นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 510 สู้ เจ็บปวดจนมิอาจหายใจได้

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

ในที่สุดซูเหวินชิงก็ได้เห็นถึงความดื้อรั้นของเฟิ่งชิงเฉินแล้วไม่ว่าเขาจะเกลี้ยกล่อมหรืออธิบายข้อดีข้อเสียอย่างไร เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ยอมถอย นางยืนยันว่าจะรักษาชุยเฮ่าถิง เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการแกร่งแย่งชิงดีของตระกูลชุย

“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้ากำลังใช้ตัวเองเป็นเป้า เจ้าอยากตายหรือไง?” ซูเหวินชิงชี้ไปที่เฟิ่งชิงเฉิน นิ้วของเขาสั่นเทา

เฟิ่งชิงเฉินยิ้มอย่างเฉยเมย เมื่อมีอะไรเป็นจำนวนมาก ก็ย่อมไม่กังวลกับมันแล้ว มีคนจำนวนมากที่ต้องการจะฆ่านาง เพิ่มตระกูลชุบเข้ามาอีกหนึ่งตระกูลก็ไม่เห็นจะเป็นกระไร

อีกอย่าง คนในตระกูลชุยที่ต้องการให้นางตาย มีเพียงบางคนที่มีข้อพิพาทกับชุยเฮ่าถิงเท่านั้น นางรู้ดีว่าหลังจากที่นางประกาศแล้ว คนของตระกูลชุยจะต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน คนที่อยู่เบื้องหลังอยากจะลงมือกับนาง ก็ต้องพิจารณาว่าคนอื่นๆ ในตระกุลชุยเห็นด้วยหรือไม่

ซูเหวินชิงโกรธเคืองกัดฟันแน่น เขายกกาน้ำชาขึ้นบนโต๊ะขึ้น และเทน้ำให้ตัวเองหนึ่งแก้ว “เฟิ่งชิงเฉิน การต้อนรับแขกของจวนเจ้านับวันยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ”

ซูเหวินชิงหยิบแก้วขึ้นมาและดื่ม แต่ทันทีที่ดื่มเข้าไป สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ใบหน้าของเขาเบียดเบี้ยว รสชาติที่อยู่ในปากนั้นแย่อย่างมาก “พู่..” เขาพ่นชาทั้งหมดออกมา

โชคดีที่เฟิ่งชิงเฉินตอบสนองอย่างรวดเร็ว นางเร่งคว้าหมอนมาบังหน้าเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเขาคงพ่นใส่หน้าเฟิ่งชิงเฉิน

“เจ้าสกปรกมาก” เฟิ่งชิงเฉินเขียนบนกระดาษขาว

“แหวะแหวะ” ซูเหวินชิงมองหาน้ำ พยายามที่จะบรรเทารสชาติแปลก ๆ ในปากของเขา แต่พบว่าห้องของเฟิ่งชิงเฉินไม่มีน้ำเลย เขาจึงต้องพยายามถ่มน้ำลายออกมา

“เจ้ายังจะมาว่าข้าสกปรกอีก บ้านไหนเขาทำแบบเจ้ากัน เอายาใส่ถ้วยชา เจ้าอยากฆ่าคนหรืออย่างไร?” วันนี้ซูเหวินชิงหดหู่ใจมามากแล้ว

ปู้จิงหยุนเดินจากไปแล้ว ความปลอดภัยของเฟิ่งชิงเฉินก็ตกเป็นหน้าที่ของเขา เขาอุตส่าห์จัดการกับงานมากมาย แต่กลับได้ยินว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเอาตัวเองเป็นเป้าล่อผู้อยู่เบื้องหลัง เขาก็เร่งกลับมา อยากจะทำให้เฟิ่งชิงเฉินล้มเลิกความคิดนี้เสีย แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับไม่สนใจ

วันนี้ ไม่มีอะไรที่เป็นไปตามที่เขาต้องการเลย ซูเหวินชิงโกรธเคืองจนนั่งหายใจแรงอยู่บนเก้าอี้ ไม่มีความเป็นคุณชายตระกูลผู้ดีเลย

เฟิ่งชิงเฉินหยิบดินสอถ่านขึ้นมาและเขียนอีกว่า “นั่นคือยาที่ให้ข้าดื่ม ไม่มีใครบอกให้เจ้าดื่ม เจ้าเทมาดื่มเอง ถ้าไม่มีเรื่องอะไร เจ้าออกไปได้แล้ว

เรื่องของตระกูลชุย ข้าไม่ยอมแน่นอน พวกเขาสามารถลอบสังหารข้าได้หนึ่งรอบ เช่นนั้นก็ต้องมีรอบสอง ข้าเกลียดที่ชีวิตต้องมาคอยถูกคนอื่นข่มขู่ หากว่าต้องคอยระวัง เช่นนั้นสู้ออกโจมตีเองเสียดีกว่า

แม้ว่าข้าเฟิ่งชิงเฉินจะขี้กลัว แต่ข้าไม่ใช่คนขี้ขลาด พวกเขารักแกข้าเช่นนี้ หากข้าไม่ต่อสู้กลับ นั่นแสดงว่าข้าคงไร้ความสามารถจริงๆ หากตระกูลชุยต้องการสู้ เฟิ่งชิงเฉินไม่กลัว ”

“พี่สาว พี่ไม่กลัว แต่ข้ากลัว รู้หรือไม่ว่ามันอันตรายเพียงใด ตระกูลชุยอยู่ที่ไหน มีอำนาจมากแค่ไหน ไม่มีใครทราบ แม้แต่ฝ่าบาทเองก็ไม่กล้าที่จะยุ่งเกี่ยวกับตระกูลชุย” ซูเหวินชิงวิตกกังวลเสียจนเรียกนางว่า “พี่สาว”

“ตระกูลชุยซ่อนตัวจากโลกมาโดยตลอด ในเมื่อครั้งนี้พวกเขาปรากฏตัว หมายความว่าพวกเขากำลังร้อนรน ฉะนั้นไม่ต้องห่วง” เฟิ่งชิงเฉินเขียน

ซูเหวินชิงถอนหายใจ เฟิ่งชิงเฉินเหมือนหลานจิ่วชิง ดูเหมือนจะเป็นคนที่ยอมอะไรง่ายๆ แต่เมื่อพวกเขาตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ ซูเหวินชิงหมดหนทาง ทำให้เพียงเตือนเฟิ่งชิงเฉินให้ระวังให้มาก

“ชิงเฉิน เจ้าจะอยู่ข้างชุยเฮ่าถิง และประกาศสงครามกับอีกฝ่ายข้าไม่สน แต่ข้าขอร้องให้เจ้านั้นระวังตัว หากว่าเจ้าเป็นกระไรขึ้นมา หลานจิ่วชิงคงฝังข้าทั้งเป็น” เขาไม่อยากเป็นปู้จิงหยุนคนที่สอง

เอ่อ… เมื่อนึกถึงหลานจิ่วชิง เฟิ่งชิงเฉินสงสัย ตอนที่ซูเหวินชิงคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเลิกความคิดที่เสี่ยงเช่นนี้เพราะหลานจิ่วชิง เฟิ่งชิงเฉินเขียนอีกครั้งว่า “บอกจิ่วชิงให้ข้าที ข้าจะระวัง ให้เขาไม่ต้องเป็นห่วง อีกอย่างมีสายลับคอยดูแลปกป้อง แม้ว่าสายลับเหล่านั้นจะไม่ได้ยอดฝีมือเท่าไหร่ แต่เมื่อเกิดเรื่องในครั้งนี้แล้ว พวกเขาอาจจะเคร่งครัดมากขึ้น”

หลานของสายลับ หลานจิ่วชิงอาจจะทราบ เพราะก่อนหน้านี้หลานจิ่วชิงแอบเข้ามาอยู่หลายครั้ง

จะว่าไป นางก็ประมาทเช่นกัน เสด็จอาเก้าและหลานจิ่วชิงต่างก็เคยแอบเข้ามาที่ห้องของนาง ทั้งสองนี้สามารถหลบสายตาของสายลับและทหารมาได้ คนอื่นๆ ก็คงทำได้เช่นกัน

ซูเหวินชิงเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินกล่าวว่าสายลับไม่ดีเท่าไหร่ เขาไม่ได้คิดมากจึงเร่งอธิบายว่า ” ชิงเฉินไม่ต้องกังวล สายลับของเจ้าจิ่วชิงเปลี่ยนชุดใหม่มาแล้ว ชุดนี้เก่งยิ่งกว่าชุดที่แล้วอย่างแน่นอน รับปากได้เลยว่าจะไม่ทำให้เจ้าตกอยู่ในอันตรายอีก”

เฟิ่งชิงเฉินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง มือของนางจับปากกาแน่น จากนั้นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางรีบเขียนขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “สายลับที่อยู่รอบตัวข้าจิ่วชิงเป็นคนจัดให้หรือ?”

นางคิดว่าสายลับเหล่านี้เสด็จอาเก้าเป็นคนจัดให้นางเพราะเป็นห่วงนาง ไม่คิดว่า… นางประเมินความสำคัญของตัวเองที่อยู่ในใจของเสด็จอาเก้าสูงไป

เปลือกตาของนางขยับเล็กน้อย เฟิ่งชิงเฉินแสดงรอยยิ้มที่ขมขื่นและนางก็แอบดุตัวเองว่าตัวเองโลภเกินไป นางคิดจริงๆ ว่าหลังจากผ่านคืนนั้นไปแล้ว ตนจะแตกต่างออกไป

แต่นางยังคงเป็นนาง และแน่นอนว่าเสด็จอาเก้าก็ยังคงเป็นเสด็จอาเก้า

ซูเหวินชิงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เขาได้พูดคำนั้นออกมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงพยักหน้า “ใช่ ใช่ ใช่ จิ่วชิงกลัวว่าเจ้าจะตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นเขาจึงจัดกลุ่มสายลับเพื่อปกป้องเจ้า สายลับชุดเก่าทำผิดพลาดเช่นนี้ ตอนนี้พวกเขาถูกส่งกลับไปฝึกฝนใหม่แล้ว สายลับที่อยู่รอบตัวเจ้าตอนนี้แม้จะเป็นการทำงานครั้งแรก แต่ข้ารับปากได้เลยว่า ฝีมือของพวกเขายอดเยี่ยมอย่างมาก”

สีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินเศร้าหมองเล็กน้อย นางฝืนยิ้มออกมา แล้วก้มลงเขียนที่กระดาษว่า “ขอบคุณจิ่วชิงแทนข้าที ข้าเหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อน”

“ชิงเฉิน คือว่า…” ซูเหวินชิงแอบบ่นว่าแย่แล้วในใจ วันนี้ไม่มีอะไรสมใจเลยเสียจริง เขาหวังดีแต่กลับทำให้เรื่องออกมาแย่

เฟิ่งชิงเฉินเพิกเฉยต่อซูเหวินชิง นางดึงผ้าห่มมาแล้วนอนลง จากนั้นก็หลับตา แสดงออกว่านางไม่อยากสนทนาต่อ

ซูเหวินชิงใบหน้าขมขื่น เขามองเฟิ่งชิงเฉินอย่างลึกซึ้ง จากนั้นหันหลังเดินจากไป

เขาอยากจะอธิบาย แต่เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร และเขาไม่สามารถบอกเฟิ่งชิงเฉินได้ว่าจิ่วชิงกับเสด็จอาเก้าเป็นคนเดียวกัน สิ่งที่จิ่วชิงออกคำสั่ง ก็คือคำสั่งของเสด็จอาเก้า

เฮ้อ… ผิดที่เขาปากไวเอง ที่เอาผลงานสายลับยกให้จิ่วชิง

เสด็จอาเก้า ข้าขอโทษ!

ซูเหวินชิงยืนอยู่ที่หน้าประตูของเฟิ่งชิงเฉิน เขาโค้งคำนับไปทางที่ตั้งแต่จวนอ๋องเก้า เพื่อแสดงคำขอโทษ

“ฮาจิ่ว ฮาจิ่ว” เสด็จอาเก้าที่กำลังดูแลงานห้องหนังสือจามไปสองที พู่กันในมือของเขาก็สั่นเช่นกัน หมึกที่สะบัดออกมาหยดลงที่เอกสารที่เพิ่งเขียนเสร็จพอดี

หมึกสีดำคลุ้งบนกระดาษ เอกสารนี้ใช้ไม่ได้แล้ว เสด็จอาเก้าวางพู่กันลง และขยำเอกสารแล้วโยนออกไป จากนั้นก็จัดเสื้อผ้าแล้วนวดข้อมือที่ปวดเล็กน้อย เสด็จอาเก้ามองไปที่ไกลๆ เพื่อลดอาการเหนื่อยล้าของดวงตา

เขาไม่ได้พบเฟิ่งชิงเฉินมาห้าวันแล้ว ในระหว่างวันเสด็จอาเก้าจะต้องรักษาตัว ไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ ส่งคนในจวนเข้าไปก็ไม่สามารถเจอเฟิ่งชิงเฉินได้ ส่วนมากซุนซือสิงก็ให้กลับมา

ตอนกลางคืนเขาอยากไป … แต่รอบตัวเฟิ่งชิงเฉินมีทหารของซู่ชินอ๋องเฝ้าอยู่ตลอดเวลา ทหารของจวนซู่อ๋องเองก็เข้าไปอาศัยที่จวนเฟิ่งเช่นกัน และผลัดกันลาดตระเวน12ชั่วโมง เขาไม่สามารถแอบไปได้

ในที่สุดเสด็จอาเก้าก็เข้าใจว่าอะไรคือการ ทำตัวเอง สาวใช้ของเขาตอนนี้เข้าข้างเฟิ่งชิงเฉินทั้งหมด และมองว่าเขาเป็นคนนอก ไม่มีความจะเป็นหนึ่งเดียวกับเขาเลย อยู่แค่เพียงเอื้อมมือ แต่มันคือแสนไกล …

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท