นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 577 โหดเหี้ยม บาดแผลของเฟิ่งชิงเฉินไม่ให้ใครดู

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 577 โหดเหี้ยม บาดแผลของเฟิ่งชิงเฉินไม่ให้ใครดู

วันที่สามในยามอาทิตย์อัสดง ในที่สุดทั้งสองก็เดินทางมาถึงเมืองอี้สุ่ย

ตลอดทางอาจเป็นเพราะเสี่ยวไป๋วิ่งเร็วพอหรือเป็นเพราะคนของตี๋เก่งกาจจึงได้ถ่วงตัวคนชั่วเอาไว้ได้ สรุปก็คือนอกจากที่นางพบโจรขโมยม้ากลุ่มนั้นแล้ว ตลอดทางนางก็ไม่พบคนที่มาหาเรื่องใดๆ อีก บางครั้งมีคนที่ไม่มีตาม้าตาเรือหลงในรูปโฉมของนางและคิดลามกแล้วก็ถูกฝู่หลินทำให้กลัวจนจากไป

อดพูดไม่ได้ว่าฝู่หลินยังไม่เก่งกาจนัก เขาไม่มีทางเก็บรัศมีที่บ่งบอกว่าเขาเป็นยอดฝีมือไปได้เลย ท่าทางของฝู่หลินนั้น เพียงดูก็รู้ว่าเป็นยอดฝีมือ คนธรรมดาจึงไม่กล้าหาเรื่อง เฟิ่งชิงเฉินจึงมีบอดี้การ์ดฟรีเพิ่มมาอีกคน

เมื่อเห็นว่าประตูเมืองกำลังจะปิดลงแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็บอกให้ฝู่หลินเร่งความเร็ว “พวกเราเข้าเมืองพักหนึ่งคืนค่อยเดินทางต่อ” ไปที่หุบเขาในยามวิกาลก็มีแต่จะเอาชีวิตไปทิ้ง แม้จะรีบแค่ไหนก็ไม่อาจละเลยความปลอดภัยของตนเอง

นางยังอยากมีชีวิตกลับไป นางยังต้องกลับไปขอโทษเสด็จอาเก้า กลับไปบอกหลานจิ่วชิงว่านางมีชีวิตกลับมาแล้วให้เขาไม่ต้องกังวล

“ข้าเข้าเมืองไม่ได้ ข้าจะรอเจ้าอยู่นอกเมือง พรุ่งนี้พวกเราค่อยพบกันที่นอกเมือง” ฝู่หลินไม่มีป้าประจำตัวและหนังสือผ่านทางจึงเข้าเมืองไม่ได้ เรื่องนี้เมื่อเจอบ่อยเข้า ฝู่หลินก็เข้าใจไปเอง

“ไม่ต้องกังวล มีข้าอยู่” ตี๋เป็นเด็กดี นอกจากจะเตรียมหนังสือป่านทางให้นางแล้วยังให้ตราของซู่ชินอ๋องมาด้วยเพื่อให้นางขอความช่วยเหลือจากทางการได้อย่างสะดวก เมื่อมีตรานี้ เดินทางไปที่ใดในตงหลิงก็ไม่ต้องกลัว

แน่นอนว่าตราของเสด็จอาเก้าก็สามารถใช้ได้ด้วยเช่นกัน แต่ว่าตราของเสด็จอาเก้านั้นสูงส่งเกินไป เอาออกมาใช้ก็ง่ายที่จะทำให้เปล่งประกายจนคนอื่นแสบตา นางต้องถ่อมตัวไว้หน่อย

การล่าช้าเช่นนี้ เมื่อทั้งสองคนเดินทางมาถึงประตูเมือง ประตูเมืองก็กำลังปิดพอดี เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกเก้อ เมื่อถึงหน้าประตู นางก็หยิบตราของซู่ชินอ๋องออกมาและตะโกนเรียก “เปิดประตู”

“ใครตะโกนอยู่ด้านล่าง ประตูเมืองปิดแล้ว หากต้องการเข้าเมืองก็รอพรุ่งนี้เช้า” ทหารเฝ้าประตูเมืองไม่มองนางเลยสักนิด เห็นได้ว่าพวกเขาคุ้นเคยกับเหตุการณ์เช่นนี้ดี

“ช่างเถอะ พวกเราไม่เข้าเมืองก็ได้ พักนอกเมืองก็เหมือนกัน” ฝู่หลินเดินไปเดินมาอยู่หน้าประตูเมืองของทุกแคว้นจนเคยชินกับการกระทำของพวกเขาแล้ว

“พวกเราต้องพักผ่อนดีๆ จึงจะมีแรงไปช่วยคน” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้บอกฝู่หลินว่านางขี่ม้าโดยไม่หยุดพักมาสิบวันจนขาด้านในของนางมีรอยแผลจากการเสียดสีเต็มไปหมดและไม่มีที่ใดปกติเหลืออยู่เลย หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้นางทายาไว้ก่อนบวกกับชุดกันหนาวด้านในของนางสามารถกันน้ำได้ด้วย ฝู่หลินก็คงเห็นสองขาที่เลือดออกซิบๆ

ฝู่หลินขี่ม้าเพียงสามวัน แต่นางขี่ม้ามาสิบวัน แผลที่ต้นขาด้านในน่ากลัวเพียงใด มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้

“ตามใจเจ้า” ฝู่หลินไม่ยืนกรานต่อ รีบเร่งเดินทางติดต่อกันสามวันบนหลังม้า เขาก็แทบทนไม่ไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเฟิ่งชิงเฉินที่เป็นเพียงหญิงสาว อีกทั้งก่อนหน้านี้เฟิ่งชิงเฉินก็รีบเร่งเดินทางติดต่อกันหลายวัน ดูท่าทางของนางแล้วคงต้องการการพักผ่อนดีๆ จริงๆ

เมื่อเห็นว่าฝู่หลินตกลง เฟิ่งชิงเฉินก็ตะโกนเสียงดังประกาศตัวตน “ซู่ชินอ๋องมีธุระด่วน เปิดประตูเมือง”

ในสามวันมานี้นางอยู่กับฝู่หลินตลอดจึงไม่มีโอกาสทำแผลที่ต้นขา ในที่สุดวันนี้ก็เข้าเมืองมาได้แล้ว อย่างไรนางก็ต้องหาโอกาสทำแผลให้ตนเองสักหน่อย มิเช่นนั้นแผลของนางต้องเน่าแน่ หรือถึงแม้ว่าจะไม่เน่า หากถูกหวังจิ่นหลิงเห็นบาดแผลของนางเข้าก็คงไม่ดี

สองขาของนางเจ็บปวดจนชา หลายวันมานี้นั่งอยู่บนหลังม้า แม้แต่ขยับนางก็ไม่อยากขยับ เพียงแค่ขยับก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวเหมือนถูกฉีก แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ นางก็ยังทำเป็นไม่เป็นอะไร

นางไม่กล้าให้ฝู่หลินรู้ว่าบนตัวนางมีบาดแผล หากเกิดเขารู้ว่าบนตัวนางมีบาดแผลแล้วคิดทำอะไรไม่ดีเล่า นางไม่รู้จักฝู่หลินขนาดนั้น หากไม่ใช่เพราะต้องการเร่งรีบไปช่วยหวังจิ่นหลิง นางไม่มีทางร่วมเดินทางไปกับคนแปลกหน้าแน่

“อะไรนะ? ซู่ชินอ๋อง?” ทหารเฝ้าประตูเมืองตกใจและรีบวิ่งลงมา

แม้จะมีคำบอกว่าหากมีเรื่องอะไรแทนที่จะหาผู้เป็นหัวหน้า มิสู้ไปหาผู้ที่จัดการดูแลเรื่องนี้โดยตรง แต่จวนซู่ชินอ๋องมีชื่อเสียงโด่งดัง ทหารเฝ้าประตูไฉนเลยจะกล้ารอช้า เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้น ประตูบานเล็กด้านข้างถูกเปิดออก ทหารเอ่ยถามขึ้นอย่างนอบน้อม “ใต้เท้าทั้งสอง พวกท่านมีป้ายประจำตัวหรือไม่?”

ในยุคนี้ไม่ใช่เพียงแค่บอกว่าตนเองเป็นใครอีกฝ่ายก็จะเชื่อ จะต้องมีสิ่งของยืนยันตัวตน ต้องรู้ว่าในยุคนี้ไม่มีรูปภาพของขุนนาง ผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงมาทั้งชีวิตก็ไม่แน่ว่าจะรู้จักผู้เป็นขุนนางสักกี่คน

เฟิ่งชิงเฉินส่งป้ายให้เขา อีกฝ่ายรับด้วยสองมือและกล่าวว่า “เชิญท่านทั้งสองรอสักครู่” จากนั้นก็นำป้ายเข้าไปในเมืองเพื่อหาคนมายืนยันตัวตน

“เจ้าไม่กลัวว่าเขาจะเอาป้ายของเจ้าไปหรือ?” ฝู่หลินแปลกใจเล็กน้อย ในความคิดของเขาแล้ว ป้ายนั้นน่าจะต้องล้ำค่ามาก เหตุใดจึงให้คนอื่นไปได้ง่ายๆ

“พวกเขาไม่กล้าหรอก” เฟิ่งชิงเฉินไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย

คนเหล่านี้เมื่อเกิดมาก็ถูกล้างสมองด้วยแนวคิดเชื่อฟังและกตัญญูกตเวที พวกเขาไม่กล้าคะคานกับผู้ที่อยู่สูงกว่า

เป็นดังคาด ในเวลาหนึ่งก้านธูป เจ้าเมืองอี้สุ่ยก็ออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ทั้งขออภัย ทั้งกล่าวต้อนรับ ทั้งอาหารเครื่องดื่มชั้นเลิศก็ถูกนำมาด้วย ทั้งยังมอบที่พักส่วนตัวของตนเองให้แก่พวกเขา

หากไม่ใช่เฟิ่งชิงเฉินบอกว่าพวกเขามีธุระที่ต้องทำ ต้องการพักผ่อน ไม่แน่เจ้าเมืองอี้สุ่ยก็คงจะมาอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนพวกเขา

“จอมปลอมยิ่งนัก” เมื่อเจ้าเมืองจากไป ฝู่หลินก็พูดอย่างรังเกียจ

“นี่เป็นเรื่องปกติ อย่าลืมว่าพวกเรามาจากเมืองหลวง เขาย่อมต้อนรับเราอย่างดี ที่นี่คือจวนเจ้าเมือง วันนี้พวกเราคงจะปลอดภัย อาบน้ำร้อนและนอนหลับดีๆ พรุ่งนี้รุ่งสางพวกเราค่อยออกเดินทาง”

เมื่อเผชิญหน้ากับการเอาอกเอาใจของเจ้าเมือง เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้สึกแปลแต่อย่างใด อีกทั้งยังเคยชินเสียแล้ว เรื่องเช่นนี้ยามที่นางอยู่ยุคปัจจุบันก็เคยได้รับอภิสิทธิ์นี้

ในโรงพยาบาลทหาร นางถูกคนดูถูกว่าเป็นหมอตัวเล็กๆ ใครก็สามารถเรียกใช้นางได้ แต่เมื่อออกไปทำงานนอกสถานที่ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเหล่านั้นล้วนปฏิบัติต่อนางอย่างเกรงใจ เพราะนางเป็นตัวแทนของโรงพยาบาลกลางของทหาร

เจ้าเมืองอี้สุ่ย แม้จะเป็นขุนนางที่จิตใจดี สามารถเสวยสุขอยู่ที่เมืองอี้สุ่ยได้ แต่เมื่อไปถึงเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยตระกูลผู้ดีและเชื้อพระวงศ์แล้ว เขาก็ไม่ใช่อะไรเลย ไม่ว่าพบใครก็ต้องก้มหัวคำนับ

ขุนนางในเมืองหลวงใกล้ชิดกับองค์จักรพรรดิ ขุนนางท้องถิ่นเมื่อเทียบกับขุนนางในเมืองหลวงแล้วนับว่าต่ำกว่าระดับหนึ่ง การเอาอกเอาใจนี้ก็เพื่อนให้พวกเขาได้ถูกพูดถึงในทางที่ดีต่อหน้าเหล่าผู้ดี

หากเทียบกับปัจจุบันก็เรียกว่าเมื่อคนจากส่วนกลางมา จะไปที่ใดก็ถูกต้อนรับอย่างดี หากเทียบพวกเขากับยุคปัจจุบัน จะได้รับการต้อนรับระดับผู้ตรวจการมณฑลก็ไม่นับว่ามากไป ซู่ชินอ๋องถือเป็นผู้มีอำนาจทางการเมืองระดับใหญ่ เป็นผู้ที่มีอำนาจล้นฟ้า

เมื่อมีคำพูดนี้ของเฟิ่งชิงเฉิน ฝู่หลินก็เพลิดเพลินกับการปรนนิบัติของจวนเจ้าเมืองอย่างสบายใจ นางพอเดาได้ว่าฝู่หลินก็คงไม่ฐานะไม่เบา คาดว่ายามอยู่ที่บ้านก็คงเป็นผู้สูงศักดิ์เช่นกัน

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็สบายใจแล้ว เมื่อมาถึงห้องของตนเอง เฟิ่งชิงเฉินก็โบกมือให้เหล่าข้ารับใช้ออกไป นางถอดเสื้อผ้าและชุดกันหนาวที่สวมไว้ด้านในออกก็เห็นกางเกงชั้นในที่ถูกเลือดย้อมจนแดง

เลือดบนกางเกงด้านในแห้งไปนานแล้ว สีเลือดนั้นเข้มอ่อนไม่เท่ากัน นี่เป็นเพราะเมื่อเลือดแห้งไปแล้วก็ยังมีเลือดใหม่ซึมออกมาอีกจึงได้เป็นเช่นนี้ อีกทั้งกางเกงยังแห้งกรังติดกับแผลจนไม่สามารถถอดได้

เฟิ่งชิงเฉินหยิบผ้าออกมาฝืนหนึ่ง พับและกัดไว้ในปาก นางหลับตาลงและใช้แรงถอดกางเกงออกมา

เจ็บบบบ!

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท