นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 511 เยี่ยมไข้ ปรากฏตัวครั้งแรกหลังบาดเจ็บ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

ทุกคนในตงหลิงตกอยู่ในอันตราย เมื่อได้ยินคำว่ามือสังหาร สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป องค์ชายหลายคนรวมไปถึง หนานหลิงจิ่นฝาน ซีหลิงเทียนเหล่ยกลายเป็นจุดสนใจ มีทหารองครักษ์ล้อมอยู่นอกจวนทั่วทุกทิศ

คนที่ไม่รู้เรื่องก็นึกว่าทหารเหล่านี้มาปกป้องพวกเขา แต่คนที่รู้ล้วนเข้าใจว่าเป็นการมาคุมมากว่ามาคุ้มกัน องค์จักรพรรดิไม่เชื่อใจพวกเขาหรือไม่ก็กลัวว่าพวกเขาจะฉวยโอกาสสร้างปัญหา

เมืองหลวงเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ลั่วอ๋องผู้ที่หยิ่งยโสมาเสมอก็หดหัวอยู่ในจวนไม่ยอมออกไปไหนง่ายๆ เหล่าคุณชายที่ชอบเที่ยวเล่นร่ำสุราหลับคาอกสาวงามก็เก็บตัวอยู่แต่ในจวนเช่นเดียวกัน โรงน้ำชาและหอสุราล้วนเงียบเชียบเยียบเย็น

“เพื่อเฟิ่งชิงเฉินคนเดียว สังหารขุนนางใหญ่ในราชสำนักไปถึงสองคนและยังกักขังเราไว้ในจวนอีก เสด็จอาทำการใหญ่เสียจริง” ตงหลิงจื่อโจว โจวอ๋องบ่นอย่างขมขื่นอยู่ในจวน คำพูดแบบเดียวกันนี้พวกชิงอ๋องก็ไม่ได้พูดน้อยไปกว่ากัน

เดิมคิดว่าเมื่อกลับมาจากเมืองของตนเองเข้าเมืองหลวงแล้วจะสามารถเป็นอิสระ หาเหล่าขุนนางเป็นพรรคพวก แต่คิดไม่ถึงเลย…

เพราะเฟิ่งชิงเฉินเพียงคนเดียว พวกเขาต้องใช้ชีวิตกันอย่างหัวหดครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่กล้าแสดงความทะเยอทะยานต่อหน้าเสด็จพ่อของพวกเขาแม้เพียงนิดและไม่กล้าเข้าหาขุนนางในราชสำนักและตระกูลขุนนางเลย ตอนนี้ก็เป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉินถูกลอบสังหารจึงถูกกักบริเวณอยู่ในจวนโดยแทบไม่มีอิสระเลย สำหรับองค์ชายแล้ว นี่เป็นเรื่องน่าขายหน้าอย่างยิ่ง

ทุกแคว้นไม่มีองค์ชายใดที่น่าสังเวชเหมือนพวกเขาอีกแล้ว เฟิ่งชิงเฉินเป็นเพียงเด็กกำพร้าเท่านั้น แต่นางกลับมีอิทธิพลต่อราชสำนัก

“ท่านอ๋องโปรดระมัดระวังคำพูดด้วย ผู้ที่สั่งให้คุ้มครองเหล่าองค์ชายคือองค์จักรพรรดิและท่านชายตี๋ที่กำลังค้นหาตัวมือสังหาร เสด็จอาเก้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลยพ่ะย่ะค่ะ” เสนาธิการผู้ซึ่งอายุเกือบสี่สิบปีสวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านและมีท่าทางเหมือนบัณฑิตกล่าว

ตงหลิงจื่อโจวยิ้มเยาะ “ใช่ เหตุการณ์ทั้งหมดนี่ไม่เกี่ยวอะไรกับเสด็จอาเก้าเลย เสด็จอาผู้นั้นของข้ายังป่วยอยู่ ป่วยหนักจนไม่สามารถออกจากจวนได้ อดพูดไม่ได้เลยว่าเขาช่างป่วยได้ถูกเวลานัก หากไม่ได้รู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินเกือบตาย ข้าคงสงสัยว่าการลอบสังหารครั้งนี้มีเสด็จอาเก้าเป็นผู้บงการและกำลังเล่นละครตบตาเสียเอง ลุงหลิว ท่านดูสิว่ามีคนโชคร้ายไปกี่คนแล้วเพียงเพราะเฟิ่งชิงเฉินได้รับบาดเจ็บ

ยังไม่ต้องพูดถึงตระกูลซูแห่งหนานหลิงที่เสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้ว มากล่าวถึงจวนเจิ้นกั๋วกงดีกว่า ไม่รู้ว่าสืบทราบได้อย่างไรว่าจวนเจิ้นกั๋วกงเลี้ยงทหารเดนตายจำนวนมากไว้นอกเมืองและยังถูกตี๋ตงหมิงไปพบเข้า โชคของเจิ้นกั๋วกงคงจะดีเกินไปแล้วจริงๆ แค่ออกนอกเมืองไปอย่างบังเอิญก็ไปพบกับทหารเดนตายของเจิ้นกั๋วกงเข้า คราวนี้เจิ้นกั๋วกงถึงคราวเคราะห์แล้วจริงๆ โชคร้ายเสียยิ่งกว่าโชคร้ายเสียอีก”

“ท่านชายตี๋กับเฟิ่งชิงเฉินมีมิตรไมตรีอันดีต่อกันและพวกเขาก็มีความสัมพันธ์อันดีกับเสด็จอาเก้าด้วย” ขุนนางผู้ชายของตงหลิงจื่อโจวกล่าวด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว “คุณหนูใหญ่ของจวนเจิ้นกั๋วกงไม่ถูกกับเฟิ่งชิงเฉินมาโดยตลอด แม้จะไม่มีหลักฐาน จวนเฟิ่งที่ถูกเผาไปนั้น ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าไม่มีทางไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจิ้นกั๋วกง”

แน่นอนว่ามู่เหลียวรู้ว่าตงหลิงจื่อโจวรู้สึกร้อนใจ เขาอยู่ในเมืองหลวงมาหลายเดือน แต่กลับทำอะไรไม่สำเร็จเลยสักอย่าง ถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป ดินแดนของเขาอาจไม่สามารถปกป้องเอาไว้ได้ แม้ว่าตงหลิงจื่อโจวจะต้องการต่อสู้เพื่อราชบัลลังก์ แต่ในยามนี้เขายิ่งอยากกลับไปยังเมืองของเขา แต่ด้วยเหตุต่างๆ นานับประการ องค์จักรพรรดิจึงไม่ยอมเห็นด้วยเสียที

สิ่งที่ยากที่สุดก็คือการเดาใจขององค์จักรพรรดิ มู่เหลียวก็ไม่กล้าพูดอะไรไปมากกว่านี้ เพียงแต่เกลี้ยกล่อมให้ตงหลิงจื่อโจวสงบลงหน่อยและเสนอความคิดเล็กๆ ขึ้นว่า “องค์ชายช่างใจร้อนยิ่งนัก มิสู้พรุ่งนี้ท่านไปเยี่ยมเฟิ่งชิงเฉินเสียหน่อยดีหรือไม่”

หากมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเฟิ่งชิงเฉิน บางทีสิ่งต่างๆ อาจเปลี่ยนไป มู่เหลียวไม่ได้พูดคำนี้ แต่ทั้งสองต่างรู้ดีว่าตอนนี้เสด็จอาเก้าฟังคำพูดของเฟิ่งชิงเฉินเป็นอย่างมาก

“ไปเยี่ยมเฟิ่งชิงเฉินงั้นหรือ? ให้ข้าลดศักดิ์ศรีไปเยี่ยมเฟิ่งชิงเฉิน นางเป็นใครกัน คิดว่านางเป็นอาสะใภ้ของข้าแล้วหรืออย่างไร? เฮอะ… หากเสด็จอาเก้าจริงจังกับนางจริงๆ ก็คงจะไม่ปล่อยให้ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วเช่นนี้ หรือแม้กระทั่งปล่อยข่าวลือเพื่อทำลายความบริสุทธิ์ของนาง หากเขาใส่ใจนางจริงๆ ก็คงแต่งนางเข้าจวนไปแล้ว ตอนนี้ตำแหน่งพระชายาเก้าก็ว่างอยู่มิใช่หรือไง” ตงหลิงจื่อโจวโกรธเฟิ่งชิงเฉินมาก ยามปกติเป็นเพราะเขาเห็นแก่หน้าเสด็จอาเก้าจึงไม่กล้าแสดงความไม่พอใจออกมา ตอนนี้เมื่ออยู่ในที่ส่วนตัวมีหรือจะต้องเสแสร้งอีก

มู่เหลียวรู้ว่าจะต้องเป็นเช่นนี้ เขาจึงช่วยตงหลิงจื่อโจววิเคราะห์ให้เห็นว่าไม่ใช่เสด็จอาเก้าไม่ใส่ใจเฟิ่งชิงเฉิน แต่กลับเป็นเพราะเขาใส่ใจเฟิ่งชิงเฉินต่างหากจึงได้จงใจปล่อยข่าวเช่นนี้ออกไป ทำให้ผู้คนนึกว่าเสด็จอาเก้าทำเหมือนเฟิ่งชิงเฉินเป็นของเล่นของเขา เช่นนี้แล้วศัตรูของเสด็จอาเก้าก็จะไม่คิดที่จะใช้เฟิ่งชิงเฉินมาข่มขู่เสด็จอาเก้า

ตงหลิงจื่อโจวเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง สุดท้ายเขาก็กัดฟันรับคำหลังจากฟังคำเกลี้ยกล่อมของมู่เหลียวว่าจะไปเยี่ยมเฟิ่งชิงเฉินในวันพรุ่งนี้ แต่น่าเสียดายที่สองสามวันมานี้ เหล่าองค์ชายหลายคนถูกกักบริเวณจนอึดอัดและหาทางออกไม่ได้ พวกเขาจึงเบนความสนใจไปเฟิ่งชิงเฉิน

พวกเขารู้ดีว่าการจับกุมมือสังหารนั้นกลายเป็นเรื่องใหญ่มาก ดูเพียงผิวเผินเหมือนว่าตี๋ตงหมิงเป็นคนหาเรื่อง แต่ผู้อยู่เบื้องหลังที่แท้จริงคือเสด็จอาเก้า เพียงแค่เสด็จอาเก้าอนุญาต พวกเขาก็จะเป็นอิสระและหากต้องการให้เสด็จอาเก้ายอมอนุญาตก็ต้องไปขอให้เฟิ่งชิงเฉินไปช่วยพูด

องค์ชายอีกหลายคนเมื่อได้ยินว่าโจวอ๋องจะไปเยี่ยมเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ยอมน้อยหน้า พวกเขาเลือกไปในวันเดียวกัน ดังนั้นในวันที่สิบที่เฟิ่งชิงเฉินป่วยหนัก องค์ชายรองหย่งอ๋อง องค์ชายสามเหิงอ๋อง องค์ชายสี่ฉีอ๋อง องค์ชายห้าโจวอ๋อง องค์ชายหกชิงอ๋องและองค์ชายเจ็ดลั่วอ๋องล้วนไปที่จวนหลังเล็กในเขตตะวันตกเพื่อไปเยี่ยมคนป่วย

ตั้งแต่เฟิ่งชิงเฉินได้รับบาดเจ็บ ผู้คนที่มาเยี่ยมไข้ไม่เคยขาดสาย เมื่อไม่กี่วันก่อนเพราะเฟิ่งชิงเฉินยังไม่พ้นขีดอันตราย บางคนจึงส่งยารักษาโรคมาให้ ตั้งแต่นางฟื้นผู้คนที่มาเยี่ยมก็ทยอยกันมาอย่างไม่ขาดสาย

องค์รัชทายาทและเสด็จอาเก้ามีฐานะไม่ธรรมดา แน่นอนว่าพวกเขาไม่อาจมาได้ด้วยตนเอง บอกกับความแตกต่างระหว่างชายหญิงจึงไม่เหมาะที่จะมาเยี่ยมไข้ด้วยตนเอง ในจวนของพวกเขาก็ไม่มีนายหญิงจึงเพียงส่งพ่อบ้านเป็นตัวแทนมาเยี่ยมเท่านั้น

กลับเป็นฮูหยินของผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อโลหิต ฮูหยินของหนิงกั๋วกง ฮูหยินของหนิงกั๋วกงซื่อจื่อและจิ้นหยางโหวฮูหยิน นายหญิงของจวนเหล่านี้ล้วนมาด้วยตนเอง หรือแม้กระทั่งฮูหยินรองที่กำลังตั้งครรภ์จากตระกูลเซี่ยก็มาด้วยเช่นกัน เพียงแต่นางไม่ได้พบเฟิ่งชิงเฉินเท่านั้น

ยามที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังพักฟื้น ผู้ที่เข้าห้องนางมาได้มีเพียงซูเหวินชิง ตี๋ตงหมิงและซูเหวินหางเท่านั้น

คนอื่นๆ นั้นซุนซือสิงขวางเอาไว้ได้ แต่กลุ่มของเหล่าองค์ชายที่กำลังมา ไฉนเลยซุนซือสิงจะขวางพวกเขาได้ แต่หญิงชายย่อมแตกต่างกัน พวกเขาไม่อาจเข้าไปในห้องส่วนตัวของเฟิ่งชิงเฉินได้ ซุนซือสิงจึงจัดแจงพาคนกลุ่มใหญ่กลุ่มนี้ไปยังตำหนักใหญ่และกล่าวกับเหล่าองค์ชายว่า ” โปรดรอสักครู่พ่ะย่ะค่ะ รอให้อาจารย์ของข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมาที่นี่”

เมื่อเฟิ่งชิงเฉินได้ยินข่าวว่ามีเหล่าองค์ชายมาเยี่ยมนางด้วยตนเองก็ยิ้มเย็น นางรู้เจตนาของพวกเขาดี เพียงแต่องค์ชายเหล่านี้ประเมินนางสูงเกินไปแล้ว

เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ขึ้นเกี้ยว แต่เพียงเวลาชั่วก้านธูป เฟิ่งชิงเฉินก็เดินเข้ามาพร้อมสาวใช้ช่วยประคอง ตงหลิงจื่อลั่วนั่งอยู่ที่ปลายแถวตั้งตารอให้เฟิ่งชิงเฉินปรากฏตัว ตั้งแต่เฟิ่งชิงเฉินบาดเจ็บก็ไม่ได้ออกมาพบคนนอก ด้านนอกจึงมีข่าวลือว่านางเสียโฉมไปแล้ว

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจากนอกลานก็รีบหันไปมองทันที แต่กลับเห็นว่า…

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท