นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 578 ถูกห่านจิก ยามซวยแม้แต่ดื่มน้ำก็ติดฟัน

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 578 ถูกห่านจิก ยามซวยแม้แต่ดื่มน้ำก็ติดฟัน

อืม… เฟิ่งชิงเฉินร้องครางในลำคอ มันเจ็บเสียจนนางร้องโอดครวญ เม็ดเหงื่อไหลลงมาตามแก้ม แต่นี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุด มันเป็นจุดเริ่มต้นต่างหาก

เมื่ออดกางเกงด้านในออกแล้ว ขาของนางยังมีผ้าพันแผลที่ยังหลงเหลืออยู่ ผ้าพันแผลเหล่านี้เปลี่ยนสีไปหมดแล้วและติดอยู่กับบาดแผล

เฟิ่งชิงเฉินเอาผ้าที่กัดไว้ออกและหอบหายใจ จากนั้นก็กัดผ้าใหม่อีกครั้งและหยิบกรรไกรออกมาจากกล่องเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะมาเฉือนเนื้อที่ต้นขาด้านในที่ติดอยู่กับผ้าพันแผลออก

“แคว่ก…” ผ้าพันแผลหลุดพร้อมออกมาจากชิ้นเนื้อ เฟิ่งชิงเฉินเจ็บปวดจนแทบหยุดหายใจ หน้าผากของนางมีเหงื่อผุดออกมาไม่หยุด เจ็บเสียจนมือทั้งสองของนางสั่นเทา…

มือของนางไม่เคยสั่นมานานมากแล้ว

เฟิ่งชิงเฉินหอบหายใจเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดและทำการฉีกผ้าพันแผลออกต่อ ผ้าพันแผลมีเลือดซึมออกมาจนทั่วอยู่แล้วและยังแข็งทื่อเป็นก้อน ชั้นที่อยู่ติดกับแผลแทงเข้าไปในแผลด้วย เฟิ่งชิงเฉินต้องใช้คีมคีบจึงจะนำมันออกมาได้แล้วจึงค่อยดึงออก

คีมคีบเย็นเฉียบกระทุ้งเข้าไปในแผลเปื่อยสามารถทำให้คนตายเจ็บจนฟื้นขึ้นมา แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับไม่ร้องสักแอะ นางกลัวว่าหากนางพูดออกมาว่าเจ็บ นางจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว

มันเจ็บปวดแสนสาหัส

เฟิ่งชิงเฉินเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก จากนั้นก็ก้มหน้าลงต่อสู้กับบาดแผลที่ต้นขาด้านใน ในใจก็คิดว่า ผู้ที่มีแผลพุพองนั้น ทุกครั้งที่ถูกแกะผ้าพันแผลออก ความเจ็บปวดของพวกเขาก็คงจะเหมือนๆ กับนางในยามนี้ พวกเขาทนได้ นางก็ต้องทนได้เช่นกัน

หลังจากที่เจ้าเมืองอี้สุ่ยรีบร้อนจากไปแล้วก็ไม่ได้ไปพักผ่อนดังเช่นนี้เฟิ่งชิงเฉินคิด แต่เขาไปที่กองปราบรายงานชายวัยกลางคนในชุดหรูหราอย่างนอบน้อม “ใต้เท้า ผู้มาเยือนมาจากเมืองหลวง มีตราของซู่ชินอ๋อง ขี่ม้าศึกชั้นดี แต่ไม่ได้มีเพียงหญิงสาวคนเดียว แต่เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ผู้น้อยลองหยั่งเชิงพวกเขาดูแล้ว พวกเขาปิดปากกันอย่างดี แม้แต่ชื่อก็ไม่ยอมบอกขอรับ”

“ชายหนึ่งหญิงหนึ่งหรือ? หญิงสาวนางนั้นรูปโฉมงดงาม รูปร่างสะโอดสะอง ท่าทางสูงศักดิ์ กิริยางามสง่าไม่อ่อนแอเหมือนหญิงสาวธรรมดาหรือไม่?” หรือว่ามีการรายงานผิดพลาด? เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้เดินทางเพียงคนเดียว? ชายวัยกลางคนผู้นั้นลุกขึ้นอย่างไม่สบายใจนักและเดินวนไปวนมาในห้องเล็กน้อย

ในยามนี้หญิงสาวปรากฏกายขึ้นที่เมืองอี้สุ่ยทั้งยังมีตราของซู่ชินอ๋อง นอกจากเฟิ่งชิงเฉินแล้วไม่มีทางมีคนที่สอง

“ตอบใต้เท้า ใช่ขอรับ สตรีนางนั้นท่าทางไม่ธรรมดา ทำให้คนรู้สึกไม่กล้าสบตาหรือต่อต้าน ยามเผชิญกับการต้อนรับอย่างหรูหราของข้า นางก็ไม่ได้ตกใจ แต่กลับมีท่าทีเป็นธรรมชาติ” เจ้าเมืองครุ่นคิดเล็กน้อยและพยักหน้ารับ

แม้ว่านางจะเนื้อตัวมอมแมมและดูเหนื่อยมาก แต่ก็ไม่อาจบดบังใบหน้างดงามที่มีมาแต่เกิดของนางได้ ท่าทางของนางแตกต่างจากหญิงสาวทั่วไป เขายังคิดไปว่าหญิงสูงศักดิ์ล้วนเป็นเช่นนี้ ที่แท้นี่กลับเป็นลักษณะพิเศษเฉพาะตัวของนาง

“เช่นนั้นก็คงใช่แล้ว นางปรากฏตัวขึ้นที่นี่ในยามนี้ ทั้งยังมีความสง่างามถึงเพียงนี้ หากไม่ใช่เฟิ่งชิงเฉินก็คงไม่ใช่ผู้อื่น สั่งการลงไป ดำเนินแผนการได้ จะให้พวกนางมีชีวิตรอดออกไปจากเมืองไม่ได้เด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?” ชายวัยกลางคนหมุนตัวมาสั่งเจ้าเมือง

“ขอรับ ใต้เท้า เชิญท่านวางใจได้เลย ผู้น้อยจะต้องทำเรื่องนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี” เจ้าเมืองรีบตอบรับ

ชายวัยกลางคนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ดีมาก หากทำสำเร็จ รับรองได้ว่าตำแหน่งของเจ้าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง หากนายท่านมีความสุข ไม่แน่ว่าอาจจะมีตำแหน่งที่สูงกว่านี้”

“ขอบคุณที่ใต้เท้าเมตตา ผู้น้อยจะไม่ทำให้ใต้เท้าต้องผิดหวังแน่นอน เพื่อใต้เท้าแล้ว ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ ผู้น้อยก็ทำได้” เจ้าเมืองได้ยินคำรับปากของอีกฝ่ายแล้วก็รีบแสดงความจงรักภักดี

“อืม ไปจัดการเถอะ จำไว้ว่าข้าจะเอาศพของนางกลับไป” ชายวัยกลางคนย้ำเตือนอีกครั้ง

เป็นก็ต้องเห็นคน ตายก็ต้องเห็นศพ

เจ้าเมืองไม่กล้าพูดอะไรอีก เขารีบไปสั่งการส่งคนไปล้อมโจมตีจวนเจ้าเมือง

เขาไม่เชื่อว่าภายใต้การล้อมอย่างหนาแน่นเช่นนี้พวกเขาจะหนีออกไปได้ แม้จะเหาะออกไปได้ เขาก็ต้องจับตัวอีกฝ่ายมาให้ได้ เขาติดแหง็กอยู่ที่นี่มากว่ายี่สิบปีแล้ว ใครก็จะมาขัดขวางการเลื่อนตำแหน่งของเขาไม่ได้

บาดแผลด้านในต้นขาของเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ร้ายแรงนัก แต่ผิวหนังที่อยู่ชั้นบนไม่เหลือแล้ว บาดเจ็บเช่นนี้แน่นอนว่าจะโดนน้ำไม่ได้ ความหวังที่จะแช่น้ำร้อนของนางหายไปในพริบตา เฟิ่งชิงเฉินใส่ยาแล้วก็พันแผลอีกครั้ง

พรุ่งนี้ยังต้องขี่ม้าและเดินทางอีก เฟิ่งชิงเฉินจึงไม่อยากพันหนานัก นางเพียงพันผ้าไม่กี่รอบ แน่ใจว่าเลือดไม่ซึมออกมาแล้วก็เช็ดตัวอย่างลวกๆ นางเหนื่อยจนแทบทนไม่ไหวแล้ว ยามที่กำลังจะเช็ดผมให้แห้งเพื่อเตรียมตัวนอน ที่ประตูกลับมีเสียง “ก๊อกๆ” ดังขึ้น

“ใครน่ะ?” เฟิ่งชิงเฉินระงับความอยากด่าคนและหาวออกมา

นางง่วงจะตายอยู่แล้ว ยังจะรบกวนการนอนของนางอีก เบื่อชีวิตแล้วหรือไง

“เฟิ่งชิงเฉิน เปิดประตูเร็วเข้า” น้ำเสียงของฝู่หลินเต็มไปด้วยกลิ่นดินปืน

“ฝู่หลิน ดึกขนาดนี้แล้ว มีเรื่องอะไรหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินตกใจและรีบคว้าเสื้อนอกมาใส่

“เรื่องใหญ่แล้ว” ฝู่หลินไม่ได้ตื่นตูมไปเอง เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วจริงๆ มิฉะนั้นเขาคงไม่นอนและมาเคาะประตูห้องนางกลางดึกเช่นนี้

เฟิ่งชิงเฉินเพิ่งเปิดประตู ฝู่หลินก็พุ่งเข้ามาในห้องนาง อีกทั้งยังรีบปิดประตูและใช้สายตาสำรวจมองเฟิ่งชิงเฉินที่อยู่ด้านหน้าด้วยท่าทางที่พร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อ

แม้ว่าสายตาของอีกฝ่ายจะบริสุทธิ์ไม่มีเจตนาลวนลามนางเลยแม้แต่น้อย แต่นางสวมเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย เมื่อถูกบุรุษผู้หนึ่งจ้องมองเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ค่อยพอใจนัก

การกระทำนี้ของฝู่หลินไม่ให้เกียรติผู้อื่นเอาเสียเลย เฟิ่งชิงเฉินจึงพูดด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “ฝู่หลิน ให้ดีเจ้าต้องมีเรื่องสำคัญ”

ไม่ผิดที่นางต้องการความช่วยเหลือของฝู่หลิน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านางต้องเอาอกเอาใจเขาเยี่ยงทาส

ฝู่หลินหรี่ตาลงพร้อมสีหน้าหนักอึ้ง “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าเป็นใครกันแน่? และเจ้าไปทำให้ผู้ใดขุ่นเคืองเข้า?”

ยามที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังระวังตัวจากฝู่หลิน ฝู่หลินก็ระวังตัวจากนางเช่นกัน ทั้งสองเป็นคนแปลกหน้าและไม่ได้รู้จักอีกฝ่ายมากนัก ระวังเล็กน้อยนับเป็นเรื่องปกติ หากทุ่มเทใจให้อีกฝ่าย เช่นนั้นต่างหากที่เรียกว่าโง่เขลา

หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าเสื้อผ้าของเฟิ่งชิงเฉินไม่เรียบร้อยและท่าทีไม่รู้เรื่องรู้ราว ฝู่หลินก็คงลงมือสังหารนางไปนานแล้ว ผู้ที่มีอำนาจบงการเจ้าเมืองอี้สุ่ยนั้นมีไม่มากและที่เขารู้จักก็มีเพียงเฟิ่งชิงเฉินเท่านั้น

เมื่อเฟิ่งชิงเฉินได้ยินน้ำเสียงของฝู่หลินก็รู้ว่าแย่แล้ว “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

มาถึงที่นี่แล้วยังมีปัญหาอีกหรือ?

“พวกเราถูกล้อมไว้แล้ว” ยามที่ฝู่หลินพูดเขาเอาแต่มองเฟิ่งชิงเฉิน เดิมทีเขาคิดว่านี่เป็นแผนร้ายที่มีเป้าหมายเป็นเขา เฟิ่งชิงเฉินคิดจะล้อมสังหารเขา แต่ในยามนี้มันเป็นแผนร้ายสำหรับเฟิ่งชิงเฉินมากกว่า ส่วนเขาซวยที่ร่วมเดินทางมากับนาง

“ถูกล้อม? เจ้าเมือง? เขาช่างบังอาจนัก” เฟิ่งชิงเฉินรีบสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว นางหยิบห่อผ้าบนโต๊ะขึ้นมา หยิบมีดสั้นหลายเล่มออกมาผูกไว้ที่ขาของนาง แป๊บเดียวก็ติดอาวุธพร้อม

“ไป” เฟิ่งชิงเฉินตื่นตัวเป็นอย่างมากราวกับไม่ใช่ผู้ที่เพิ่งเดินทางติดต่อกันมากว่าสิบวัน

“ไป? พวกเราจะไปยังไง?” ฝู่หลินกล่าวประชดประชัน

พวกเขาถูกเจ้าเมืองอี้สุ่ยล้อมไว้แล้ว นอกจวนเจ้าเมืองเต็มไปด้วยผู้คน ตอนนี้พวกเขาเป็นปลาในอวน จะหนีไปไหนได้…

พวกเขาไม่มีทางไปเลยด้วยซ้ำ!

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท