นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 542 ทำอาหาร วิถีชีวิตธรรมดาสามัญ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 542 ทำอาหาร วิถีชีวิตธรรมดาสามัญ

คนทั่วไป เมื่อถูกจ้องมองเช่นนี้แล้วก็ต้องรู้สึกทำตัวไม่ค่อยถูก เฟิ่งชิงเฉินก็เช่นกัน ตอนที่นางอยู่บนรถม้าก็เคยถูกเสด็จอาเก้าจ้องมองจนหัวใจเต้นแรง ส่วนเสด็จอาเก้านั้น?

นอกจากแค่เหลือบมองเฟิ่งชิงเฉินเพียงครั้งเดียวก็ไม่มีท่าทีใดๆอีก เขายังคงทานอาหารไปเรื่อยๆ ราวกับว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นอากาศ

แต่เมื่อสังเกตดูดีๆแล้ว ลักษณะการทานอาหารของเสด็จอาเก้านั้นดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไรนัก เหมือนเขากำลังแสดงอะไรบางอย่าง น่าเสียดายที่เฟิ่งชิงเฉินดูไม่ออก

เฟิ่งชิงเฉินหงุดหงิดเล็กน้อย คำพูดไร้เสียงของนางเมื่อครู่นี้ยังทำให้เขาหน้าแดงได้เลย แต่ทำไมเมื่อนางนั่งจ้องเขา เขากลับทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลย

เฟิ่งชิงเฉินไม่ละความพยายาม นางเอียงคอแล้วทำตาหวานให้เสด็จอาเก้า ใบหน้าที่เบิกบานของนางเหมือนกำลังสื่อว่าการจ้องมองเสด็จอาเก้าทานอาหารเป็นเรื่องที่ทำให้นางมีความสุขเหลือเกิน

นางไม่เชื่อหรอกว่าเสด็จอาเก้าจะไม่รู้สึกอะไรเลย

น่าเสียดายนัก ไม่รู้ว่าเสด็จอาเก้าเข้าใจผิด หรือการส่งสายตาหวานเยิ้มของเฟิ่งชิงเฉินเกิดข้อผิดพลาด เสด็จอาเก้าไม่เพียงแต่มีสีหน้าปกติ แต่ท่าทางการรับประทานของเขากลับดูสง่างามมากขึ้นกว่าเดิมด้วย ทำราวกับว่าอาหารในชามน่าดึงดูดใจมากกว่าเฟิ่งชิงเฉิน

เฟิ่งชิงเฉินชอบมองเขาทานข้าว เช่นนั้นเขาก็จะค่อยๆทาน ให้เฟิ่งชิงเฉินจ้องมองจนหนำใจไปเลย!

และแล้วเขาก็ทานข้าวหมดชาม เฟิ่งชิงเฉินถึงกับต้องถอดใจ สองมือของนางเท้าคางไม่ไหวแล้ว นางจึงฟุบหน้าลงกับโต๊ะแล้วกล่าวอย่างไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง “เสด็จอาเก้า อาหารของโรงเลี้ยงสัตว์หลวงอร่อยมากเลยใช่หรือเปล่า?”

เจ้าถามข้าแบบนี้มันทำให้ข้าเข้าใจผิดได้นะ เจ้ามาเพราะเรื่องอาหารของโรงเลี้ยงสัตว์หลวง ไม่ได้มาเพราะเรื่องของข้าหรือ

“ใช่แล้ว ทำไมล่ะ ไม่ถูกปากเจ้าหรือ” เสด็จอาเก้ามองดูชามข้าวที่ว่างเปล่าของนางแล้วทำท่าสงสัย เขาเห็นนางทานอย่างรวดเร็วและเอร็ดอร่อย ไม่มีทางที่จะไม่ถูกปากนาง

“ก็พอใช้ได้นะ ข้าเป็นคนไม่เลือกกินอยู่แล้ว” ให้นางทานอาหารแห้งทุกวันเป็นเวลาครึ่งเดือนนางก็ยังทานได้ แล้วนับประสาอะไรกับอาหารสดใหม่ที่กำลังร้อนๆ สิ่งใดที่ทานแล้วอยู่ท้องและให้พลังงานนางก็ทานได้ทั้งนั้น

“ไม่มีของที่ชอบกินเป็นพิเศษเลยหรือ?” เสด็จอาเก้าตั้งคำถามเพราะอยากหาโอกาสเอาใจนาง เผื่อจะได้หันไปลงทุนด้านเสื้อผ้าอาภรณ์และอาหารการกินบ้าง

เฟิ่งชิงเฉินนั่งนึกอยู่สักครู่ ผลสุดท้ายก็ส่ายหน้า “ไม่มี”

“แล้วของที่ไม่ชอบกินล่ะ?” เสด็จอาเก้าแอบดีใจอยู่ไม่น้อย วิเศษไปเลย ไม่เรื่องมากเรื่องอาหารการกิน แบบนี้สิเลี้ยงง่าย

“ไม่มี” สำหรับนางแล้ว เรื่องอาหารการกิน นางดูแค่เพียงเรื่องคุณค่าสารอาหาร ไม่ดูเรื่องชอบกินหรือไม่ชอบ แต่ทว่า……

จู่ๆเฟิ่งชิงเฉินก็ตาเป็นประกาย ดูมีชีวิตชีวาขึ้นทันที นางเงยหน้าแล้วถามเขาไปว่า “เสด็จอาเก้า ท่านว่า ถ้าได้กินอาหารฝีมือของคนที่เราชอบ มันจะอร่อยเป็นพิเศษหรือเปล่า?”

อาหารฝีมือเฟิ่งชิงเฉินงั้นหรือ?

เสด็จอาเก้าพลันตาเป็นประกาย เขาก้มหน้ามองโต๊ะ แล้วจินตนาการว่าอาหารบนโต๊ะล้วนเป็นอาหารฝีมือเฟิ่งชิงเฉิน หากเป็นเช่นนั้นจริงเขาจะทานให้หมดเลย

เสด็จอาเก้าค่อยๆพยักหน้า “แน่นอน”

เฟิ่งชิงเฉินจะทำอาหารให้เขาทานหรือนี่? เสด็จอาเก้าพลันสดใสขึ้นมาในทันใด

เสด็จอาเก้าไม่ยักรู้เลยว่าเฟิ่งชิงเฉินจะทำอาหารเป็นด้วย เขาแทบรอไม่ไหวที่จะกลับไปที่เรือนเล็กซีชวีพร้อมกับเฟิ่งชิงเฉิน ให้นางทำอาหารให้เขาทาน ตอนนี้เขายังสามารถทานข้าวได้อีกตั้ง 3 ชาม

“ถ้าได้กินอาหารฝีมือของคนที่เราชอบ สงสัยจะได้กินข้าว 2 ชามแน่ๆเลย” เฟิ่งชิงเฉินยิ้มตาหยีให้เสด็จอาเก้า เสด็จอาเก้าเป็นคนเฉลียวฉลาด คงเข้าใจในสิ่งที่นางพูด

เมื่อนึกภาพเสด็จอาเก้าคนที่หน้านิ่งๆสวมผ้ากันเปื้อนยืนล้างผักหั่นผักอยู่ในครัว เฟิ่งชิงเฉินก็อดยิ้มไม่ได้

วิถีชีวิตธรรมดาสามัญ เสด็จอาเก้าคงไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน

“ข้าจะกินให้หมดเลยล่ะ” เสด็จอาเก้ากล่าว ไม่ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะทำอาหารออกมาเยอะแค่ไหน รสชาติเป็นอย่างไร เขาจะทานให้หมดทุกอย่างเลย

เฟิ่งชิงเฉินนิ่งไปพักหนึ่ง เสด็จอาเก้าไม่ได้เข้าใจผิดใช่ไหม ในขณะที่นางกำลังจะเอ่ยปาก พลันมีองครักษ์มาแจ้งว่า “เสด็จอาเก้า แม่นางเฟิ่ง คุณหนูซูหว่านฟื้นแล้ว นางกำลังอาละวาด นางบอกว่าต้องการพบเสด็จอาเก้าและแม่นางเฟิ่งพ่ะย่ะค่ะ”

เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินมองหน้ากันแล้วต่างฝ่ายต่างยิ้ม การแสดงแสนสนุกหลังมื้ออาหารได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

“ไป เราไปกันเถอะ”

และแล้วการสนทนาของเฟิ่งชิงเฉินกับเสด็จอาเก้าก็จบลงเพียงเท่านี้ หลังจากนั้น เสด็จอาเก้าก็นั่งรอยืนรอ แต่ก็ยังไม่เห็นอาหารฝีมือเฟิ่งชิงเฉินมาเสียที เขาทั้งหงุดหงิดและเป็นกังวล หรือว่าการทำอาหารจะยากเกินไปจนเฟิ่งชิงเฉินทำไม่ได้ ด้วยเหตุนี้……

เสด็จอาเก้าจึงไปดูที่ครัวด้วยตัวเอง บรรดาบ่าวไพร่ต่างขวัญหนีดีฝ่อ พวกเขาเข้าใจว่าอาหารจากห้องครัวมีปัญหา ทำให้ท่านอ๋องไม่โปรดปราน

แต่เสด็จอาเก้าก็กล่าวสั้นๆว่า “ไม่มีอะไรหรอก พวกเจ้าทำงานต่อไปเถอะ” แต่เขาก็ยังคงยืนที่เดิมไม่ไปไหน

เสด็จอาเก้าหลบไปยืนอยู่อีกทาง เพื่อไม่ให้ขวางทางคนทำงาน แต่ไม่รู้เป็นเพราะเขายืนอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า ผู้คนที่ทำงานอยู่ในครัวจึงไม่มีสมาธิทำงาน แต่ในเมื่อเจ้านายออกคำสั่งให้ทำงานกันต่อไป จะให้พวกเขาหยุดทำงานก็ไม่ได้ และจะให้เจ้านายเห็นพวกเขาอู้งานก็ไม่ได้ ดังนั้น บ่าวไพร่ในห้องครัวจึงขะมักเขม้นล้างผักหั่นผักกันต่อไป

แต่ละคนก็อยากอวดฝีมือ แต่เพราะความกดดัน ทำให้ผลลัพธ์ออกมาไม่น่าดู

หญิงสาวที่แผนกชำระล้างเกิดพลั้งมือขึ้นมา นางถูกเงี่ยงปลาขูดมือจนเลือดสดๆแดงฉานเต็มไปหมด เสด็จอาเก้ารู้สึกเจ็บปวดมาก เมื่อต้องนึกภาพเงี่ยงปลาขูดมือเฟิ่งชิงเฉิน เขาบอกกับตัวเองว่า หากให้เฟิ่งชิงเฉินทำอาหาร จะไม่ให้นางทำปลาเด็ดขาด ประเดี๋ยวมือนางจะบาดเจ็บ

เด็กหนุ่มที่กำลังหั่นผัก เขาอยากอวดทักษะการใช้มีดของตนเองให้เสด็จอาเก้าได้เห็น แต่เนื่องจากเขาเร่งรีบเกินไป จึงหั่นนิ้วหัวแม่มือของตัวเองเข้าอย่างจัง เสด็จอาเก้ารีบหลับตา หากให้เฟิ่งชิงเฉินทำอาหาร ห้ามให้นางหั่นของเด็ดขาด ให้นางทำอาหารที่ไม่ต้องใช้มีดก็แล้วกัน

พ่อครัวใหญ่ที่กำลังผัดอาหาร เขาต้องการแสดงฝีมือชั้นยอดต่อหน้าเสด็จอาเก้า เขาทำไฟให้ลุกโชนท่วมกระทะ แต่เพราะตื่นเต้นเกินไป ผลปรากฏว่าเปลวไฟสูงใหญ่มาก จนทำให้คิ้วพ่อครัวใหญ่ถูกเผา

เอ่อ……เสด็จอาเก้านึกภาพเฟิ่งชิงเฉินถูกไฟไหม้คิ้วแล้วก็อดขนลุกไม่ได้ เขากลับหลังหันแล้วเดินออกไปจากห้องครัว

ช่างเถอะ อย่าให้เฟิ่งชิงเฉินเข้าครัวด้วยตัวเองเลย ห้องครัวมีแต่อันตราย!

หลังจากนั้น เมื่อเฟิ่งชิงเฉินพยายามพูดเรื่องทำอาหารให้คนที่ชอบทาน เสด็จอาเก้าก็มักจะชวนคุยเรื่องอื่น ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีทางปล่อยให้เฟิ่งชิงเฉินเข้าครัวอย่างเด็ดขาด

เฟิ่งชิงเฉินหงุดหงิดมาก นางแอบบ่นเสด็จอาเก้าว่าซื่อบื้ออยู่ในใจ นางอุตส่าห์พูดขนาดนี้แล้ว ไม่เห็นเสด็จอาเก้าทำอะไรเสียที ถึงแม้ว่าชนชั้นเจ้านายจะอยู่ไกลเรื่องงานครัว แต่สิ่งที่นางร้องขอก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย ให้เสด็จอาเก้าต้มข้าวต้มง่ายๆให้นางทานสักชามก็ได้ แต่ดูท่าทางเสด็จอาเก้าแล้ว นางคงไม่มีหวังได้ชิมอาหารฝีมือเขาแล้วล่ะ……

เฟิ่งชิงเฉินกับเสด็จอาเก้าเดินมาสักพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงซูหว่านอาละวาดมาแต่ไกล นางขว้างปาข้าวของไม่ยอมหยุด ดีที่นี่คือโรงเลี้ยงสัตว์หลวง ของใช้ภายในห้องจึงเป็นของธรรมดา มิฉะนั้นแล้ว ของที่ซูหว่านทำลายแต่ละชิ้น คงได้จ่ายค่าเสียหายไม่น้อยเลย

“เพล้ง……” กาน้ำชาถูกปาใส่ประตู และน้ำชาก็กระเซ็นไปถูกเสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉินที่ยืนอยู่ด้านหลังมั่นใจว่าเสด็จอาเก้าต้องตั้งใจให้เรื่องเป็นเช่นนี้ เพราะฝีมือระดับเขาแล้ว ไม่มีทางที่จะหลีกหนีไม่ทัน

และแล้ว เสด็จอาเก้าก็ก้าวเท้าเดินไปพร้อมกับออกคำสั่งอย่างน่ากลัว “ทหาร คุณหนูซูหว่านมีเจตนาลอบสังหารข้า รีบมาจับตัวนางเดี๋ยวนี้”

“พวกเจ้ากล้าดีอย่างไร ปล่อยข้านะ เสด็จอาเก้า ข้าไม่ได้……” ซูหว่านตกใจยิ่งนัก นางร้องเสียงดังลั่น แต่เหล่าองครักษ์ก็มิได้ใส่ใจ ต่อให้ซูหว่านจะดิ้นแรงแค่ไหน ก็ถูกจับตัวไปมัดไว้จนได้……

ในโรงเลี้ยงสัตว์หลวง ผู้ที่มีอำนาจการสั่งการ มีเพียงเสด็จอาเก้าเพียงคนเดียวเท่านั้น!

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท