ต้องขอบอกว่าเฟิ่งชิงเฉินรู้จักเสด็จอาเก้าอย่างดี ในเรื่องนี้นางรู้ดีว่าคืนนี้เสด็จอาเก้าก็คงไม่ปล่อยนางไปง่ายๆ เนื่องจากโอกาสเช่นนี้หายากยิ่งนัก
นางไม่รู้ว่านี่เป็นครั้งที่สามหรือครั้งที่สี่ รู้เพียงว่ามันห่างจากครั้งแรกเนิ่นนานนัก เฟิ่งชิงเฉินเหงื่อออกไปท่วมกาย นางนอนอยู่บนร่างของเสด็จอาเก้าไม่อาจขยับได้แม้แต่ปลายนิ้ว
หลังจากออกกำลังกายอย่างหนักทำให้ร่างของนางมีเหงื่อออกมามากมาย ในตอนนี้นางเริ่มสร้างแล้ว ดวงตาอันริบหรี่มองไปทางเสด็จอาเก้าที่พักผ่อนอยู่ และนางเองก็เตรียมจะพักผ่อนเช่นกัน
ในวันพรุ่งนี้……อ้อ ไม่ใช่สิ เนื่องจากเลยเวลาเที่ยงคืนมาแล้วควรจะเรียกว่าวันนี้ ในวันนี้นางจะมีการแข่งขันศิลปะการต่อสู้เป็นการขี่ม้าและยิงธนู แต่เนื่องจากม้าของซูหว่านยังมาไม่ถึงจึงต้องถูกเลื่อนไปประมาณสองวัน
หลังจากที่ผ่านช่วงเวลาอันดุเดือดมาแล้ว เฟิ่งชิงเฉินอ่อนโยนและเชื่อฟังยิ่งนัก เสด็จอาเก้าชื่นชอบเฟิ่งชิงเฉินที่เป็นเช่นนี้มาก มือใหญ่ของเขาเคลื่อนลงไปด้านล่าง แล้วสัมผัสลูบไปที่บริเวณแผ่นหลังของนางเบาๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นการสื่อถึงความรักหลังจากเสร็จกิจ
เฟิ่งชิงเฉินต้องการจะบอกกับเสด็จอาเก้าว่าอย่าลูบไล้ไปเรื่อย แต่นางเหนื่อยเกินกว่าที่จะกล่าว จึงทำได้เพียงส่งเสียงครวญครางออกมาเป็นการตักเตือน
“ยังต้องการอีกหรือ?” แม้จะรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินเหนื่อยมากแล้วแต่เสด็จอาเก้าก็ยังแกล้งนาง มือใหญ่ไถลลงไป จนกระทั่งถึงสะโพกของนาง นิ้วของเขาเคลื่อนไปมาระหว่างต้นขาราวกับว่าจะเริ่มทำมันอีกครั้ง
เฟิ่งชิงเฉินชำแลตามองดูเสด็จอาเก้าด้วยความขุ่นเคืองใจ นางตบมือของเสด็จอาเก้าออกแล้วบอกว่า “เจ้าไม่อยากให้ข้าตายอยู่บนเตียงใช่หรือไม่?”
นางคิดว่าตนเองค่อนข้างแข็งแรง แต่เมื่อเทียบกับเสด็จอาเก้าแล้วช่างห่างไกลกันเหลือเกิน อย่างน้อยเรื่องราวตอนอยู่บนเตียงนางก็ดูแย่กว่าเสด็จอาเก้าไม่น้อย
เสด็จอาเก้าปล่อยมือออกอย่างเชื่อฟังแล้วโอบเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้แน่น ไม่มีช่องว่างระหว่างทั้งสองคน “ข้ายอมตายเองดีกว่าปล่อยให้เจ้าตาย ข้าจะปล่อยให้เจ้านอนตายอยู่บนเตียงด้วยความเหนื่อยล้าได้อย่างไร อย่างมากก็เพียงทำให้เจ้าไม่อาจลงจากเตียงได้สองสามวัน คำนวณจากเวลาแล้วเรายังสามารถทำได้อีกสองสามครั้ง”
“ตงหลิงจิ่ว เจ้าจริงจังหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกตกใจ ชายที่ถูกนางนอนทับอยู่นี้ดูเหมือนจะมีเรี่ยวแรงที่ใช้อย่างไม่รู้จักจบ และนางเชื่อว่าเสด็จอาเก้าสามารถทำเช่นนั้นได้
“แน่นอนสิว่าข้าพูดจริง ครั้งหน้าไม่รู้ว่าเป็นเมื่อไหร่ ข้าจะไม่เติมเต็มให้เจ้าอิ่มเอมหรือ” เสด็จอาเก้ากล่าวด้วยน้ำเสียงดูจริงจัง ท่าทางของเขาราวกับกำลังกล่าวถึงเรื่องราวระดับประเทศ
“ให้ข้าอิ่มเอมงั้นหรือ ทั้งที่เป็นเจ้าที่หิวโหยราวกับหมาป่า ป้อนอย่างไรก็ไม่เพียงพอ” นางใช้กำปั้นชกไปที่เสด็จอาเก้า แต่เรี่ยวแรงของนางเทียบกับร่างกายของเสด็จอาเก้าแล้วนั้นดูเหมือนกับเพียงแค่การขีดข่วน
เสด็จอาเก้าหัวใจสั่นไหว เขาพลิกตัวแล้วกดเฟิ่งชิงเฉินไว้ด้านล่าง “เจ้าพูดได้ถูกแล้ว ข้าเปรียบเสมือนหมาป่าผู้หิวโหย จะให้อาหารอย่างไรก็ไม่เพียงพอ ดังนั้นชีวิตนี้เจ้าอย่าได้หนีไปไหน”
เขาให้คำมั่นสัญญาแล้วว่าจะอยู่กับนางไปทั้งชีวิต แต่น่าเสียดายที่เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้สึกจริงจังกับมัน
ตอนที่เขากล่าว ท่อนล่างของเขาก็เสียดสีไปกับบริเวณอ่อนนุ่มของเฟิ่งชิงเฉิน ทำท่าทางเหมือนจะปฏิบัติมันอีกครั้งหนึ่ง เฟิ่งชิงเฉินตกใจเสียจนต้องรีบร้องขอ “อย่า อย่าเพคะ เสด็จอาเก้า หม่อมฉันผิดไปแล้ว หม่อมฉันกล่าวผิดไป ได้โปรดเถิด อย่าได้ทำต่อเลย ในวันนี้หม่อมฉันยังมีการแข่งขันอีก หากจะทำต่ออีกครั้งคงต้องเหนื่อยตายแน่นอน อีกอย่าง มันเจ็บยิ่งนัก…… บริเวณนั้นมันเจ็บยิ่งนัก จะทำต่ออีกคงไม่ได้ ครั้งหน้าครั้งหน้าจะทำการชดเชยให้ ได้หรือไม่ถือเสียว่าเป็นการติดค้างกันไว้……”
มือของเฟิ่งชิงเฉินสัมผัสไปที่ทรวงอกของเสด็จอาเก้า นางหุบขาแน่น แต่ดูเหมือนกับว่าเมื่อถูกอ้าออกเป็นเวลานานขาของนาง ไม่อาจปิดสนิทได้ดี
“ครั้งหน้าคือครั้งหน้า ครั้งนี้คือครั้งนี้ เฟิ่งชิงเฉินเจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าการติดหนี้มากเกินไปจะชำระได้ยาก” เสด็จอาเก้ายังคงไม่ปล่อย ยืนกรานที่จะ แยกขาเฟิ่งชิงเฉินออก เมื่อพบบริเวณจุดอ่อนเต็มไปด้วยเมือกและแดงเรื่อบวมเป่ง เสด็จอาเก้าจึงได้รู้ว่าวันนี้เขาทำเกินไปหน่อย ไม่ใช่ว่าหลายครั้ง แต่เป็นเพราะแต่ละครั้งนั้นช่างนานเหลือเกิน วันนี้เขาคงไม่อาจทำต่อได้จริงๆ ไม่อย่างงั้นเฟิ่งชิงเฉินคงจะได้รับบาดเจ็บ
แต่……เรื่องนี้จะว่าเขาก็ไม่ได้ ใครให้เฟิ่งชิงเฉินปล่อยให้เขาหิวโหยอยู่ถึงสองเดือน กว่าจะมีโอกาสไม่ใช่เรื่องง่าย เขาจะต้องทบต้นทบดอกให้สาสม
“หึ……หากเจ้ายังทำอีกครั้งในอนาคตอย่าหวังว่าจะได้ปีนี้ขึ้นมาบนเตียงข้า” ในเมื่อไม้อ่อนไม่ได้ต้องใช้ไม้แข็ง เฟิ่งชิงเฉินโมโหจนเงยหน้าขึ้น ลำคออันขาวผ่องของนางเงยขึ้นปรากฏอยู่ตรงหน้าเสด็จอาเก้า และก้อนเนื้ออ่อนนุ่มบริเวณทรวงอกก็ตั้งขึ้นเช่นกัน
เสด็จอาเก้ากลืนน้ำลายเขาเล็กน้อยแล้วบังคับให้ตนเองหลับตาไม่กล้ามอง เขากลัวว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเฟิ่งชิงเฉินเช่นนี้ การควบคุมตนเองของเขามันช่างยากเหลือเกิน
“อืมข้าไม่ทำแล้วก็ได้ ถือว่าเจ้าติดหนี้ข้าไว้และครั้งหน้าจะต้องชดใช้คืน เพียงแต่ หากเจ้าไม่ให้ข้าทำต่อก็ควรให้ข้าได้ลิ้มรสหอมหวานสักหน่อย” เห็นได้ชัดว่าเสด็จอาเก้าได้คืบจะเอาศอก
เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ตนเองหรอกว่าเมื่อตอนที่นางกล่าวว่าจะชดใช้ให้ เสด็จอาเก้าดีใจเสียแทบกระโดดโลดเต้นขึ้น ประโยคนี้ของเฟิ่งชิงเฉินหมายความว่านับจากนี้เวลาที่เขากับเฟิ่งชิงเฉินจะใช้ช่วงเวลาดีๆ ด้วยกัน เขาไม่จำเป็นจะต้องทำตัวลับล่อแล้ว เพราะการทำเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย
“อืมเพียงแค่เจ้าไม่ทำมันอีกครั้ง อะไรก็ได้” เฟิ่งชิงเฉินเอื้อมมือปลายเกี่ยวคอของเสด็จอาเก้าเอาไว้แล้วกล่าว
“เจ้าพูดเองนะ จะกลับคำไม่ได้” ใบหน้าของเสด็จอาเก้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม ไม่ใช่ว่าเขาเกิดมาพร้อมกับใบหน้าอันเยือกเย็นดุจภูเขาน้ำแข็ง เพียงแต่ในชีวิตของเขานี้ไม่มีสิ่งใดที่หน้ายิ้มแย้ม และเฟิ่งชิงเฉินเป็นเพียงคนเดียวที่ทำให้เขายิ้มออกมาจากภายในได้
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า “ข้าสัญญาว่าข้าจะไม่กลับคำ ผู้ใดกลับคำเป็นคนต่ำต้อย”
เป็นจริงดังนั้น หลังจากที่ได้สื่อสารกันทางร่างกายจิตใจของพวกเขาก็สื่อสารกันง่ายขึ้น ในวันนี้เสด็จอาเก้าซึ่งพูดง่ายและอ่อนโยน ทำให้นางรู้สึกจมดิ่งลงไปอยู่ในความอ่อนโยนของเขา โดยไม่อาจถอนตัวขึ้นได้
“อืมช่วยเติมความอ่อนหวานให้แก่ข้าหน่อย เฟิ่งชิงเฉินเจ้าจงพูดว่าเจ้ารักข้า” เสด็จอาเก้าเกลี้ยกล่อมนางเพื่อคลายความกังวล เขาโอบเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้ในอ้อมแขน มือของเขานวดไปที่เอวของนางซึ่งเหนื่อยล้าอย่างเบาๆ เฟิ่งชิงเฉินผ่อนคลายเสียจนส่งเสียงครางออกมาเล็กน้อย ดวงตาลงุนงงดูเหมือนกำลังจะผล็อยหลับไป
“ไม่” ดูเหมือนเฟิ่งชิงเฉินจะได้สติกลับคืนมา นางลืมตาขึ้นสบตากับเสด็จอาเก้า
“เจ้าบอกข้าว่าจะชดเชยให้แก่ข้า และจะไม่กลับคำ” เสด็จอาเก้าดึงผ้าห่มเข้ามาแล้วคลุมไปที่ร่างของทั้งสองคน ในใจเขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เสด็จอาเก้า ข้าชอบเจ้า
ก่อนหน้านี้เฟิ่งชิงเฉินเคยกล่าวเช่นนี้กับเขาแต่เขากลับไม่สนใจมัน ในตอนนี้ที่เขาอยากฟังนางก็ไม่เอ่ยให้ฟังแล้ว
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ “ข้ากล่าวแล้วว่าผู้ใดกลับคำเป็นคนต่ำต้อย ถ้าเช่นนั้นถือว่าข้าเป็นคนต่ำต้อยเถิด”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าเองก็กลับคำได้เช่นกัน เพราะข้าก็ไม่ได้อยากเป็นสุภาพบุรุษ” สุภาพบุรุษนั่นคือหวังจิ่นหลิง สิ่งที่เป็นตัวกำหนดว่าหวังจิ่นหลิงจะไม่ได้เฟิ่งชิงเฉินไว้ในครอบครองนั่นก็เพราะเขาเป็นสุภาพบุรุษเกินไป
“อย่าๆ ข้ากล่าวก็ได้” เฟิ่งชิงเฉินกลัวเหลือเกินว่าเสด็จอาเก้าจะได้คืบเอาศอก
“อืม รีบกล่าวเร็วเข้า” เสด็จอาเก้ากลั้นหายใจเข้า พยายามทำให้ตนเองกลับคืนสู่ความสงบ ไม่ให้เฟิ่งชิงเฉินถึงความเห็นถึงความกังวลใจของเขา
เขาอยากฟังประโยคนี้มาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกวันที่ตื่นขึ้นเฟิ่งชิงเฉินจะอยู่บนเตียงของเขาแล้วบอกว่า นางรักเขา
“เอ่อคือ เจ้าพูดก่อนสิ” เฟิ่งชิงเฉินใบหน้าแดงเรื่อ ครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพราะความเหนื่อยล้า แต่เป็นเพราะนางเขินอาย ก่อนหน้านี้นางก็เคยบอกรักเขามาก่อน แต่ไม่ได้เป็นเช่นสถานการณ์ดังนี้ นางไม่มีความกล้าพอดังเช่นเมื่อก่อน
“เฟิ่งชิงเฉิน ข้าชอบเจ้า ชอบเจ้ายิ่งนักชอบเหลือเกิน” เสด็จอาเก้าไม่ทำให้เฟิ่งชิงเฉินผิดหวังจริงๆ เขากล่าวออกมาด้วยท่าทางจริงจัง แววตานั้นราวกับให้คำสัญญาถึงนิจนิรันดร์
เฟิ่งชิงเฉินหัวใจเต้นรัว ดวงตาของนางกะพริบด้วยความตื้นตัน ในที่สุด ในที่สุดนางก็ได้ยินคำนี้แล้ว นางรอมาเนิ่นนานเนินนางมากเหลือเกิน กว่าจะได้รับมัน!