นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 561 เฟิ่งชิงเฉิน เจ้ามีหลากหลายอารมณ์

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 561 เฟิ่งชิงเฉิน เจ้ามีหลากหลายอารมณ์

ที่สวนจิงชิวมีกองกำลังสามชั้นซึ่งคอยคุ้มกันเอาไว้ เฟิ่งชิงเฉินเห็นดังนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้า

เจ้าเมืองเย่เฉิงนำทหารชั้นยอดนับพันนายมาที่ลานเล็กๆ ของนางฝั่งตะวันตก คาดว่าที่นี่มีคนอยู่อย่างน้อยสามพันคน องค์จักรพรรดิบ้าไปแล้วจริงๆ ที่ให้เจ้าเมืองเย่เฉิงพาทหารมากมายเช่นนี้เข้ามา

ทหารและม้ามากมายเพียงนี้อยู่ในเมืองหลวง หากไม่ระวังอาจทำให้เกิดหายนะได้ เจ้าเมืองเย่เฉิงพาคนและม้าเหล่านี้เข้ามาโดยไม่สนใจสายตาของผู้ใด เพราะถึงอย่างไรหากเกิดเรื่องขึ้น เขาก็เพียงแค่กลับไปยังเมืองเย่ไม่มีใครทำอะไรเขาได้

เฟิ่งชิงเฉินและตี๋ตงหมิงมองหน้ากันแล้วยิ้มอย่างขมขื่น เช่นเดียวกัน แววตาของตี๋ตงหมิงเผยถึงความไม่พอใจและโกรธเคืองออกมา

ทหารเหล่านี้ของเย่เฉิงดูเหมือนจะนำอันตรายที่ซ้อนเร้นเข้ามายังเมืองหลวงด้วย หากเกิดเรื่องขึ้นละก็คนที่โชคร้ายเป็นคนแรกก็คงจะเป็นตี๋ตงหมิง ไม่ใช่องค์จักรพรรดิที่สั่งให้เจ้าเมืองเย่เฉิงพารากองกำลังทหารเข้ามา

องค์จักรพรรดิไม่มีความผิดอย่างแน่นอน ผู้ที่ผิดล้วนแต่เป็นขุนนางด้านล่างที่คอยรับใช้ หากเฟิ่งชิงเฉินเดาไม่ผิดล่ะก็ จากเรื่องของฮองเฮาในครานั้นดูเหมือนองค์จักรพรรดิจะไม่เชื่อผู้ใดอีกเลย การกระทำเช่นนี้ของฝ่าบาทแสดงให้เห็นถึงความโปรดปรานที่มีต่อเจ้าเมืองเย่เฉิง อีกอย่างเขาต้องการจะใช้โอกาสนี้หาความผิดให้แก่ตี๋ตงหมิงแล้วยึดอำนาจทหารของตี๋ตงหมิงเสีย

โชคดีเหลือเกินที่เสด็จอาเก้าจัดการเรื่องของทหารในเรือเล็กฝั่งตะวันตก ด้วยบทเรียนนี้เจ้าเมืองเย่เฉิงไม่ว่าอย่างไรก็ถือว่าคอยระมัดระวังตัวไว้บ้าง และฝ่าบาทคงจะไม่โทษว่าตี๋ตงหมิงผิด

โดยมีเจ้าเมืองเย่เฉิงคอยนำทาง เฟิ่งชิงเฉินได้คนอื่นๆ ในไม่ช้าก็เดินทางมาถึงภายในห้อง เย่เย่นอนอยู่บนเตียงเงียบๆ ดูท่าทางห่อเหี่ยวใบหน้าเขียวคล้ำราวกับว่าพิษงูกำลังกำเริบ

“ถอยไป” เฟิ่งชิงเฉินวางกล่องยาไว้บนโต๊ะจากนั้นหยิบชุดทำงานออกมา โยนถุงมือไปให้แก่ซุนซือสิง ส่วนตัวนางเองก็ได้ใส่มันลงไปด้วย

บัดนี้ยังมัวสนใจเรื่องของเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายอยู่อีก! เจ้าเมืองเย่เฉิงโมโหยิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะต้องการให้เฟิ่งชิงเฉินช่วยเหลือล่ะก็ หากไม่ใช่เพราะคุณชายตระกูลหยุนอยู่ล่ะก็ เขาคงจะออกคำสั่งให้ฆ่าเฟิ่งชิงเฉินไปเสีย

ภายในสวนจิงชิวแห่งนี้เต็มไปด้วยคนของเขา เพียงแค่เขาออกคำสั่งเฟิ่งชิงเฉินต่อให้มีปีกก็บินหนีไปยาก ต่อให้เสด็จอาเก้าเก่งกาจเพียงใดก็มาไม่ทัน

ความสนใจของเฟิ่งชิงเฉินจับจ้องไปที่เย่เย่จึงไม่ได้ทันสังเกตเห็นแววตาอาฆาตของเย่เฉิง หลังจากสวมใส่เครื่องแเต่งกายและถุงมือเรียบร้อยแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ได้ส่งสัญญาณให้ซุนซือสิงเป็นความหมายว่าให้เตรียมยา อุปกรณ์และคอยช่วยเหลือนางอยู่ด้านข้าง

ซุนซือสิงอาจมีประสบการณ์ไม่มากนัก แต่เขาก็เป็นผู้ช่วยได้อย่างดีเยี่ยมเนื่องจากเขามีทักษะการแพทย์มาแต่กำเนิด

“จงถอยไปให้ห่างสิบเก้า” เฟิ่งชิงเฉินหันกลับมาและเดินไปที่ข้างเตียง สั่งให้เจ้าเมืองเย่เฉิงถอยออกไป เนื่องจากตี๋ตงหมิงและหยุนเซียวนั่งอยู่บนเก้าอี้ห่างออกไปตั้งแต่ก่อนหน้าแล้วจึงไม่เป็นการรบกวนเฟิ่งชิงเฉินและซุนซือสิง

เมื่อนางเปิดผ้าห่มของเย่เย่ออกมา ก็เป็นไปดังที่เฟิ่งชิงเฉินคิดเอาไว้ แขนข้างซ้ายของเย่เย่เน่าเฟะส่งกลิ่นเหม็นโชยออกมา บริเวณที่ถูกงูกัดนั้นกลายเป็นสีม่วงดำ

“โชคดีเหลือเกินที่ได้ยาล้างพิษจากหุบเขาหมอเทวดา จึงสามารถปกป้องหัวใจและการแพร่กระจายของพิษงูเอาไว้ได้ ไม่เช่นนั้นต่อให้เป็นเทพเจ้าก็ไม่อาจช่วยชีวิตเขาเอาไว้ได้ทัน” อาการบาดเจ็บของเย่เย่ดูน่ากลัวมาก เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้กล่าวเกินความเป็นจริง

หากไม่ใช่เพราะว่าอาการใกล้ตาย เจ้าเมืองเย่เฉิงคงจะไม่ยอมไปขอความช่วยเหลือจากใครง่ายๆ เช่นนี้

“ยาแก้พิษของหมอจากหุบเขาหมอเทวดา? คุณชายเย่เคยกินมันเข้าไปอย่างงั้นหรือ?” เมื่อได้ยินประโยคนั้นของเฟิ่งชิงเฉิน หยุนเซียวจึงได้เอ่ยถาม

“นั่นสิ หากไม่มียาขับพิษ คุณชายเย่จะอยู่ถึงตอนนี้ได้อย่างไร” หยุนเซียวเป็นคนที่เฉลียวฉลาดเสียจริง โชคดีที่เขาเดินทางมาด้วย จึงทำให้แบ่งเบาเรื่องราวได้มากมาย หากจะคอยพึ่งพาตี๋ตงหมิงคาดว่าคงจะเหนื่อยตาย

“ว่าแต่ อย่าถอนพิษของคุณชายเย่มาจากที่ใด สามารถนำยาถอนพิษของหมอจากหุบเขาหมอเทวดามาได้ เหตุใดจึงไม่สามารถรักษาคุณชายเย่ได้?” หยุนเซียวเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ข้าเป็นคนให้เอง คุณชายเย่ถูกงูพิษกัดข้าจึงได้ให้ยาแก่เขาเพื่อแก้พิษ แต่ขณะที่กำลังจะเตรียมถอนพิษในขั้นตอนสุดท้าย ปรากฏว่า คุณชายเย่ตื่นขึ้นมาและไม่ยอมให้ข้ารักษา เนื่องจากเกรงว่าข้าจะใช้โอกาสนี้ในการแก้แค้น” หยุนเซียวและเฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกมาด้วยความสอดคล้องกัน ทำให้เห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินมีความเมตตา ไม่เพียงเท่านั้นยังชี้ให้เห็นว่าสองพ่อลูกตระกูลเย่ คิดจะแก้แค้นคนอื่นอยู่ตลอดเวลา

เฟิ่งชิงเฉินเป็นผู้ช่วยชีวิตของเย่เฉิงเอาไว้ อีกทั้งยังช่วยเย่เย่อยู่ถึงสองหน เย่เฉิงไม่เพียงแต่จะไม่ตอบแทนบุญคุณอีกทั้งยังอาฆาตแค้นอยากจะฆ่าเฟิ่งชิงเฉินเสียให้ได้ ประการนี้ชี้ให้เห็นว่าสองพ่อลูกตระกูลเย่น่ารังเกียจเพียงใด

ใบหน้าของเจ้าเมืองเย่เฉิงแดงเรื่องขึ้นเล็กน้อย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำกล่าวหาเมื่อครู่ของเฟิ่งชิงเฉิน แต่เขาก็ไม่อาจกล่าวสิ่งใดออกมาได้เลยและโมโหเสียจนอยากจะกินเฟิ่งชิงเฉินเข้าไปทั้งตัว

ในเมื่อหยุนเซียวรู้เรื่องนี้ นั่นก็หมายความว่าห้าวถิงก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน และชื่อเสียงของเย่เฉิง……

เมื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว เฟิ่งชิงเฉินจึงไม่ยากกล่าวสิ่งใดอีก นางหันไปพยักหน้ากับหยุนเซียวเป็นความหมายแสดงความขอบคุณ จากนั้นเฟิ่งชิงเฉินก็จดจ่อกับการช่วยชีวิตผู้คนของนาง

“ซือสิง ทดสอบยาที่ผิวหนังให้คุณชายเย่ แล้วเลือกใช้ยาชาเฉพาะที่” เฟิ่งชิงเฉินสวมถุงมือแพทย์ กดไปที่แขนของเย่เย่ พบว่ามีทั้งหนองและเลือดไหลออกมาจากผิวหนัง เย่เย่ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเบาๆ เลือดสีดำไหลออกมาเป็นความหมายว่าเย่เย่ได้รับบาดเจ็บค่อนข้างจะสาหัส

“ขอรับท่านอาจารย์”

“……โบ๊ะ!” แก้วใสแตกออก ซุนซือสิงหยิบหลอดฉีดยาออกมาบีบเอาอากาศในนั้นออก แล้วดึงเอาของเหลวในขวดขึ้นมา ฉีดเข้าไปในเส้นเลือดดำให้เย่เย่

ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นวิธีการรักษาเช่นนี้มาก่อน ทำให้ตี๋ตงหมิงและหยุนเซียวตกตะลึง ทั้งสองคนไม่กะพริบตาแม้แต่น้อย ส่วนเจ้าเมืองเย่เฉิงกระโดดขึ้นด้วยความตื่นตระหนก “เฟิ่งชิงเฉินเจ้าทำสิ่งใด?”

เสียงที่ดังขึ้นโดยกะทันหันทำให้ซุนซือสิงตกอกตกใจจนกระโดดเกือบจะทำให้เขาแทงมันไม่ตรง ซุนซือสิงรู้สึกประหม่า และเขาก็ทำมันเร็วขึ้น เฟิ่งชิงเฉินเอื้อมมือไปรับเข็มฉีดยาจากซุนซือสิงเพื่อชะลอการฉีดยาลง

หลังจากที่การฉีดยาเรียบร้อยแล้ว เฟิ่งชิงเฉินจึงได้ยื่นเข็มฉีดยาไปให้แก่ซุนซือสิง เงยหน้าขึ้นเผชิญหน้ากับแววตาอันสงสัยแห่งเจ้าเมืองเย่เฉิง เฟิ่งชิงเฉินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยชี้ไปที่ประตูแล้วกล่าวว่า “หุบปาก หากไม่เข้าใจก็จงอย่าได้เอะอะโวยวายให้มากความ และหากเจ้าไม่อาจเงียบสงบได้ก็จงออกไปเสีย”

“ข้าเพียงแค่อยากรู้ว่าเจ้ากำลังทำสิ่งใดอยู่ วิธีการรักษาของเจ้านี้ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนและเป็นกังวลบุตรชายข้ายิ่งนัก” เจ้าเมืองเย่เฉิงเพียงหวังว่าเฟิ่งชิงเฉินจะอธิบายให้แก่เขาฟังเพื่อให้เขาสบายใจ

“ท่านไม่ใช่หมอ ท่านไม่มีสิทธิ์เข้ามายุ่งเกี่ยว เจ้าเมืองเย่เฉิงนี่เป็นครั้งแรกและข้าหวังว่าจะเป็นครั้งสุดท้าย หากเขามารบกวนข้าอีกล่ะก็ข้าจะไม่เกรงใจแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินหรี่ตาลง ประกายแวววาวแวบเข้ามาในดวงตาของนาง

วินาทีนี้เฟิ่งชิงเฉินเป็นใหญ่ในที่นี้ คำพูดของนางเป็นคำสั่ง ไม่ว่าเจ้าเมืองเย่เฉิงจะยอมรับได้หรือไม่ ดูเหมือนว่าเจ้าเมืองเย่เฉิงต้องการจะกล่าวบางอย่างออกมา แต่กลับถูกแววตาอันเยือกเย็นของเฟิ่งชิงเฉินจับจ้องมองไปจนเขาต้องถอยห่างอย่างเชื่อฟัง

เมื่อเขาเงียบเสียงลง เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ นางหันไปกำชับซุนซือสิงว่า “ล้างทำความสะอาดบาดแผลให้แก่เขา แล้วขูดเนื้อเน่าทั้งหมดของเขาออก”

ชีวิตของเย่เย่อาจจะรักษาเอาไว้ได้ แต่แขนข้างซ้ายของเขาคงไม่ ไม่ใช่ว่าเฟิ่งชิงเฉินโหดเหี้ยมแล้วแก้แค้นส่วนตัว แต่เป็นเพราะเจ้าเมืองเย่เฉิงปล่อยให้เวลาผ่านไปเนิ่นนานเหลือเกิน หากเจ้าเมืองเย่เฉิงยอมเดินทางมาหานางก่อนหน้านี้สักวันสองวัน แขนข้างซ้ายของเย่เย่คงจะรักษาเอาไว้ได้

“ท่านอาจารย์ ดูเหมือนฤทธิ์ยาสลบยังไม่ออกฤทธิ์” ซุนซือสิงกำมีดไว้ในมือโดยยังไม่กล้าลงมือ

“ไม่เป็นไร ลงมือเถิด หากว่าความเจ็บแค่นี้ยังไม่อาจอดทนได้ก็อย่าคิดจะไปทำตัวเป็นวีรบุรุษช่วยผู้ใด” น้ำเสียงของเฟิ่งชิงเฉินดูเยือกเย็น เมื่อยาสลบออกฤทธิ์จึงจะเป็นช่วงเวลาที่เย่เจ็บปวดที่สุด และนี่เป็นเพียงแค่น้ำจิ้ม

เนื่องจากประโยคของเจ้าเมืองเย่เฉิง ทั้งตี๋ตงหมิงและหยุนเซียวจึงได้เบี่ยงเบนความสนใจจากซุนซือสิงมาทีเฟิ่งชิงเฉิน บัดนี้เฟิ่งชิงเฉินช่างเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง นางไม่มีอารมณ์ใด ดูสงบนิ่งราวกับนักวิชาการอายุมาก นางจะไม่ยอมให้ตัวเองทำผิดพลาดอย่างแน่นอน

เคร่งขรึม มั่นใจ สงบ มีเหตุผล คุณสมบัติทางวิชาชีพของหมอสะท้อนให้เห็นอยู่บนร่างกายของเฟิ่งชิงเฉิน ชุดสีขาวเรียบง่ายไม่มีการแต่งเติม แต่กลับทำให้ผู้พบเห็นต้องตกตะลึง ดูเหมือนว่ามันสามารถเปล่งประกายส่องแสงออกมาได้ สามารถดึงดูดความสนใจจากทุกคนจนไม่อาจไปทำสิ่งอื่นใดเลย

องค์รัชทายาท ลั่วอ๋อง ชิงอ๋อง โจวอ๋องและคนอื่นๆ เดินเข้ามาในขณะนั้น แต่หยุนเซียวกลับไม่รู้เลย เนื่องจากพวกเขากำลังสนใจเฟิ่งชิงเฉินซึ่งกำลังทำการช่วยเหลือเย่เย่อยู่

ที่เตียงผ่าตัด เฟิ่งชิงเฉินเหมือนกับนักแสดงยอดเยี่ยมที่อยู่ตรงเวที ทุกการกระทำของนางดึงดูดทุกคนให้เข้ามาสู่โลกของนางด้วยเช่นกัน

เมื่อรอจนตอนที่หยุนเซียวและตี๋ตงหมิงเห็นว่าองค์รัชทายาทพร้อมกับคนอื่นๆ เดินทางมา พวกเขาก็ตั้งใจจะลุกขึ้นโค้งคำนับ แต่องค์รัชทายาทกลับใช้แววตาหักห้ามเอาไว้ เพื่อเป็นความหมายว่าทุกคนอย่ารบกวนเฟิ่งชิงเฉินซึ่งกำลังหมกมุ่นอยู่กับการช่วยเหลือชีวิตคน นางก็ไม่ได้สังเกตว่าภายในห้องมีใครเพิ่มเข้ามาถึงห้าหกคน

เมื่อได้รับการรับรองจากเสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉินจึงจัดวางเวชภัณฑ์อันทันสมัยออกมาทีละขวดทีละขวด มากมายกองตรงหน้าอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เฟิ่งชิงเฉินไม่แม้แต่จะมองก็สามารถหยิบยาที่ตนต้องการได้

เซรั่มถูกฉีดเข้าไป หลังจากทดสอบแล้วได้รับการยืนยันว่าเย่เย่ไม่แพ้ ก็ได้ฉีดเพนิซิลินให้เขา เฟิ่งชิงเฉินดึงยาขึ้นมาจากหลอด แล้วทำการฉีดอย่างรวดเร็ว มันทั้งรวดเร็วโหดเหี้ยมและแม่นยำอย่างที่สุด มองไปช่างน่าทึ่งยิ่งนัก

ตงหลิงจื่อลั่วหลงใหลในทักษะนี้ เนื่องจากในขณะนั้นตัวเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสสะลึมสะลือ เคยเห็นเฟิ่งชิงเฉินที่เป็นเช่นนางฟ้าแบบนี้ ในครั้งนี้เขาได้เห็นกับตาของตนเองแล้ว ที่แท้ตอนที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังช่วยเขามีท่าทางเช่นนี้นี่เอง……

เฟิ่งชิงเฉินที่มีจิตใจต้องการช่วยผู้คนอันเด็ดเดี่ยว ช่างงดงามโดยไม่ต้องสงสัย แววตาอันจดจ่อของนางช่างทำให้ผู้คนใจสั่นคลอน อยากจะกลายไปเป็นน้ำยาในมือของนาง และอยากจะเป็นหนึ่งในดวงใจของนาง……

วินาทีนี้ เฟิ่งชิงเฉินช่างเรียบง่ายและตรงไปตรงมา ในโลกของนางแล้วนอกจากยาเหล่านี้และการช่วยเหลือชีวิตคนไม่มีสิ่งใดอยู่อีกเลย ช่างเด็ดขาดสะอาดสะอ้านเสมือนดอกบัวหิมะในภูเขาแห่งสวรรค์

พวกเขารู้จักเฟิ่งชิงเฉินที่ฉลาดหลักแหลมสงบเสงี่ยมแข็งแกร่งกล้าหาญ และมีเล่ห์เหลี่ยมดุจดั่งจิ้งจอก ดวงตาของนางช่างเป็นประกายไม่อาจปกปิดความคิดในใจไว้ได้เลย หากสนทนากับเฟิ่งชิงเฉินล้วนต้องระมัดระวัง แต่บัดนี้……

เฟิ่งชิงเฉินได้ถอดหน้ากากทุกอย่างของนางออก เผยให้เห็นความเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่นและเรียบง่าย ไม่มีการกลับกลอกแต่อย่างใด ในโลกของนางนอกจากการช่วยเหลือชีวิตคนอื่นแล้วไม่เหลือสิ่งใดอีกเลย ต่อให้เป็นคนที่นางเกลียดชังก็ตาม

พวกคนที่มีตำแหน่งสูงส่งแต่ละวันต้องเผชิญหน้ากับการสมรู้ร่วมคิดและแผนต่างๆ มากมาย ใบหน้าของพวกเขาแต่ละคนเต็มไปด้วยหน้ากาก ดังนั้นความสะอาดเรียบง่ายสำหรับพวกเขาจึงเป็นแรงดึงดูดอย่างยิ่ง เสด็จอาเก้าก็หลงใหลในตัวเฟิ่งชิงเฉินเนื่องด้วยเหตุนี้……

แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับไม่รู้ว่าท่าทางที่นางเปิดเผยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจจะดึงดูดไม่เพียงแค่เสด็จอาเก้า ทว่าดึงดูดคนเหล่านี้มากโดยที่ไม่จำเป็น ต่อให้นางรู้นางก็ไม่สนใจ นางไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อผู้อื่น

หลังจากดำเนินการรักษาในเบื้องต้นเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนอาการของเย่เย่จะดีขึ้น แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าไม่ว่าเรื่องใดก็ตามจะรีบร้อนไปไม่ได้เด็ดขาด แต่ด้วยสถานการณ์ทั่วไปของเย่เย่คาดว่าคงไม่อาจทนได้ถึงตอนสุดท้ายอย่างแน่นอน นางจำเป็นจะต้องทำบางอย่างให้เย่เย่มากกว่านี้

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในวันนี้นางจะต้องช่วยชีวิตเย่เย่เอาไว้ให้ได้

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท