นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 583 คุณชายใหญ่ แม้จะต้องตาย ก็ควรตายอย่างสมศักดิ์ศรีสิ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

หลังจากร้องตะโกนมาหนึ่งวันแล้ว ย่างเข้าวันที่สอง เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่มีเสียงในทันที อย่าได้คิดที่จะร้องตะโกนเลย เพียงแค่นางเปิดปากพูดออกมาก็รู้สึกเจ็บคอยิ่งนัก เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าเส้นเสียงของนางได้รับบาดเจ็บเข้าเสียแล้ว เกรงว่า แม้แต่ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ในช่วงนี้ นางก็คงไม่อาจใช้เสียงไปได้สักพักใหญ่ ๆ

ในเมื่อไม่อาจตะโกนได้ดั่งเช่นเคย นางก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เฟิ่งชิงเฉินจึงจำเป็นต้องใช้วิธีที่ดูโง่เง่ามากที่สุด ก็คือการค่อย ๆ เดินตามหาไปทั่วทุกที่แทน หลังจากที่ผ่านช่วงกลางวันไปแล้วนั้น เฟิ่งชิงเฉินเพียงกินอาการแห้งไปไม่กี่คำ ยามที่กำลังจะนอนพักผ่อนอยู่นั้น จู่ ๆ เหยี่ยวก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าของนาง พร้อมทั้งแผดเสียงออกมาฉากใหญ่

ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินพลันเจือไปด้วยความดีใจไปในทันที พร้อมทั้งลุกขึ้นโดยไว เมื่อคิดที่จะเอ่ยถามเหยี่ยวดูว่า เจอคนแล้วใช่หรือไม่ นางกลับพบว่าตนเองไม่อาจส่งเสียงออกมาได้เลยแม้แต่น้อย ทำให้นางร้อนใจเสียจนแทบจะร่ำไห้ออกมาเลยทีเดียว

เหยี่ยวพลันหันมามองเฟิ่งชิงเฉินเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็กระพือปีกเตรียมออกบินไปในทันที ราวกับจะสื่อว่าให้เฟิ่งชิงเฉินตามมันมา เมื่อเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินรีบร้อนตามมันมานั้น มันจึงได้รีบออกเดินทางต่อในทันที

เมื่อเดินทางมาได้ครึ่งชั่วยามนั้น เฟิ่งชิงเฉินพลันเห็นหุบเขาลึกมากมายนัก ทว่า เหยี่ยวกลับบินมาหยุดที่ปากทางเข้าถ้ำแห่งหนึ่ง จากนั้นก็กระพือปีกไปมาหลายครั้ง ราวกับจะสื่อให้เฟิ่งชิงเฉินเดินเข้าไปด้านใน หลังจากเสร็จภารกิจที่ได้รับมอบหมายแล้ว เจ้าเหยี่ยวก็ไม่สนใจว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเข้าใจมันหรือไม่ พร้อมทั้งรีบบินหายไปในทันที

คนตายเป็นอะไรที่มันเกลียดมากที่สุด!

เมื่อเหยี่ยวบินจากไปแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็รีบวิ่งเข้าไปด้านในถ้ำในทันที ยังมิทันจะได้ย่างกรายเข้าไปด้านใน นางก็พลันได้กลิ่นเหม็นอะไรบางอย่างเหม็นโชยออกมา มันก็คือกลิ่น

เฟิ่งชิงเฉินราวกับสติหลุดไปครู่หนึ่ง ปากพลันค่อย ๆ อ้ากว้างขึ้น พร้อมทั้งรับรู้ได้ถึงความชื้นจากภายในจมูกของตนเอง หยาดน้ำตาพลันค่อย ๆ ไหลลงมาจากข้างแก้มในทันที

นี่เป็นกลิ่นเหม็นของศพ นางดมไม่ผิดแน่

ขาทั้งสองข้าของเฟิ่งชิงเฉินพลันหนักอึ้งไปในทันที ไม่ว่าอย่างไรก็ก้าวขาไม่ออกเลยแม้แต่น้อย นางได้แต่ส่ายหัวไปมา

กลิ่นเหม็นเน่าของศพเป็นตัวบ่งบอกว่ามีคนตาย ทว่า มันมิได้หมายความว่าจะต้องเป็นจิ่นหลิงที่ตาย ไม่ใช่ มันต้องไม่ใช่ จิ่นหลิงจะไม่ตาย คนที่อยู่ด้านในย่อมไม่ใช่จิ่นหลิง ย่อมไม่ใช่จิ่นหลิงแน่ ๆ

ในยามนี้ เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก นางไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปด้านในเลยแม้แต่น้อย นางกลัว นางกลัวว่านางจะเห็นเป็นร่างของจิ่นหลิง แล้วนางจะมิอาจทำใจได้

ฮือฮือฮือ น้ำเสียงแหบแห้งพร้อมกับกำลังร่ำไห้ออกมาของเฟิ่งชิงเฉิน คล้ายกับเสียงสัตว์ร้ายที่กำลังได้รับบาดเจ็บก็ไม่ปาน

สิ่งที่หมอส่วนใหญ่หวาดกลัวมากที่สุด ก็คือการที่เห็นบุคคลที่ตนเองรักและสหายคนสนิทของตนเองต้องมาตายอยู่บนเตียงห้องผ่าตัด แพทย์นิติเวชส่วนใหญ่มักจะกลัวว่าญาติและเพื่อนสนิทของตนเองต้องมานอนอยู่บนแต่งชำแหละศพ

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมองเห็นความเป็นความตายมามากมายนัก นั่นหมายความว่า พวกเขาย่อมหวาดกลัวความตายมากยิ่งขึ้น ทั้งยังรู้จักรักชีวิตและหวงแหนชีวิตของตนเองมากขึ้นอีกด้วย

เฟิ่งชิงเฉินที่ยืนอยู่หน้าปากทางเข้าถ้ำนั้น ได้แต่ร่ำไห้ออกมาไม่หยุด สองขาพลันเกิดอาการอ่อนแรงลง แต่นางก็ได้แต่พยายามที่จะยืดหยัดลุกขึ้นสู้

นางไม่อาจล้มลงไปได้ จิ่นหลิงยังรอนางอยู่

“้เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าต้องอดทนเอาไว้ อย่าได้ล้มลงไปเป็นอันขาด คนที่อยู่ด้านในอาจจะไม่ใช่จิ่นหลิงก็เป็นได้ เข้าไป เดินเข้าไปด้านใน เดินเข้าไปดูให้เห็นกับตา ถ้าหาก ถ้าหากเป็นจิ่นหลิงจริง ๆ ละก็ เช่นนั้น เช่นนั้น” เฟิ่งชิงเฉินได้แต่คิดให้กำลังใจตนเองภายในใจ เมื่อคิดไปถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาแล้ว นางก็มิอยากคิดอีก

หากว่าคนที่อยู่ด้านในเป็นหวังจิ่นหลิงจริง ๆ แล้วละก็ นางจะต้องทำเช่นไรดี นางไม่อาจทำอะไรได้เลย นางหาใช่พระเจ้าไม่ นางไม่อาชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นขึ้นมาใหม่ได้ นางไม่อาจเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่มันเกิดขึ้นไปแล้วได้

จิ่นหลิง จะต้องไม่ใช่เจ้า จะต้องไม่ใช่เจ้าอย่างแน่นอน

เฟิ่งชิงเฉินค่อย ๆ สูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ พร้อมกับกัดฟันตนเอง ดวงตาพลันเบิกกว้างขึ้น เพื่ออดกลั้นไม่ให้หยาดน้ำตาไหลออกมาอีก แล้วจึงนำแขนเสื้อของตนขึ้นมาเช็ดหน้าเช็ดตา เมื่อเช็ดเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางก็เดินจ้ำอ้าวเข้าไปด้านในถ้ำในทันที

ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นางก็จะต้องเข้าไปดูให้ได้ การที่นางยืนคิดฟุ้งซ่านอยู่ที่นี่ ไม่มีประโยชน์อันใดทั้งนั้น หากว่าตนเองไม่ได้เห็นด้วยตาของตนเอง ว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นกับจิ่นหลิงหรือไม่

“อ๊าก”

เมื่อเดินเข้าไปภายในถ้ำนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็พบกับสถานการณ์ที่น่าหดหู่ในทันที เฟิ่งชิงเฉินที่ได้เห็นสภาพเช่นนั้น พลันทรุดลงไปกับพื้น พร้อมทั้งส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา เสียงร้องของนางดังก้องไปทั่วภายในถ้ำในทันที

ด้านในถ้ำนั้น มีศพคนที่นอนระเกะระกะอยู่ห้าถึงหกคน ทั่วร่างของศพนั้น ล้วนแต่แห้งกังไปหมดแล้ว ทว่า มีอีกสองศพเท่านั้น ที่กำลังส่งกลิ่นเหม็นเน่าออกมา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ

จิ่นหลิงก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน

จิ่นหลิงนอนอยู่ด้านในสุด โดยมิได้ขยับตัวอันใด เสื้อผ้าที่อยู่บนร่างของจิ่นหลิงขาดรุ่งริ่ง ถึงกระนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็เห็นเขาเป็นคนแรกอยู่ดี

“จิ่นหลิง ไม่ใช่ ไม่ใช่ มันต้องไม่เป็นเช่นนี้” เฟิ่งชิงเฉินค่อย ๆย่างกรายเข้าไปด้านใน นางในยามนี้รู้สึกเศร้าใจจนถึงขีดสุด นางค่อย ๆ ร่ำไห้ออกมาโดยไม่มีเสียง นางในยามนี้เจ็บปวดเสียจนไม่รู้จะทำเช่นไรดี

“จิ่นหลิง จิ่นหลิง เจ้าจะต้องไม่เป็นอะไร เจ้าจะต้องไม่เป็นอะไรแน่”

“จิ่นหลิง เจ้ารอข้า เข้ารอข้า ข้ากำลังจะไปช่วยเจ้าแล้ว”

“จิ่นหลิง เจ้าต้องรอข้านะ เจ้าต้องรอข้า ข้ามาแล้ว ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว”

ผลัก แข้งขาของเฟิ่งชิงเฉินพลันอ่อนแรงลง นางสะดุดเข้ากับแขนของศพ แล้วล้มลงไปที่พื้นในทันที

เมื่อก้มลงไปมองนั้น ก็พลันเห็นว่าแขนนั้นมีเลือดไหลออกมามากมาย คล้ายกับว่าจะโดนก้อนหินที่แหลมคมควักก้อนเนื้อออกมา ดูจากสีเลือดแล้ว เกรงว่าจะผ่านมาได้สองวันเท่านั้น เฟิ่งชิงเฉินมิได้คิดอันใดมากมายนัก นางรีบปืนเข้าไปหาหวังจิ่นหลิงที่อยู่ด้านในในทันที

“จิ่นหลิง เจ้าอย่าทำให้ข้าตกใจเช่นนี้ เจ้ารับปากข้าแล้ว ว่าเจ้าจะปลอดภัยกลับมา เจ้าอย่าได้คิดผิดคำพูดเชียว” ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินในยามนี้ พลันเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตามากมายในทันที นางไม่อาจหยุดหยาดน้ำตาเหล่านั้นไม่ให้ไหลลลงมาได้เลยแม้แต่น้อย

นางมิชอบร้องไห้มากนัก อีกทั้งนางยังคิดว่า ผู้ที่ชอบร่ำไห้ออกมา ส่วนใหญ่มักคือคนที่อ่อนแอ แต่ทว่า นางในยามนี้เจ็บปวดเหลือเกิน นางตกอยู่ในความเศร้าโศกจนถึงขีดสุด จนนางไม่อาจหยุดหยาดน้ำตาของตนเองไม่ให้ไหลลงมาได้ มีเพียงหยาดน้ำตาเท่านั้น ที่จะระบายความเศร้าโศกเสียใจภ่ยในใจของนางออกมาได้ในเวลานี้

จิ่นหลิง ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ ถ้าหากข้ามาให้เร็วกว่านี้ละก็ หากข้ามาเร็วกว่านี้ บางทีเจ้าอาจจะไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็เป็นได้

ถ้าหาก ถ้าหากข้า

นางเกลียดการที่ต้องมาพูดกับตนเองว่า ถ้าหากทำเช่นนี้มันจะเป็นเช่นไรมากที่สุด ทว่า ในยามนี้ นางรู้สึกเสียใจยิ่งนัก

หวังจิ่นหลิง ยามที่นางมาอยู่ในโลกนี้ เขาเป็นสหายคนแรกของนาง และก็เป็นสหายที่จริงใจกับนางมากที่สุด นางไม่อาจยอมรับได้ หากหวังจิ่นหลิงจะต้องมาตายไป ทั้งยังไม่อาจยอมรับ กับการที่เขาต้องมาตกตายอยู่ที่นี่เช่นนี้

หวังจิ่นหลิง มีชื่อเสียงมากมายในใต้หล้าว่าเป็นคุณชายใหญ่ เขาไม่ควรจะต้องมาตกตายอยู่ในสภาพน่าอนาถเช่นนี้ เขาไม่ควรจะต้องมาตายอยู่ภายในถ้ำที่ไร้ชื่อเช่นนี้

คุณชายใหญ่ที่เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า หากจะต้องตาย ก็ต้องตายอย่างสมศักดิ์ศรี หากจะตาย ก็ต้องตายอย่างที่ผู้คนไม่อาจหลงลืมเจ้าไปได้

หวังจิ่นหลิง ไม่ควรจะต้องมาตายที่นี่! เขาไม่ควรจะต้องมาตายที่นี่!

นางไม่ยอมรับ นางไม่ยอมรับเป็นอันขาด!

นางไม่อาจยอมรับการตายของจิ่นหลิงไปได้ หากนางมิได้สัมผัสตัวจิ่นหลิงก่อน หากนางไม่อาจสัมผัสได้ถึงเส้นชีพจรของจิ่นหลิงจริง ๆ นางไม่อาจพูดได้ว่าหวังจิ่นหลิงได้ตายไปแล้ว

เฟิ่งชิงเฉินค่อย ๆ สูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ จากนั้นก็เช็ดหยาดน้ำตาของตนเองให้เรียบร้อย หลังจากที่ดวงตาทั้งสองข้างถูกหยาดน้ำตาชำระล้างออกมานั้น ดวงตาของนางก็ดูสดใสมากขึ้น แววตาของนางหาได้มีท่าทีโศกเศร้าดั่งเช่นในตอนแรกอีก มีเพียงความแน่วแน่และความไม่ยอมแพ้เท่านั้น

นางเป็นหมอ นางไม่อาจตัดสินความเป็นความตายของคนอันใดได้ เพียงเพราะใช้สายตา หากนางทำเช่นนั้น นางย่อมไม่มีความเป็นมืออาชีพ

จิ่นหลิงไม่อาจตายไปได้มิใช่หรือ? เขามีองครักษ์มากมายคอยปกป้องถึงเพียงนั้น เขาจะตายไปได้อย่างไร บาดแผลบนศพ ที่นางเหยียบไปเมื่อครู่ แผลที่แขนของเขา เกรงว่าจะเป็นเจ้าของร่างเองที่ทำการควัก มันออกมาเองกระมัง เพื่อให้หวังจิ่นหลิงได้กินประทังความหิวเอาไว้

อย่าได้คิดว่ามันน่าขยะแขยงเชียว ยามที่กำลังจะอดตายนั้น มิต้องพูดถึงเนื้อมนุษย์เลย แม้แต่เนื้อของตนเอง นางก็สามารถกินลงไปได้เช่นกัน

ถึงอย่างไร บางทีจิ่นหลิงอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้!

เฟิ่งชิงเฉินพลันลุกขึ้นยืน พร้อมทั้งหลับตาลง และหายใจเข้าออกอย่างช้า ๆ

จากนั้นก็ค่อย ๆ เปิดตาขึ้นมา ตอนนี้นางปรับอารมณ์ของตนเองได้แล้ว จากนั้นจึงก้าวข้ามศพไปอย่างช้า ๆ พร้อมทั้งไปหยุดที่ข้างกายของหวังจิ่นหลิง แล้วจึงนั่งคุกเข่าอยู่ข้างกายของเขา

เมื่อเดินเข้ามาใกล้ ๆ เช่นนี้ นางถึงได้รู้ว่า หวังจิ่นหลิงในยามนี้ ดูน่าสงสารยิ่งกว่าภาพในจินตนาการของนางมากนัก ทั่วร่างของเขาในยามนี้ซูบผอมเสียจน แทบจะไม่เหลือเนื้อหนังมังสาติดตัวไปอีก สภาพของเขาดูซูบผอมยิ่งกว่าเด็ก ๆ ในแทบเอฟริกาเสียอีก ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ทว่าใบหน้าของเขายังคงเปรอะเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มบาง ๆ

สุภาพบุรุษเช่นเขา ความเป็นคุณชายที่นุ่มนวลราวกับสายลมและปุยเมฆที่พัดผ่านคงฝังไปในกระดูกของเขาแล้วกระมัง แม้แต่ในยามที่สภาพของตนเองดูน่าอนาถเช่นนี้ แม้ว่าความตายจะมายืนอยู่ตรงหน้า จิ่นหลิงก็ยังคงมีความสง่างามดั่งเช่นเคย

จู่ ๆ รอยยิ้มก็พลันปรากฏอยู่บนใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินอย่างมิได้ตั้งใจเช่นกัน

จิ่นหลิง ข้าเชื่อใจเจ้า เสมือนกับที่เจ้าเชื่อใจข้า!

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท