาเยี่ยมก็ไม่เชื่อในตัวเฟิ่งชิงเฉิน แต่ผลการวินิจฉัยและการรักษาของหมอหลวงทั้งสิบเป็นเหมือนซุนซือสิง ซึ่งร้ายแรงยิ่งกว่าที่ซุนซือสิงแจ้งเสียอีก
บาดเจ็บที่หลอดเลือดแดง เสียเลือดไปมาก แม้ว่าจะหลุดพ้นอันตรายแล้ว ก็ไม่อาจฟื้นขึ้นมาในเวลาอันสั้นได้ แผลสาหัสเช่นนี้ แผลที่น่าสยดสยองเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะปลอมแปลงมันออกมา ไม่มีใครเอาชีวิตของตนมาเสแสร้ง
มีหมอหลวงกล่าวเป็นการส่วนตัวว่า โชคดีที่เฟิ่งชิงเฉินมีบุญมาก มีซุนซือสิงหมอที่ชำนาญด้านการรักษาแผลภายนอกอยู่ในจวนของตน มิเช่นนั้นมือสังหารฆ่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ตาย นางเองก็คงต้องตายเพราะเสียเลือดเยอะ
หารือราชกิจยามเช้า เสด็จอาเก้าไม่สบายจึงไม่สามารถเข้าร่วมได้ แต่เขาให้คนส่งสารกราบทูลมา ในสารเขียนไว้ว่าช่วงที่ผ่านมานี้เมืองหลวงมีคดีลอบสังหารเกิดขึ้นหลายคดี โดยเฉพาะเมื่อคืนนี้ นอกจากเฟิ่งชิงเฉินถูกมือสังหารทำร้ายแล้ว มีขุนนางระดับสามอีกสองคนที่ถูกลอบสังหารจนเสียชีวิต
เสด็จอาเก้าชี้ว่าความปลอดภัยของเมืองหลวงออกมาด้วยความเจ็บปวด ว่าตอนนี้สถานการณ์ไม่ดีอย่างมาก ตั้งแต่ขุนนางจนถึงสามัญชน ทุกคนล้วนอันตรายอย่างมาก จึงขออย่างเคร่งว่าให้จักรพรรดิเพิ่มกองกำลังทหารให้กับตี๋ตงหมิง เพื่อรักษาความปลอดภัยของจักรพรรดิและเมืองหลวง ในเวลาเดียวกัน ขอฝ่าบาททรงออกพระราชโองการ ให้ตามล่ามือสังหารทั่วอาณาจักร เสด็จอาเก้าได้แนบภาพวาดของมือสังหารมาด้วย โดยกล่าวว่าทหารของจวนเฟิ่งชิงเฉินให้ข้อมูลด้านนี้มา
มือสังหารในภาพวาดนั้นมีผ้าดำคลุมใบหน้า และผูกผ้าดำไว้ที่หัว ปิดหน้าผากเอาไว้ เหลือเพียงดวงตาคู่เดียว ดวงตาของเขามีกลิ่นอายของความอาฆาต ส่วนอื่นๆ นั้น…………
เอ่อ ไม่เห็นความพิเศษของมือสังหารคนนี้เลย เอานักโทษประหารออกมาจับแต่งตัวแบบนี้ ดูยังไงก็เป็นมือสังหาร
เมื่อจักรพรรดิเห็นภาพเช่นนี้ หูของเขาก็ขยับเล็กน้อย และกวาดไปทางเหล่าขุนนาง และกล่าวว่าสงบน่าเกรงขามว่า ” เหล่าขุนนางคิดเห็นอย่างไรกันบ้างหรือ?”
คิดเห็นอย่างไร ในชั่วข้ามคืน ผู้คนจำนวนมากถูกฆ่าตายและได้รับบาดเจ็บในเมืองหลวง ความเขาไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ องค์รัชทายาทของซีหลิงและหนานหลิงยังอยู่ที่ตงหลิง หากว่าพวกเขาเสียชีวิตที่ตงหลิง เช่นนั้นจะเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นมา
แน่นอนว่าจะต้องสอบสวนและจะต้องสอบสวนอย่างหนัก องครักษ์และทหารของเมืองหลวงจะต้องเพิ่มจำนวน แต่มีหลายคนที่อยากจะใช้โอกาสนี้โค่นให้ตี๋ตงหมิงลงจากตำแหน่งนี้ ฝ่าบาทก็มีเจตจำนงนี้เช่นนี้เช่นกัน
แต่คนจ้องจะชิงตำแหน่งนี้มีมากมายเหลือเกิน หลังจากคัดคนแล้ว ก็ยังไม่พบคนที่เหมาะสม ช่วงก่อน ฝ่าบาทได้เลื่อนยศไปหลายคน ตอนนี้จึงยังไม่พบคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ สุดท้ายตี๋ตงหมิงก็ยังคงครองตำแหน่งนี้เช่นเดิม
จากเหตุการณ์นี้ ตี๋ตงหมิงมีกองกำลังเพิ่มอีก 20,000 นาย และตอนนี้ ตี๋ตงหมิงมีทหารอยู่ในมือ 50,000 นาย มี 30,000 นายอยู่ที่เมืองหลวง 20,000นายอยู่ที่ค่ายทหารนอกเมือง เมื่อเมืองหลวงตกอยู่ในอันตราย ทหารทั้ง20,000 นายนั้นจะบุกเข้าเมืองเพื่อปกป้องทันที และคนเหล่านี้จะอยู่ภายใต้คำสั่งของตี๋ตงหมิง
ชั่วขณะนั้น ชื่อของตี๋ตงหมิงได้กลายเป็นหนึ่งในผู้มีอำนาจมากที่สุดในเมืองหลวงนี้ กลายเป็นผู้มีอิทธิพลใหม่ในหมู่แม่ทัพ และเป็นเป้าหมายของเหล่าองค์ชายที่อยากจะได้ความสนับสนุน
โชคดีที่ ตี๋ตงหมิงมีสติอย่างมาก เขาไม่คบหากับองค์ชายเลย เมื่ออยู่กับองค์รัชทายาท ก็ทำตามหน้าที่งาน ทำให้ฝ่าบาทวางใจอย่างมาก
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินฟื้นขึ้นมา และรู้เรื่องนี้ นางระบายด้วยความคับข้องใจ และเขียนคำกล่าวลงกระดาษต่อว่าตี๋ตงหมิง โดยบอกว่าตี๋ตงหมิงได้ดีจากความหายนะที่นางเจอมา
ตี๋ตงหมิงจ้องมองไปที่เฟิ่งชิงเฉินด้วยท่าทางดูหมิ่น ดวงตาของเขาไม่มีความสุขที่ได้เพิ่มกองกำลังทางทหารเลย และดูโกรธเคืองเล็กน้อยด้วยซ้ำ “เฟิ่งชิงเฉิน อย่ามาใช้กลนี้ เจ้าคิดว่าข้าได้เปรียบมากหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่ากองกำลัง 20,000 นายนี้ ตระกูลข้าจะเสียไปเท่าไหร่ ข้าจะขอบอกเลยว่า บนโลกนี้ คนที่สามารถเอาเปรียบเสด็จอาเก้าได้นั้น ตอนนี้ยังไม่เกิด”
“เสด็จอาเก้าสมกับที่เป็นเสด็จอาเก้า แม้แต่เรื่องแบบนี้ก็ยังเป็นผลประโยชน์ต่อเขาได้ ยอดเยี่ยมเสียจริง เขาเกิดมาเพื่อเป็นเจ้าแห่งการเล่นกลอุบายด้านอำนาจชัดๆ ……..ว่าแต่ เจ้าเองก็ยอมเองมิใช่หรือ คิดว่าข้าไม่รู้เรื่องการเมืองหรืออย่างไร? การเมืองก็คือการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน หากว่าเจ้าไม่เสียเลือดเล็กน้อย เจ้าจะได้ของดีเช่นนี้มาได้อย่างไร” เฟิ่งชิงเฉินรีบเขียนลงบนกระดาษอย่างรวดเร็ว แววตาที่มืดมนของนางฉายแววเศร้าออกมาเล็กน้อย
แต่ตี๋ตงหมิงไม่รู้ เขาเอาแต่พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา แน่นอนว่าส่วนมากจดจ่อกับเรื่องของท้องพระโรงมากกว่า
เฟิ่งชิงเฉินจึงต้องตั้งสติและฟังเขา เรื่องส่วนใหญ่เฟิ่งชิงเฉินทราบดี แต่ส่วนเรื่องที่เป็นความลับ ตี๋ตงหมิงไม่เอ่ยถึงแม้แต่น้อย
เนื่องจากเฟิ่งชิงเฉินหมดสติไปสามวันหลังจากได้รับบาดเจ็บ เวลาสามวันที่ผ่านมานี้ มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น ประการแรกเรื่องที่ตี๋ตงหมิงออกคำสั่งค้นทั่วเมืองในนามของการตามหามือสังหาร แต่กลับไม่พบมือสังหาร พบเหล่าขุนนางเก่าของอดีตราชวงศ์มาหลายคน ฝ่าบาทดีใจอย่างมาก แม้ว่าตี๋ตงหมิงจะไม่พบมือสังหาร แต่ก็ถือว่ามีผลงานทดแทน
สามวันต่อมา เขาค้นทั่วเมืองแล้ว แต่ยังหาเบาะแสของมือสังหารไม่เจอ ตี๋ตงหมิงกล่าวว่ามือสังหารอาจออกนอกเมืองไปแล้ว จึงขอฝ่าบาททรงออกพระราชโองการ ให้ตามล่ามือสังหารทั่วอาณาจักร
ก่อนหน้านี้เสด็จอาเก้าก็กล่าวถึงเรื่องนี้เช่นกัน แต่ว่าฝ่าบาททรงหยุดเอาไว้ และตอนนี้ตี๋ตงหมิงเอ่ยถึงอีกครั้ง ฝ่าบาทจึงไม่มีข้ออ้างที่จะห้าม เพราะนอกจากเฟิ่งชิงเฉินแล้ว ยังมีขุนนางสองคนเสียชีวิตไป นี่ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ร้ายแรงอย่างมาก
ฉะนั้นจักรพรรดิออกพระราชโองการ ไล่ล่ามือสังหารทั่วราชอาณาจักร และเอารูปของมือสังหารไปแปะทุกเมือง ในขณะเดียวกัน ข่าวการลอบสังหารและการได้รับบาดเจ็บของเฟิ่งชิงเฉินก็แพร่กระจายไปทั่วทุกมุมของตงหลิง
เนื่องจากการพนันระหว่างเฟิ่งชิงเฉินและซูหว่าน จึงมีคนมากมายที่รู้จักชื่อเฟิ่งชิงเฉิน ในช่วงเวลาสำคัญของการแข่งขัน เฟิ่งชิงเฉินถูกลอบสังหาร ตกอยู่ในอันตราย เหตุการณ์นี้ทำให้คนอดคิดสงสัยมิได้
ในการแข่งขันทั้งหก เฟิ่งชิงเฉินชนะไปสาม ส่วนหมากรุก จนตอนนี้ซูหว่านก็ยังไม่พบวิธีแก้เกม ฉะนั้น และผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของการแข่งคือทั้งคู่เสมอกัน
จนถึงตอนนี้ เกมเดียวที่ซูหว่านชนะก็เป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉินป่วยไม่ได้เข้าร่วม จึงยอมแพ้ และทุกคนต่างก็รู้ดีว่าการรักษานั้นเป็นสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินถนัด เฟิ่งชิงเฉินชนะอย่างแน่นอน แต่ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินกลับถูกลอบสังหาร นั่นหมายความว่าอย่างไร?
นี่แสดงให้เห็นว่า ตระกูลหนานหลิงซูใช้วิธีสกปรกเพื่อที่จะชนะการแข่งขัน ทุกคนเชื่อว่า เฟิ่งชิงเฉินได้รับบาดเจ็บจะต้องเกี่ยวข้องกับซูหว่านอย่างแน่นอน ไม่แน่ก็อาจจะเป็นตระกูลซูที่ส่งมือสังหารมา ทันใดนั้นข่าวลือก็กระจาย ในใจของชาวตงหลิงนั้น ชื่อเสียงของตระกูลหนานหลิงซูต่ำต้อย…
ในเวลานี้ เฟิ่งชิงเฉินซ้ำเติมพวกเขาอย่างไม่เกรงใจ หลังจากที่ฟื้นขึ้นมา นางประกาศในทันทีว่านางยอมแพ้การแข่งขันทางการแพทย์ ในขณะเดียวกันนางได้เชิญคุณชายเฮ่าถิงมาอาศัยในจวนเฟิ่ง เขาเป็นคนไข้ที่นางต้องรักษาตอนแข่งขัน หลังจากที่นางหายดีแล้ว นางจะรักษาคุณชายเฮ่าถิง และนางมีความมั่นใจอย่างมากว่าจะสามารถรักษาคุณชายเฮ่าถิงจนหายดีได้
เมื่อซูหว่านได้ยินข่าว นางไม่มีความสุขทีชนะเลย อาการบาดเจ็บของเฟิ่งชิงเฉินไม่เกี่ยวข้องกับนาง แต่คำพูดของเฟิ่งชิงเฉินหลับกล่าวหาทางอ้อมว่าคนที่อยู่เบื้องหลังคือนางและตระกูลซู ทำให้นางยากที่จะอธิบายให้เรื่องกระจ่าง
“เฟิงชิงเฉิน เจ้าช่างโหดเหี้ยม เจ้าใส่ร้ายป้ายสีข้า” ซูหว่านโกรธมากจนนางทุบเครื่องใช้ต่างๆ ในห้องพังสิ้น
ซูหว่านไม่มีความสุข เฟิ่งชิงเฉินก็อย่าได้อยู่ดีเป็นสุข เมื่อนางประกาศออกมาอย่างโจ่งแจ้งว่าสามารถรักษาคุณชายเฮ่าถิงให้หายได้ ซูเหวินชิงพุ่งเข้าห้องของเฟิ่งชิงเฉินโดยไม่สนคำห้ามของซุนซือสิง
“คุณชายซู คุณหนูซูไม่สบาย ไม่สะดวกพบแขก โปรดกลับไปเถอะขอรับ” วันนี้เป็นรอบที่ทงจือและชุนฮุ่ยดูแลเฟิ่งชิงเฉิน สาวใช้ทั้งสองรีบเร่งวิ่งเข้าไปข้างหน้าและหยุดซูเหวินชิงเอาไว้ แต่กลับถูกซูเหวินชิงสะบัดออก ” หลีกไป ”
สาวใช้ทั้งสองคนยืนกรานที่จะไม่หลีกทาง แต่เฟิงชิงเฉินโบกมือเพื่อส่งสัญญาณให้สาวใช้ทั้งสองถอยไป พวกนางจึงจะยอมถอย
ทันทีที่พวกนางถอยไป ซูเหวินชิงก็คำรามด้วยเสียงต่ำ “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าบ้าไปแล้วหรือ เจ้าเองก็รู้ว่ามือสังหารในคืนนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคจองคุณชายเฮ่าถิง เจ้ายังจะเปล่าประกาศว่าจะรักษาเขาเช่นนี้อีก เจ้ากำลังหาเรื่องใส่ตัวรึเปล่า? เฟิ่งชิงเฉิน อย่าบอกข้าว่าเจ้าไม่รู้ว่าคุณชายเฮ่าถิงมาจากตระกูลชุย ตระกูลใหญ่ที่ลึกลับ ”
ซูเหวินชิงโกรธจนตัวสั่น เขาเพิ่งได้รับข่าวว่าคุณชายเฮ่าถิงเป็นคนของตระกูลชุย และเขาเป็นทายาทสายตรงของตระกูลชุย ตั้งแต่วัยเด็ก เขาและคนอื่นๆ อีกหลายคนได้รับการฝึกฝนให้เป็นหัวหน้าครอบครัว แต่ด้วยเหตุทางร่างกายจึงถูกเพิกถอนสิทธิ์ตรงนั้นไป
ตระกูลชุย เดิมเป็นสิ่งที่อันตราย เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่ามีอันตราย แต่ก็ยังเข้าไปยุ่งเกี่ยว จะให้เขาไม่โกรธได้อย่างไร
นางไม่สนใจความโกรธของซูเหวินชิง เฟิ่งชิงเฉินทำสีหน้าสงบ และส่งสัญญาณให้ซูเหวินชิงพยุงนางขึ้นมา จากนั้นก็ยื่นกระดานเขียนให้นาง นางได้รับบาดเจ็บที่คอ ไม่สามารถพูดได้ชั่วคราว เพราะหากพูดอาจทำให้แผลฉีก
เฟิ่งชิงเฉินใช้ดินสอถ่านเขียนบนกระดาษสีขาวว่า ” ข้าไม่ได้บ้า นี่คือสิ่งที่ตระกูลชุยบังคับให้ข้าทำ ตอนที่มือสังหารมาเตือนข้า ข้าพอเดาได้ว่าอาจเกี่ยวข้องกับชุยเฮ่าถิง ตอนนั้นข้าตกลงแล้วว่าจะไม่รักษาชุยเฮ่าถิง แต่เขาไม่ทำตามคำพูด ทำร้ายข้า และจะสังหารข้า
ถ้าอย่างนั้น ก็อย่าโทษข้าที่โหดร้าย ข้าเฟิ่งชิงเฉินสูญเสียไปมากเช่นนี้ หากไม่ทวงคืน ข้าไม่ยอม ข้าไม่เพียงแต่จะรักษาชุยเฮ่าถิง และจะรักษาให้หายดีด้วย ข้าจะทำให้คนที่อยู่เบื้องหลังนั้นเสียใจ”
มีแค้นต้องชำระ ที่แหละคือเฟิ่งชิงเฉินตัวจริง คนตระกูลชุยทำให้นางบาดเจ็บถึงชีวิต นางจะไม่ยอมอย่างแน่นอน คนเหล่านั้นไม่อยากให้ชุยเฮ่าถิงมีโอกาสมาแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้าตระกูล เช่นนั้นนางก็จะทำให้ชุยเฮ่าถิงมีโอกาสนี้………
แม้แต่ราชวงศ์ตงหลิงนางก็กล้าที่จะทำ นับประสากระไรกับตระกูลชุย…….