นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 563 มือไว ความว่องไวนี้ใช้ฆ่าคนน่ากลัวนัก

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 563 มือไว ความว่องไวนี้ใช้ฆ่าคนน่ากลัวนัก

กรุ๊ปเลือดเอ!

เย่เย่นับว่าโชคดียิ่งนัก ไม่ว่าเย่เย่กับเจ้าเมืองเย่เฉิงจะเป็นพ่อลูกกันจริงหรือไม่ อย่างน้อยกรุ๊ปเลือดก็ตรงกัน เย่เย่ก็สามารถข้ามผ่าน เรื่องนี้ไปได้

แม้นางจะบอกว่าเลือดของเย่เย่กับเจ้าเมืองเย่เฉิงไม่สามารถเข้ากันได้ เจ้าเมืองเย่เฉิงก็อาจไม่เชื่ออย่างสมบูรณ์

เจ้าเมืองเย่เฉิง “เลือดของท่านกับคุณชายเย่นั้นเข้ากันได้” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้อธิบายสิ่งใดมากมาย นางเพียงแค่รายงานผลสรุปออกมาเท่านั้น

เจ้าเมืองเย่เฉิงคลายความกังวลใจในดวงตาลงไปทันที แล้วแทนที่ด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าขององค์รัชทายาทก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน แต่ว่าในแววตานั้นเต็มไปด้วยความตำหนิ

เฟิ่งชิงเฉิน เจ้ายืดหยุ่นไม่เป็นหรือไร?

โอกาสดีเช่นนี้มากองตรงหน้า เฟิ่งชิงเฉินเพียงแค่กล่าวว่ากรุ๊ปเลือดของเย่เย่และเจ้าเมืองเย่เฉิงเข้ากันไม่ได้ เท่านั้นเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่เพียงแค่จะไม่เป็นศัตรูกับเจ้าเมืองเย่เฉิง อีกทั้งยังสามารถกลายเป็นผู้มีบุญคุณต่อเย่เฉิงอีกต่างหาก ทว่า……

องค์รัชทายาทได้แต่แอบถอนหายใจ เมื่อเห็นการตำหนิจากองค์รัชทายาทเช่นนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็เพียงแค่หันไปยิ้มให้กับเขาแล้วไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา

ทักษะทางการแพทย์ได้มาเพื่อไว้ใช้รักษาผู้คน ไม่ใช่ทำร้ายคนอื่น แม้จะกล่าวว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นพวกที่จะต้องแก้แค้นจนกว่าต้นจะบรรลุความประสงค์ใดก็ตาม แต่เรื่องบางเรื่องต่อให้ตีจนตายนางก็ไม่ทำ แม้แต่ครั้งเดียวก็ไม่ได้

และการนำความรู้ทางการแพทย์มาทำร้ายผู้อื่น คือข้อจำกัดของนาง

เมื่อกรุ๊ปเลือดเข้ากันได้ เฟิ่งชิงเฉินจึงไม่เกรงใจอีกต่อไป นางกำลังเตรียมตัวที่จะถ่ายเลือดของเจ้าเมืองเย่เฉิงออกมา ในครั้งนี้ท่านเจ้าเมืองเย่เฉิงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และปล่อยให้เฟิ่งชิงเฉินแทงเข็มเข้ามาในแขนของตน ปล่อยให้เลือดสีแดงสดไหลผ่านท่อโปร่งใสไปยังถุงเลือด

จากปัญหาเรื่องของการไม่อาจเข้ากันได้ของกรุ๊ปเลือด ทำให้เจ้าเมืองเย่เฉิงเข้าใจดีว่าแม้เฟิ่งชิงเฉินจะเป็นคนฉลาดแกมโกงแต่ก็มีหลักการของตน หนึ่งก็คือหนึ่ง สองก็คือสอง แม้ว่านางกับเย่เย่จะมีความแค้นต่อกันนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ก็จะไม่ใช้โอกาสในการรักษานี้ทำลายชีวิตของเย่เย่

หากเฟิ่งชิงเฉินจะกล่าวว่ากรุ๊ปเลือดของเขากับเย่เย่ไม่ตรงกัน เขาก็คงจะไม่ได้เชื่อมากนัก ถึงอย่างไรก็คงเกิดช่องว่างในหัวใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สภาพเฟิ่งชิงเฉินเช่นนี้ เป็นดั่งที่นางแสดงออกมานั่นคือบริสุทธิ์สะอาดสะอ้าน ตอนที่นางให้การช่วยเหลือผู้อื่น นางเป็นหมอที่สามารถเชื่อถือได้อย่างแน่นอน และแน่นอนว่ามันถูกจำกัดอยู่เพียงเท่านั้น

เฟิ่งชิงเฉินเป็นสตรีที่ใจกว้างขวาง สามารถแบ่งแยกความแค้นและบุญคุณออกจากกันได้อย่างชัดเจน น่าเสียดายเหลือเกิน……ที่พวกเขากลายเป็นศัตรูกับนางตั้งแต่ยังไม่ทันรู้ตัว

เลือดปริมาณแปดร้อยccถูกถ่ายโอนออกไป ต่อให้ร่างกายของเจ้าเมืองเย่เฉิงแข็งแกร่งเพียงใดก็อาจทนทานไม่ได้เล็กน้อย สีหน้าของเขาดูซีดเพราะการสูญเสียเลือด ร่างของเขารู้สึกเย็นชาและหนาวมาก

คิ้วของเจ้าเมืองเย่เฉิงขมวดเข้าหากันเล็กน้อยแล้วเงยหน้ามองดูเฟิ่งชิงเฉิน แต่พบว่าเฟิ่งชิงเฉินกำลังมุ่งความสนใจไปที่ถุงเก็บเลือดของเขาจึงไม่ได้สนใจสิ่งอื่นเลย เขาจึงได้กลืนคำพูดที่ติดอยู่ตรงปากกลับไป

เขาเชื่อในสายตาถึงการมองดูผู้คน ตอนที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังช่วยชีวิตผู้อื่นนั้นนางไม่มีความปิดบังเลยแม้แต่น้อย

ในที่สุดเลือดจำนวนแปดร้อยccก็ถูกถ่ายออกมาจนเสร็จ เฟิ่งชิงเฉินดึงเข็มออกมาแล้วใช้ก้านสำลีสองก้านจุ่มไปที่น้ำยาแล้วกดลงบนบาดแผลของเจ้าเมืองเย่เฉิงเบาๆ “กดเอาไว้ ผ่านไปเวลาสักหนึ่งถ้วยน้ำชาแล้วค่อยปล่อยออก ช่วงนี้จงพักผ่อนให้เพียงพอ อย่าดื่มสุรา สั่งให้บ่าวรับใช้ปรุงอาหารบำรุงร่างกายให้แก่ท่าน ที่เป็นการบำรุงเลือด อาจใช้เวลาประมาณครึ่งเดือนจึงจะหายเป็นปกติ แต่จะไม่เกิดอันตรายตามมา”

เฟิ่งชิงเฉินเคยชินกับการตักเตือนหลังการรักษา ทำให้ทุกคนล้วนตกตะลึงว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นบ้าไปแล้วหรือ

เจ้าเมืองเย่เฉิงยิ่งไม่อยากจะเชื่อสายตาของตน เขาได้ยินว่าเฟิ่งชิงเฉิน กำลังห่วงใยเขา นางลืมไปแล้วหรือว่าเมื่อสักครู่เขายังตั้งใจหาเรื่องนางอยู่เลย?

เฟิ่งชิงเฉินช่างเป็นสตรีที่ทำเรื่องราวใดๆ ตรงข้ามกันเสียจริง

วินาทีนี้ แม้แต่หยุนเซียวก็ไม่อาจเข้าใจได้ การช่วยเหลือเย่เย่ของเฟิ่งชิงเฉินเป็นเพราะสถานการณ์ถูกบีบบังคับ การที่นางไม่ใช้โอกาสนี้ในการใส่ร้ายและทำร้ายเย่เย่ก็นับว่านางมีศีลธรรมสูงส่งมากแล้ว แต่บัดนี้นางยังเป็นห่วงเป็นใยเจ้าเมืองเย่เฉิงหมายความว่าสิ่งใด?

หรือเฟิ่งชิงเฉินคิดว่าคำพูดอันห่วงใยของนางประโยคนั้นจะทำให้เจ้าเมืองเย่เฉิงรู้สึกซาบซึ้งใจแล้วละวางอคติที่มีต่อเฟิ่งชิงเฉินได้ หรือเฟิ่งชิงเฉินจะสูงส่งถึงขนาดใช้คุณธรรมในการแก้แค้นได้?

เห็นได้ชัดว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้กลัวเจ้าเมืองเย่เฉิงเลย แล้วนางจะต้องการเอาใจเขาได้อย่างไร หากนางต้องการเอาอกเอาใจเขาคงจะไม่บีบบังคับให้ซูหว่านคุกเข่าลงในตอนนั้น เรื่องของการใช้คุณธรรมในการแก้แค้นยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง พวกเขารู้จักเฟิ่งชิงเฉินดีว่านางไม่ใช่คนเช่นนี้

เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ว่าที่นางกล่าวจนเป็นนิสัยเหล่านี้จะทำให้ชายหนุ่มที่อยู่ ณ ที่นั้นพากันสงสัย พวกเขาคิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับความหมายของเฟิ่งชิงเฉินที่ทำเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตงหลิงจื่อลั่ว ดูเหมือนเขาจะเข้าใจว่าในตอนนั้นที่เฟิ่งชิงเฉินช่วยเขาอย่างสุดความสามารถ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรู้สึกใด ในสายตาของเฟิ่งชิงเฉินเขาไม่แตกต่างอะไรกับเย่เย่

เมื่อคิดได้ดังนี้ ตงหลิงจื่อลั่วก็รู้สึกตื่นตระหนกใจ หากเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้มีความรู้สึกดีกับเขาแม้แต่น้อยแล้วเขาจะได้เปรียบอย่างไรเล่า

ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเฟิ่งชิงเฉินจะไม่รู้เรื่องที่พวกเขาคิดอยู่ในใจ ต่อให้รู้นางก็ไม่สนใจเพราะไม่เกี่ยวข้องอันใดกับนาง บรรดาองค์ชายเหล่านี้พวกเขาล้วนมีจุดมุ่งหมายอันแรงกล้าในการกระทำของตน พวกเขาทุกคนล้วนต้องคำนวณในการตอบแทนความดีของคนอื่น และมองคนอื่นจากมุมมองของตนเอง แม้จะคิดว่านางมีแรงจูงใจอื่นซ่อนเร้นก็ไม่ผิด

นางหันหลังกลับไปเพื่อตรวจดูชีพจรของเย่เย่ รวมทั้งอุณหภูมิร่างกาย เมื่อเห็นว่าขวดน้ำเกลือว่างเปล่าแล้ว นางจึงได้เปลี่ยนเป็นยาอีกขวดหนึ่ง แล้วจึงถ่ายโอนเลือดให้แก่เย่เย่

เมื่อเข็มเจาะเข้าไปในหลอดเลือดของเย่เย่ ในครั้งนี้เลือดไม่ได้ไหลออกมาจากร่างกายของเย่เย่ แต่เลือดในถุงกลับหายเข้าไปด้วยความรวดเร็ว ไม่ต้องให้เฟิ่งชิงเฉินกล่าวทุกคนในที่นั่นก็เข้าใจดีว่าเลือดไหลเข้าไปในร่างของเย่เย่

น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก!

การที่จะดึงเลือดออกมาจากร่างกายพวกเขาไม่ประหลาดใจ แต่การใส่มันเข้าไปในร่างกายพวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ตอนที่ตงหลิงจื่อลั่วอยู่ในอาการสะลึมสะลือ เขาเคยเห็นในตอนนั้นเฟิ่งชิงเฉินได้ดึงเลือดออกมาจากร่างกายของตนเองโดยไม่ได้ผ่านถุงเลือด

องค์รัชทายาทและคนอื่นๆ อ้าปากค้างอย่างไม่กะพริบตา เนื่องด้วยเกรงว่าจะเกิดข้อผิดพลาดใดไป ท่านเจ้าเมืองเย่เฉิงรีบลุกขึ้นด้วยความตกใจ แต่เนื่องจากเขาลุกขึ้นเร็วเกินไปจึงทำให้เกิดอาการวิงเวียนแล้วทรุดลง จึงได้นั่งลงอย่างเชื่อฟัง

“ท่านอาจารย์ เส้นเลือดบริเวณบาดแผลแตก” เฟิ่งชิงเฉินกำลังจะพักหายใจ แต่มีบางอย่างเกิดขึ้นกับบริเวณที่ซุนซือสิงดูแลอยู่

นี่ไม่ใช่ความผิดของซุนซือสิง แต่บาดแผลของเย่เย่เน่าเฟะมาก บริเวณอื่นยังไม่เท่าไหร่ แต่บริเวณที่ถูกงูพิษกัดนั้นค่อนข้างจะรุนแรง

แน่นอนว่าสิ่งที่โชคดีก็คือเฟิ่งชิงเฉินให้ยาแก้พิษแก่เขากินแล้วก่อนหน้าแล้ว และได้ผลดี หลังจากนั้นสามวันจึงไม่มีอาการเนื้อร้ายเกิดขึ้น หากเป็นในปัจจุบันมือข้างนั้นคงจะต้องถูกตัดออก

“พันหลอดเลือดแดงด้านซ้าย” เฟิ่งชิงเฉินฉีกผ้าพันแผลแล้วยื่นให้แก่ซุนซือสิง

ซุนซือสิงพยายามอย่างเต็มที่ในการมัดแขนซ้ายของเย่เย่ในส่วนที่ไม่เสียหายให้แน่นเพื่อให้เลือดไหลเวียนช้าลง

“หยุดเลือด” เฟิ่งชิงเฉินเหลือบมองไปแล้วยื่นคีมห้ามเลือดให้แก่ซุนซือสิงด้วยท่าทางสงบ

ในเวลานี้เฟิ่งชิงเฉินกำลังช่วยชีวิตผู้คนอย่างสุดความสามารถ นางขจัดความเจ้าเล่ห์ทั้งหมดของนางออกไป ช่างสงบไม่แยแสสิ่งใด ดูเหมือนเฟิ่งชิงเฉินที่เพิกเฉยต่อทุกสิ่งอย่างรอบข้างจะมีพลังในการดึงดูดองค์รัชทายาทและคนอื่นๆ ให้ชื่อว่าเย่เย่จะไม่เป็นอะไรไป

ซุนซือสิงรับคีมห้ามเลือดเอาไว้แล้วหยิบสำลีในกล่องออกมากดบริเวณเส้นเลือดที่แตก การเคลื่อนไหวของมือเขาค่อนข้างที่จะคล่องแคล่วว่องไวดุจดั่งเฟิ่งชิงเฉิน

แต่เมื่อหยุดตรงนี้ตรงนั้นก็เกิดผิดพลาดขึ้นมาอีก บัดนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วงแต่บนหน้าผากของซุนซือสิงกลับมีเหงื่อเม็ดใหญ่ เฟิ่งชิงเฉินเช็ดเหงื่อให้แก่เขาแล้วยืนเครื่องมือการแพทย์ออกไปให้ ก่อนจะหันไปดูเรื่องการถ่ายเลือดเป็นครั้งคราว นางทำทุกอย่างในเวลาเดียวกัน……

การรับการส่งของพวกเขา แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินและซุนซือสิงไม่ได้กล่าวสิ่งใด แต่พวกเขาสามารถเข้าใจได้โดยปริยาย ในสายตาของหยุนเซียว ตงหลิงจื่อลั่วและคนอื่นๆ พวกเขาเข้าใจว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่ธรรมดา แต่เฟิ่งชิงเฉินกับซุนซือสิงรู้ดีว่าพวกเขานั้นสามารถเข้าใจได้ถึงกันและกันเฉพาะการผ่าตัดเท่านั้น

“หยุดไม่ได้แล้ว คนไข้จะรอต่อไปไม่ได้” อีกชั่วโมงต่อมาซุนซือสิงจึงบอกถึงการละทิ้งความพยายามของเขา

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อาจหยุดมันได้ แต่ความว่องไวของเขายังไม่พอ ด้วยความรวดเร็วของเขานี้ หากว่ารอให้เขาจัดการเสร็จคาดว่าแขนซ้ายของเย่เย่คงจะเสียไปก่อน เพราะว่าเขามัดเอาไว้นานเกินกำหนด

“ข้าเอง” เฟิ่งชิงเฉินและซุนซือสิงเปลี่ยนตำแหน่งกันอย่างรวดเร็ว “เปลี่ยนยาให้ผู้ป่วย”

“ขอรับ” ซุนซือสิงที่สวมชุดคลุมสีขาวแปดเปื้อนไปด้วยเลือดแดง มือของเขายังสั่นเทาเล็กน้อย มองออกว่าเมื่อสักครู่เขาพยายามอย่างเต็มที่สุดชีวิตแต่ก็ยังไม่เพียงพอ……

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท