นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 567 ไม่มีพิษ ซูหว่านงอแง

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นี่มันเรื่องอะไรกัน!

หยุนเซียวสอดมือเข้ามายุ่งเสียจน เรื่องราวยุ่งวุ่นวายไปหมดแล้ว

เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกปวดหัวยิ่งนัก ตี๋ตงหมิงปกป้องนางนั้น นางยังพอเข้าใจได้ ทว่า หยุนเซียวทำเช่นนี้หมายความว่าเช่นไรกัน?

เฟิ่งชิงเฉินพลันหันไปมองหยุนเซียวเป็นตาเดียว พร้อมกับจ้องไปที่เขาด้วยท่าทีแน่วแน่ เพื่อสอดส่องท่าทางของเขา นางหาได้รู้สึกอันใดไม่ เพียงแค่จดจำท่าทางของหยุนเซียวเอาไว้ในใจ เพื่อนำกลับไปถามเสด็จอาเก้าว่า เมืองเย่เฉิงมีสิ่งใดหรือไม่ เหตุใดถึงดึงดูดหยุนเซียวได้

ในโลกใบนี้ หากจะมีผู้ใดทำลายเมืองเย่เฉิงเพื่อเฟิ่งชิงเฉินได้ อีกทั้งยังไม่มีการคิดคำนึงถึงผลได้ผลเสียละก็ คงมีแต่หวังจิ่นหลิงกระมัง

หาได้เป็นเพราะนางมองโลกนี้ในแง่ร้ายไม่ มิได้เป็นเพราะนางไม่เชื่อใจในเสด็จอาเก้า นางเชื่อว่า หานางได้ตายลงไปจริง ๆ เสด็จอาเก้าย่อมต้องทำลายเมืองเย่เฉิงเพื่อนางเป็นแน่ ทว่า เสด็จอาเก้าก็จะใช้โอกาสนี้ ในการฉกฉวยผลประโยชน์บางอย่างออกมาเช่นกัน

สำหรับหลานจิ่วหวังแล้ว พวกเขาถือได้ว่าเป็นเพื่อนเป็นเพื่อนตาย ทว่า ความสัมพันธ์ก็ไม่อาจลึกซึ้งได้จนถึงขนาดที่จะ ลงมือเพื่อนางโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดได้เช่นกัน

“ชิงเฉิน ไปกันเถอะ” องค์รัชทายาทที่เห็นเฟิ่งชิงเฉินยืนจ้องหยุนเซียวอยู่นานนั้น ก็พลันเข้าใจว่า เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกสั่นไหวกับหยุนเซียว จึงรีบร้อนเปิดปาก เตือนสติให้นางออกไปจากที่นี่จะดีกว่า

แววตาของซูหว่านพลันเปล่งประกายออกมา นางได้แต่สวดมนตร์อ้อนวอนอย่างเงียบ ๆ เพื่อให้เฟิ่งชิงเฉินออกไปจากที่นี่เสียที พร้อมกับเก็บเสียงร้องสะอึกสะอื้นของนางให้เงียบที่สุด ด้วยท่าทางราวกับเป็นผู้ถูกกระทำเช่นนั้น กลับทำให้ผู้คนที่ได้พบเห็นรู้สึกใจอ่อนได้ไม่ยาก

“ข้าย่อมต้องออกไปแน่ แต่ทว่าก่อนไป ข้ายังมีเรื่องที่ต้องบอกเล่าให้กระจ่างแจ้งเสียก่อน ข้าเชื่อว่าตนเองหาใช่คนดีไม่ อีกทั้งการมาช่วยรักษาเย่เย่หาได้ไร้ผลประโยชน์อีกเช่นกัน แต่อย่างน้อย ข้าก็มีมโนธรรมในจิตใจของข้า “เป็นเพราะหยุนเซียวสอดมือเข้ามายุ่งเช่นนี้ เรื่องราวจึงไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไป เฟิ่งชิงเฉินจึงตัดสินใจตัดปัญหาทุกอย่าง สายตาพลันหันไปมองทั้งซูหว่านและเจ้าเมืองเย่เฉิง เมื่อเห็นซุนซือสิงใกล้จะจัดการธุระเสร็จแล้ว อีกทั้งกำลังจะเก็บของใส่กล่องยาอีก เฟิ่งชิงเฉินจึงรีบเอ่ยปากเรียกเขาในทันที “ซือสิง มานี่”

“ท่านอาจารย์” ซุนซือสิงพลันรีบหยุดงานในมือของตนเองลงไปในทันที พร้อมกับรีบร้อนก้าวเท้ายาว ๆ เข้ามา

“ดูเสียว่า เข็มเงินเล่มนี้มีปัญหาอันใดหรือไม่ เจ้าระมัดระวังด้วย อย่าได้ทำให้เข็มทิ่มมือตนเองเชียว” เฟิ่งชิงเฉินไม่เชื่อว่า มันจะเป็นเพียงเข็มธรรมดาเล่มเดียว

เป็นไปไม่ได้ เฟิ่งชิงเฉินจะรู้ถึงปัญหาของเข็มเล่มนี้ได้อย่างไรกัน แววตาของซูหว่านพลันสั่นไหว พร้อมกับหัวใจที่เต้นรัว ขาทั้งสองข้างค่อย ๆ ไร้เรี่ยวแรงลง เมื่อพยายามควบคุมสติอารมณ์ของตนเองได้แล้ว ก็หาได้สนใจใบหน้าของตนเองที่รู้สึกปวดไม่ พร้อมทั้งพูดกับเฟิ่งชิงเฉินด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าจะหาข้ออ้างเพื่อมาใส่ร้ายผู้บริสุทธิ์เช่นนี้ไม่ได้ เข็มเงินนี้นำมาใช้เพื่อตรวจสอบพิษเท่านั้น เข็มเงินของข้าจะไปมีปัญหาอื่นอันใดได้ หากเกิดปัญหาอันใดขึ้นมา มันย่อมต้องเปลี่ยนเป็นสีดำไปแล้ว”

“เข็มเงินนำมาทดสอบพิษนับว่าไม่ผิดนัก แต่มันมิได้หมายความว่า พิษแต่ละชนิดจะสามารถตรวจสอบได้หมด มีพิษบางชนิดที่ไม่อาจใช้เข็มเงินตรวจสอบได้เช่นกัน นั้นจะทำให้ผู้คนถึงคราวตายได้” ตรงข้ามกับซูหว่านที่กำลังตกอยู่ในความเกรี้ยวโกรธนั้น เฟิ่งชิงเฉินกลับนิ่งสงบยิ่งนัก

“คำพูดของเจ้าทำให้ผู้อื่นน่าตกใจเสียจริง จะมีพิษชนิดใดที่ไม่อาจใช้เข็มเงินตรวจสอบได้กัน” เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ คนผู้นั้นบอกกับนางว่า ไม่อาจหาหลักฐานใดออกมาได้ไม่ใช่หรือ เฟิ่งชิงเฉินจะรู้เรื่องได้อย่างไร นางต้องโกหกข้าแน่ ๆ ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น ฝ่ามือทั้งสองของซูหว่านพลันกุมมือเอาไว้แน่น พร้อมกับสายตาที่รุกริกไปมา หาได้มีท่าทีกล้าเผชิญหน้าต่อเฟิ่งชิงเฉินเช่นคราวก่อนไม่

นั่นคือท่าทีของคนร้อนตัว!

“เข็มพิษของคุณหนูซูหว่าน เข็มเงินย่อมไม่อาจตรวจสอบได้” เข็มเงินของซูหว่านมีปัญหาแล้ว ทว่า มันเป็นปัญหาเช่นไร มีแต่ต้องรอให้ซุนซือสิงตรวจหาสาเหตุจนพบเสียก่อน

“เจ้าพูดจาไร้สาระ เข็มเงินของข้าจะไปมีพิษได้อย่างไร ข้าจะนำเข็มพิษมาทำไมกัน” ซูหว่านยังคงโต้เถียงกลับมาเพื่อถามหาเหตุผล แต่ด้วยท่าทางที่ร้อนตัวของนางนั้น คำพูดของนางที่พูดออกมาย่อมไม่อาจควบคุมได้

“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ว่าเจ้านำเข็มพิษมาเพื่อสิ่งใดกัน ทว่า ข้าก็พอจะเดาได้คร่าว ๆ ว่าเจ้าต้องการจะทำร้ายท่านเจ้าเมืองเย่เฉิง เพื่อใส่ความข้า” นอกจากเหตุผลนี้แล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็หาเหตุผลอื่นไม่เจอแล้ว ซูหว่านมุ่งเป้ามาที่นางเช่นนี้ ทว่า นางมิได้มีโอกาสนำเข็มเงินมาใช้กับนาง เฟิ่งชิงเฉินหาใช่คนตายไม่ ที่จะนอนรอให้ซูหว่านมาลงมือกับตนเอง

“ฮ่าฮ่าฮ่า” ซูหว่านพลันหัวเราะออกมาด้วยความเย็นชา “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าพูดจาน่าขันจริงเชียว ข้าจะไปทำร้ายท่านพี่ของข้าได้อย่างไรกัน เขาคือท่านพี่ของข้า การที่ข้าทำร้ายเขา มันจะไปส่งผลดีต่อตัวข้าได้อย่างไร”

ผู้คนที่ได้ฟังก็พลันพยักหน้าราวกับเห็นด้วยในคำพูดของซูหว่าน หากมองภาพรวมแล้ว การที่เย่เย่ตายไป อนาคตของซูหว่านย่อมมิสู้ดี เป็นเช่นนี้ ผู้คนถึงไม่มีผู้ใดปักใจเชื่อว่า เข็มเงินของซูหว่านจะมีปัญหาเกิดขึ้น

“หากเย่เย่ตายไปในเงื้อมมือของข้า ย่อมต้องส่งผลดีต่อเจ้า นั่นเป็นเพราะท่านเจ้าเมืองเย่เฉิงย่อมไม่ปล่อยข้าไปแต่โดยดี ในสายตาของคนภายนอก เย่เย่ตายไปในเงื้อมมือของข้า อย่างที่สอง ท่านเจ้าเมืองเย่เฉิงสูญเสียบุตรชายไปเช่นนี้ ย่อมต้องเศร้าโศกเสียใจยิ่งนัก เจ้า ซูหว่านเป็นสตรีที่บุตรชายของเขาชมชอบ ย่อมต้องใช้เวลานี้ในการแสดงความกตัญญูออกมา รวมไปถึงการที่เจ้าคุกเข่าต่อหน้าข้าเพื่อให้ทำการรักษาเย่เย่นั้น อาจเป็นไปได้ว่า ท่านเจ้าเมืองย่อมต้องทราบซึ้งใจในการกระทำเช่นนี้ จึงได้นับเจ้าเป็นบุตรสาวคนหนึ่ง ท้ายที่สุดแล้ว หากเย่เย่ตายไป ก็สามารถสร้างความร้าวฉานให้กับเมืองเย่เฉิงและตงหลิงได้ บางทีเจ้าอาจจะไม่ต้องแต่งให้กับเจ้าเมืองจินเฉิงก็ได้ ” เฟิ่งชิงเฉินพลันค่อย ๆ วิเคราะห์การกระทำของซูหว่านออกมาเป็นขั้นเป็นตอน ทั่วร่างของซูหว่านพลันสะท้านออกมาในทันที

“แต่งให้ท่านเจ้าเมืองจินเฉิง? นี่มันเรื่องอะไรกัน?” งานแต่งของซูหว่านและท่านเจ้าเมืองจินเฉิง ผู้ที่รู้เรื่องนี้ย่อมมีไม่มาก การที่ท่านเจ้าเมืองเย่เฉิงเอ่ยถามเรื่องนี้ ก็ไม่นับว่าแปลกแต่อย่างใด

“ตระกูลซูนำซูหว่านไปแลกเปลี่ยนกับเงินสินสอดทองหมั้นมากมายถึงเพียงนั้น เช่นนั้นแล้ว ท่านเจ้าเมืองเย่เฉิงคิดว่า เหตุใดซูหว่านทำสิ่งใดโดยไม่สนใจหน้าตาตระกูลซูเลยเล่า ถึงกลับคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนข้า ท่านคิดว่าซูหว่านคิดถึงแต่เพียงเย่เย่จนไม่สนใจหน้าตาของตระกูลซูงั้นหรือ? แท้จริงแล้ว ซูหว่านโดนคนของตระกูลซูละทิ้งนางไปตั้งนานแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินค่อย ๆ ฉีกใบหน้าของซูหว่านออกทีละชั้น ทีละชั้นอย่างไม่มีความปรานี

“ซูหว่าน นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ท่านเจ้าเมืองเย่เฉิงหาใช่คนโง่ไม่ ย่อมเข้าใจความหมายของเฟิ่งชิงเฉินว่า เป็นจริงหรือเท็จ เรื่องเช่นนี้เฟิ่งชิงเฉินหาได้กล้าเอ่ยเล่าความเท็จไม่ มีแต่นางที่สืบเรื่องราวจนกระจ่างแจ้งแล้วต่างหาก

เฟิ่งชิงเฉินมิได้เอ่ยเล่าออกมาทั้งหมด แต่ทว่า นางก็พูดออกไปได้ประมาณแปดส่วนแล้ว ใช้ความใจเย็นเข้าเผชิญหน้ากับเรื่องราว ทั้งยังมองเรื่องราวออกอย่างทะลุปรุโปร่งเช่นนี้อีก เฟิ่งชิงเฉินในยามนี้ดูน่ากลัวยิ่งนัก แววตาของซูหว่านพลันฉายแววหวาดกลัวเฟิ่งชิงเฉินขึ้นมาอย่างจับใจ

“อย่าถามข้า อย่าถามข้า ข้าหาได้รู้เรื่องอันใดไม่ ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย ฮือฮือฮือ” เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของท่านเจ้าเมืองเย่เฉิง ซูหว่านที่ไม่รู้ว่าควรจะตอบไปเช่นไร จึงได้แต่ร่ำไห้ออกมา

ในขณะเดียวกัน ซุนซือสิงก็หาปัญหาของเข็มเงินพบในทันที

“ท่านอาจารย์บนเข็มมีอะไรบางอย่างอยู่” ซุนซือสิงค่อย ๆ ใช้ผ้าขาวห่อเข็มเงินเอาไว้ พร้อมกับเช็ดมันเบา ๆ จู่ ๆ ก็พลันมีร่องรอยอะไรบางอย่างปรากฏตัวขึ้นมาบนผ้าขาว

“เจ้ามองออกหรือไม่ ว่ามันคือสิ่งใด” เมื่อฟังจากน้ำเสียงของเฟิ่งชิงเฉินแล้ว ทุกคนจึงรู้ได้ว่า เฟิ่งชิงเฉินกำลังถามเพื่อทดสอบซุนซือสิงอยู่ เป็นอย่างที่นางเคยพูดไปก่อนหน้านั้น นี่ถือเป็นโอกาสในการฝึกปรือฝีมือของซุนซือสิง

แท้จริงแล้ว เฟิ่งชิงเฉินมิได้รู้เรื่องเลย

ด้วยระยะเวลาในการเรียนที่ผ่านมา เฟิ่งชิงเฉินพอจะเข้าใจในทักษะของแพทย์แผนจีนขึ้นมาแล้วในระดับหนึ่ง ทั้งยังเชี่ยวชาญในการใช้งานยิ่งนัก ทว่า ความรู้ทางด้านเภสัชที่มีอย่างจำกัดของนาง สิ่งของที่อยู่บนเข็มเงินนั้น หากนางมองออก นางคงรับรู้ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเข็มเงินของซูหว่านแล้ว

ซุนซือสิงพลันส่งมอบเข็มเงินคืนให้กับเฟิ่งชิงเฉิน พร้อมกับหยิบเครื่องมือออกมาจากกล่องยาของเฟิ่งชิงเฉิน แล้วจึงกล่าวยืนยันกับเฟิ่งชิงเฉินว่า “ท่านอาจารย์ สิ่งของที่อยู่บนนี้ เป็นยาชนิดหนึ่งเท่านั้น หาใช่ยาพิษไม่”

“ไม่ใช่ยาพิษ” เพียงแค่สามคำนี้ นับว่าเป็นข่าวดีต่อซูหว่านยิ่งนัก แววตาของนางพลันแปล่งประกายขึ้นมา น้ำเสียงสะอึกสะอื้นเมื่อครู่หายไปเป็นปลิดทิ้ง ยังมิทันที่ซุนซือสิงจะพูดจบ ซูหว่านก็รีบร้อนพูดตัดบทในทันที พร้อมกับกล่าวออกมาอย่างมีชัยว่า “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าได้ยินหรือไม่ เข็มเงินไม่มีพิษ ข้าจะไปทำร้ายท่านพี่ได้อย่างไร ข้าที่ชื่นชอบท่านพี่ถึงเพียงนั้น จะทำร้ายเขาได้อย่างไร เฟิ่งชิงเฉิน จิตใจเจ้ามันชั่วร้ายยิ่งนัก เป็นผู้ใดกันแน่ที่มีเจตนาร้าย?”

ทุกคนล้วนแต่เห็นเหมือนกันหมดว่า ซูหว่านที่กำลังร้องไห้ฟูมฟายเมื่อครู่ เป็นแค่การหลีกหนีคำถามเท่านั้น ถึงแม้ว่าซูหว่านจะมิได้เป็นสตรีที่ฉลาดอันใดมาก แต่นางก็มีเล่ห์กลมากมายนัก

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท