นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 528 การเยาะเย้ย เสด็จอาเก้าไม่ง่ายเลยจริงๆ
ในขณะรับประทานอาหารเช้าเฟิ่งชิงเฉินพบว่า ซุนซือสิง ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยี ไม่อยู่ เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้เรียกหาพวกเขา นางรับประทานอาหารอย่างเงียบๆ นางรู้ว่าเสด็จอาเก้าทำเพื่อค่ำคืนก่อนด้วยความยากลำบาก
ขณะที่นางกำลังจะออกจากจวน จวนตระกูลซูก็ส่งองครักษ์มาให้ เฟิ่งชิงเฉินได้แต่ยิ้มรับ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ บางสิ่งที่เสด็จอาเก้าพยายามทำก็อาจจะเล็ดลอดได้เป็นธรรมดา
สำหรับบททดสอบต่อมา เป็นการตัดสินใจระหว่างนางและซูหว่าน มีคนไม่มากรู้เรื่องนี้ โชคดีที่นางไม่ถูกล้อมรอบไปด้วยผู้คน
นางเดินไปตามถนน ระหว่างเดินได้ยินคนที่เดินผ่านไปมาพูดถึงการแข่งขันของนางและซูหว่าน อย่างไรก็ตาม นี่เป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ และแม้กระทั่งหลังจากผ่านไปสองเดือนความพยายามก็ยังคงไม่ลดละ
เมื่อนึกถึงการเดิมพัน เฟิ่งชิงเฉินก็ยิ้ม แม้ว่ากากรเดิมพันของนางจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ก็ยังมีมากพอสมควร ด้วยเงินเดิมพันนี้ นางจะย้ายกลับไปที่จวนเฟิง ชีวิตของนางก็จะไม่ยากเกินไป และนางสามารถสร้างสุสานให้พ่อกับแม่ได้…
ทันทีที่มาถึงพระราชวัง เฟิ่งชิงเฉินก็ถูกพาไปที่โรงเลี้ยงสัตว์หลวง โดยผู้ที่พาไปบอกว่าวันนี้มีการแข่งขันอยู่ที่นั่น
“โรงเลี้ยงสัตว์หลวง? วันนี้การแข่งขันควรอยู่ที่สนามศิลปะการต่อสู้ไม่ใช่หรือ? เป็นไปได้ไหมว่าการแข่งขันวันนี้คือการยิงธนู ? เฟิ่งชิงเฉินดูงุนงงและให้ขันทีนำกระเป๋าเงินไปให้โดยรอคำตอบ
ไม่มีเงินก็ทำอะไรไม่ได้!
ขันทีชั่งน้ำหนักกระเป๋าแล้วยิ้มอย่างพอใจ ทุกคนบอกว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นเจ้านายที่ใจดี ก็เป็นอย่างที่คิดไว้ เมื่อวานเขาบีบคั้นคนห้าคนให้ช่วยสืบข่าวสารเพื่อให้เฟิ่งชิงเฉินมีโอกาสเป็นผู้นำ
“คุณหนูเฟิ่ง อย่ากังวลไป ยังเป็นการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ แต่ตระกูลซูกังวลว่าทั้งสองฝ่ายจะมีการแสดงที่ละเอียดอ่อน หากอยู่ในระหว่างต่อสู้ คงจะแย่หากพบว่าทำพลาดโดยไม่ได้ตั้งใจ” ตระกูลซูหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจักรพรรดิจะให้ประลองโดยวิธีอื่น หากไม่ได้ ตระกูลซูก็จะไม่แข่งขัน การสืบข่าวของขันทีนี้สมกับเงินที่เฟิ่งชิงเฉินให้ เพราะข่าวสารเหล่านี้ไม่ใช่ข่าวสารที่คนทั่วไปจะสืบมาได้
“เช่นนั้นเอง ขอบคุณกงกง”
ตระกูลซูคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินจะใช้การแข่งขันศิลปะการต่อสู้ทำลายชื่อเสียงซูหว่าน ซึ่งสาเหตุก็มาจากการแข่งขันที่ตระกูลซูกำหนด ตระกูลซูจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะชดใช้
“คุณหนูเฟิ่ง เกรงใจเกินไปแล้ว… อ้อ มีอีกเรื่อง ข้าน้อยได้ยินว่าซูหว่านซิ่วจะเข้าพบราชินีและกุ้ยเฟยในวังเพื่อหาความดีความชอบ” นี่คือการซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง เงินของเฟิ่งชิงเฉินนั้นคุ้มค่าต่อการใช้จ่าย
“กงกงลำบากแย่เลย วันหลังข้าขอเชิญกงกงมาดื่มไวน์ที่จวนเฟิ่งของข้า” เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าขันทีบอกกับนางเรื่องนี้ เขาต้องมีวัตถุประสงค์อื่น แต่เฟิ่งชิงเฉินไม่พูดต่อ
“ขอบคุณคุณเฟิ่ง เพียงแต่ว่ามันไม่ง่ายที่จะออกจาหวัง หากคุณเฟิ่งสะดวก ข้าขอรบกวนให้ช่วยบอกพระสนมด้วย ข้าน้อยแซ่หลิน นามว่าคุน”
“อ้อ ท่านคือหลินกงกง ข้าจะจำชื่อท่านไว้” ข้าจะส่งสารถึงพระสนม ส่วนพระสนมจะอนุญาตหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพระสนมเอง
เฟิ่งชิงเฉินพบว่าผู้คนในวังนี้เหนื่อยมาก และพวกเขาทั้งหมดก็ต้องฝ่าฟันเพื่อให้ได้มาซึ่งคำชมเชย เสด็จอาเก้าเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาปรับอารมณ์ที่น่าอึดอัดใจเช่นนั้นได้
ในสถานที่นี้ คนกินคน ไม่สามารถแสดงความรู้สึกที่แท้จริง และไม่อาจไว้ใจได้ เสด็จอาเก้า ทำงานหนักเฟิ่งชิงเฉินเข้าใจถึงความเฉยเมยของเสด็จอาเก้าต่อเหตุการณ์ต่างๆในวัง คนที่โตมาในวังนั้นไม่ง่ายที่จะเชื่อใจใคร
หลังจากข้อตกลงเสร็จสิ้น เฟิ่งชิงเฉินและขันทีหลินก็ไม่ได้สนทนาอะไร มีเพียงความสนใจระหว่างคนทั้งสองและพวกเขาไม่อาจสนใจคนอื่นได้ นอกจากนี้การพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องในวังต้องระวังอย่างมาก
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินมาถึงโรงเลี้ยงสัตว์หลวง นางพบว่าซูหว่านรออยู่ที่นั่นแล้ว ซูหว่านสวมชุดสูทสีดำ ถือแส้สีแดงอยู่ในมือ ดวงตาของนางเฉียบแหลมและกล้าหาญ ซึ่งสร้างความแตกต่างจากปกติอย่างมาก
เมื่อซูหว่านเห็นเฟิ่งชิงเฉิน นางไม่ได้ซ่อนความเกลียดชังในดวงตาได้ และถึงกับหันหน้ากลับอย่างจงใจ ราวกับว่านางไม่เห็นเฟิ่งชิงเฉิน
เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่โกรธนาง พร้อมกับกล่าวทักทาย “ซูหว่านซิ่ว ไม่เจอกันนานเลยนะ”
“เป็นเวลานานมากแล้ว เห็นเจ้าปลอดภัยดี ข้าก็สบายใจ” ซูหว่านหันกลับมา ดวงตาของนางจับจ้องไปที่รอยตื้นๆ ที่คอของเฟิ่งชิงเฉิน และพูดอย่างเย้ยหยัน
เฟิ่งชิงเฉินได้รับบาดเจ็บในช่วงเวลาที่สำคัญของการแข่งขันทางการแพทย์ และทุกคนสงสัยว่าตระกูลซูเป็นผู้บงการ ในช่วงเวลาที่เฟิ่งชิงเฉินฟื้นตัว ซูหว่านก็ถูกดูถูก และตระกูลซูได้รับการกีดกันมากมาย
แต่ทั้งตระกูลซูและนางไม่สามารถอธิบายได้ เพราะเฟิ่งชิงเฉินไม่เคยพูดว่าฆาตกรคือตระกูลซู หากตระกูลซูต้องการลุกขึ้นสู้ พวกเขาต้องหาหลักฐานมาแก้ตัว
เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่ต่อหน้านางด้วยรอยยิ้ม จะมีหรือที่นางไม่โกรธ?
“ขอบคุณ ซูหว่านซิ่วที่เป็นห่วง โชคร้ายที่ยังจับฆาตกรไมได้ หากฆาตกรถูกจับได้ เราทุกคนก็สบายใจ” เฟิ่งชิงเฉินยังบอกเป็นนัยกับซูหว่านว่าหากจับฆาตกรไม่ได้ในวันเดียว
“คนที่สะอาดต้องทำความสะอาดตัวเอง คนที่ขุ่นมัวก็ขุ่นมัวตามสิ่งที่ตัวเองเป็น เชื่อว่าพระเจ้ายุติธรรม และจะไม่ปล่อยให้คนเลวหนีไปได้” ซูหว่านสูดหายใจแล้วเดินกลับ นางไม่ยินดีที่จะคุยกับเฟิ่งชิงเฉินมาไปกว่านี้
ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างนางสองคนไม่มีอีกแล้ว แต่ในที่สาธารณะ พวกเขาแสดงความหน้าซื่อใจคดต่อกัน
เฟิ่งชิงเฉินนั่งอยู่ข้างๆ อย่างเฉยเมย รอให้ผู้ตัดสินวันนี้ปรากฏ นางไม่เคยถือว่าซูหว่านเป็นคู่ต่อสู้ ซูหว่านเป็นเพียงคนชักนำ และคู่ต่อสู้ของนางคือหนานหลิงจิ่นฝาน
สี่ชั่วโมงต่อมา คณะลูกขุนห้าคนนำโดยองค์ชายปรากฏตัว องค์ชายซีหลิงเทียนเหล่ย ตงหลิงจื่อลั่ว เย่เย่ และคุณชายหยวนซ๊
การปรากฏตัวของของเย่เย่ทำให้เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจว่าเขามาแทนที่หนานหลิงจิ่นฝาน แต่เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกประหลาดใจกับการปรากฏตัวของหยวนซี เขามาที่นี่ได้อย่างไร?
น่าเสียดายที่ไม่มีใครช่วยเฟิ่งชิงเฉิน หลังจากเห็นองค์ชายและคนอื่นๆนั่งลงในที่นั่งของพวกเขา มีเพียงตงหลิงจื่อลั่ว เท่านั้นที่เดินช้าลง และเหลือบมองที่คอของเฟิ่งชิงเฉิน ที่คอนางมีเพียงรอยเล็กน้อยที่ และเขาก็ยิ้มแล้วพูดคำเดียวกับซูหว่าน: “ชิงเฉิน เมื่อเห็นว่าเจ้าปลอดภัยดีแล้ว ข้าก็วางใจ”
เฟิ่งชิงเฉินกระพริบตา และปกปิดความรังเกียจในดวงตาของนาง แน่นอนว่า บรรดาผู้เกลียดชังต่างก็พูดในสิ่งเดียวกัน เฟิ่งชิงเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “องค์ชายจื่อลั่ว ข้ามีเสด็จอาเก้าอยู่เคียงข้าง แน่นอนว่าต้องดีขึ้น”
เฟิ่งชิงเฉินจงใจพูดถึงเส็ดอาเก้าเพียงเพื่อทำให้ตงหลิงจื่อลั่วรังเกียจ และแน่นอนว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของตงหลิงจื่อลั่วก็หายใป ดังนั้นเขาจึงฝืนยิ้ม “ชิงเฉิน ตอนนี้อาการบาดเจ็บของเจ้าสามารถรักษาให้หายได้ มันควรจะเป็นความดีความชอบของประมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยี”
“ผิดแล้ว แม้ว่าประมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีรักษาข้า แต่ถ้าไม่มีเสด็จอาเก้า ปรมารจารย์แห่งหุบเขาซวนยีจะรักษาข้าได้อย่างไร” ตงหลิงจื่อลั่วกังวลเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของนาง แต่เขาไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากพูดถึงมัน
กลับกันเสด็จอาเก้าไม่ได้พูดอะไร แต่หลังจากเกิดเหตุ เขาได้เชิญ ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีมาโดยเร็วที่สุด เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ดูถูกตงหลิงจื่อลั่ว แต่นางเปรียบเทียบสถานะของเสด็จอาเก้าและตงหลิงจื่อลั่ว…..