นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 585 เรื่องน่าอาย ไม่ว่าจะถ่ายเบาหรือหนักล้วนแต่เป็นเรื่องธรรมชาติที่น่าเกลียดที่สุด

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

หวังจิ่นหลิงที่เพิ่งฟื้นขึ้นมานั้น นับว่าเป็นข่าวดีสำหรับเฟิ่งชิงเฉินยิ่งนัก นางจึงมิทันได้สังเกตเห็นท่าทีที่ผิดปกติไปของหวังจิ่นหลิง ทั้งยังมิได้สังเกตเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าใจของหวังจิ่นหลิงอีกด้วย

หลังจากที่ฉลองข่าวดีกันไปแล้ว เฟิ่งชิงเฉินจึงได้นำโคมไฟมาอุ่นซุปให้หวังจิ่นหลิงทาน

“จิ่นหลิง เจ้าลุกขึ้นมาดื่มอะไรหน่อยเถอะ” เฟิ่งชิงเฉินค่อย ๆ พยุงหวังจิ่นหลิงขึ้นมา พร้อมทั้งค่อย ๆ ป้อนซุปเข้าไป

หวังจิ่นหลิงยิ้มให้กับเฟิ่งชิงเฉินเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มเช่นเดียวกันกับที่เขายิ้มให้นางครั้งแรก รอยยิ้มของจิ่นหลิงนั้น คล้ายกับว่า เขามิเคยโกรธแค้นใครสักคนบนโลกใบนี้

จิ่นหลิงค่อย ๆ อ้าปากออกมา เพื่อให้ความร่วมมือเฟิ่งชิงเฉินในการป้อนอาหารเข้าไป โดยไม่มีการบ่นโอดครวญเกี่ยวกับร่างกายของตนเองหรือความเห็นแก่ตัวของตระกูลตนเองเลยแม้แต่น้อย

เขาคือหวังจิ่นหลิง เขาคือบุคคลที่ผู้คนในใต้หล้าสามารถละทิ้งเขาไปได้ เขาก็เป็นบุคคลคนหนึ่งที่รักและหวงแหนในชีวิตของตนเอง เขายังเป็นบุรุษที่รักและสนุกกับชีวิตของตน รู้จักโกรธเกลียดคนเช่นกัน ทว่า เขาไม่ชื่นชอบที่ตนเองจะต้องเอาอารมณ์โกรธแค้นมาดำเนินชีวิตต่อไปเช่นนี้ ทางเดียวของเขาในตอนนี้ก็คือการละทิ้งทุกอย่าง

ละทิ้ง ตั้งแต่ที่ตระกูลของเขาคิดจะทิ้งเขาให้มีสภาพเช่นนี้ เขาก็ได้ละทิ้งตระกูลของเขาไปแล้วเช่นกัน ตั้งแต่วันนั้น เขาเพียงวางตนเองเป็นคนหนึ่งในตระกูล หาใช่ผู้ที่ได้นั่งอยู่บนตำแหน่งท่านผู้นำตระกูลไม่

ในครั้งนี้ เขาเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตทั้งหมดเก้าคน และยังมีผลประโยชน์ของเขาที่ตระกูลหวังได้ละทิ้งมันไปเช่นกัน เพียงแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เพียงพอที่จะตอบแทนบุญคุณของตระกูลให้กับพ่อแม่ที่มีต่อเขา นับตั้งแต่ที่ตระกูลละทิ้งเขาไปนั้น เขาก็ไม่ใช่คุณชายใหญ่ของตระกูลหวังอีกต่อไป เขาเป็นเพียงแค่หวังจิ่นหลิง เป็นเพียงบุรุษที่ต้องการมีชีวิตอยู่เพื่อตนเองเท่านั้น

ความโกรธแค้นของหวังจิ่นหลิง มีอยู่เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น เพียงแค่แวบเดียวก็ทำให้เขาคิดได้แล้วว่าควรจะละทิ้งทุกอย่างไป เฟิ่งชิงเฉินหาได้รู้เรื่องไม่ว่า วินาทีแรกที่หวังจิ่นหลิงลืมตาขึ้นมานั้น เขาก็มีความคิดนี้ภายในหัวแล้ว

เวลาที่เหลืออยู่ หวังจิ่นหลิงจะมอบชีวิตของตนเองให้กับเฟิ่งชิงเฉิน ไม่ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะต้องการให้เขาทำสิ่งใด เขาก็จะทำตามที่นางบอก จะฟังแต่นางและให้การสนับสนุนนางเท่านั้น แต่ทว่า การที่เขาต้องมานอนโดยไม่อาจขยับตัวทำสิ่งใดได้เช่นนี้ ย่อมต้องมีเรื่องให้ต้องรู้สึกอับอายตามมา เช่นการถ่ายหนักถ่ายเบา

เมื่อได้กินอาหารและดื่มน้ำลงไปบ้าง เขาก็เริ่มที่จะปวดเบาแล้วเช่นกัน ถึงแม้ว่าหวังจิ่นหลิงจะเข้าใจได้เป็นอย่างดี ว่าอาภรณ์บนตัวเขาในยามนี้ ก็เป็นเฟิ่งชิงเฉินผลัดเปลี่ยนให้เขาเช่นกัน อาภรณ์ตัวเดิมที่อยู่ด้านในของเขาก็ถูกสับเปลี่ยนออกไปจนหมดเช่นกัน ในยามนี้ร่างกายของเขาจึงรู้สึกสบายตัวยิ่งนัก นั่นย่อมเป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉินช่วยเช็ดชำระล้างให้เขาอีกเช่นกัน แต่ทว่า ในช่วงเวลานั้น เป็นเขาที่นอนไม่ได้สติอยู่ แม้ว่าพวกเขาทั้งสองจะมิได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด หากแต่ความอับอายที่เขาต้องเผชิญก็ได้แต่ต้องเก็บเอาไว้ภายในใจ แต่ในยามนี้

เขาตื่นขึ้นมาแล้ว และต้องการไปปลดทุกข์ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจขยับกายของตนเองไปได้เลย ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่อาจทำสิ่งใดเพื่อตนเองได้เลยแม้แต่น้อย

หวังจิ่นหลิงพยายามเป็นอย่างมากที่จะกลั้นมันเอาไว้ แต่ก็ไม่อาจกลั้นไว้ได้ แม้ว่าเขาจะเป็นคุณชายใหญ่ที่รูปงาม แต่ทว่าเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนปุถุชนคนทั่วไปเช่นกัน เมื่อเขาที่พยายามอดกลั้นมันไว้เป็นเวลานานนั้น ก็เริ่มที่จะไม่มีเรี่ยวแรงต่อไปแล้ว หากว่าเขาปลดเบารดตัวเองละก็ ย่อมเป็นเรื่องน่าอายหนักกว่าเดิมแน่

หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งค่อนวัน หวังจิ่นหลิงก็ไม่อาจอดทนต่อไปได้อีก สีหน้าที่แดงก่ำของเขา พร้อมกับกะพริบตาด้วยความเร็วไว แล้วจึงกล่าวออกมาว่า “เอ่อ ชิงเฉิน ข้า ข้าอยากจะ” ถึงแม้ว่าเขาจะทำใจพูดออกมาแล้วนั้น แต่คำพูดดันติดอยู่ที่ปากมิกล้าเอ่ยออกมาเช่นเดิม

เรื่องเช่นนี้ เป็นการทำลายบรรยากาศดี ๆ ยิ่งนัก

“จิ่นหลิง เจ้าเป็นอะไรไป?” เฟิ่งชิงเฉินเป็นหมอ หาใช่พยาบาลไม่ ดังนั้น จึงมีเรื่องที่นางจะละเลยไปบ้าง เมื่อรวมไปถึงร่างกายของหวังจิ่นหลิงที่ได้รับความปลอดภัยแล้วนั้น นางจึงเผลอปล่อยตัวไปอย่างสบายใจ โดยเฉพาะอาการความเหนื่อยล้าของนางที่สะสมมานานนั้น ทำให้เฟิ่งชิงเฉินมิค่อยมีสติคิดทบทวนสิ่งใดมากนัก

“ข้า ข้าอยากปลดทุกข์” หวังจิ่นหลิงพลันหลับตาลง พร้อมกับกลั้นใจพูดออกมา ผู้ใดไม่รู้คงจะคิดว่าเขาเป็นวีรบุรุษที่พยายามโห่ร้องเพื่อที่จะพลีชีพตนเองอย่างแน่นอน แต่แท้จริงแล้ว หวังจิ่นหลิงเพียงแค่ทำใจกว้างเอ่ยออกมาเท่านั้น

“ปลดทุกข์ ? อ๋อ ได้ เจ้ารอสักครู่หนึ่ง” เฟิ่งชิงเฉินโทษตนเองที่ไม่รู้จักคิดให้ละเอียดรอบคอบมากกว่านี้ เหตุใดนางถึงได้หลงลืมเรื่องนี้ไปเสียได้

หวังจิ่นหลิงรู้สึกอับอายเสียแทบตาย แต่เขากลับพบว่าเฟิ่งชิงเฉินหาได้มีท่าทีรู้สึกอึดอัดใจไม่ ดังนั้น เขาจึงค่อย ๆ ปล่อยวางเรื่องนี้ลงไป เขาเองก็หาใช่ผู้ที่ถือตัวเลยแม้แต่น้อย

ทว่า ยามที่เฟิ่งชิงเฉินนำโถฉี่ขึ้นมาให้เขานั้น พร้อมทั้งบอกวิธีการใช้ไปมากมาย ในยามนี้ เขามีความคิดที่อยากจะฆ่าตัวเองให้ตายอยู่รอมร่อ เขาในยามนี้รู้สึกอับอายจนแทบอยากจะมุดดินหนีเสียจริง!

“ชิงเฉิน ข้าไม่อยากใช้ของพวกนี้” บุรุษที่เป็นชายชาตรีเช่นเขา ต้องมาใช้ของพวกนี้นั้น นับว่าน่าขายหน้ายิ่งนัก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หากเขาใช้มันไป เฟิ่งชิงเฉินก็ต้องไปช่วยเขาเททิ้งอีก เขาไม่อาจยอมรับวิธีเช่นนี้ได้

“ร่างกายของเจ้ายังไม่เหมาะกับการเคลื่อนย้ายตอนนี้ ในยามนี้ เจ้าใช้ได้แต่อันนี้เท่านั้น จิ่นหลิง ข้ารู้ว่ามันอาจจะดูน่าอายไปหน่อย แต่สถานการณ์ในยามนี้นั้น เจ้าอดทนหน่อยเถิด เช่นนั้น เจ้าก็จัดการด้วยตนเองเสีย แล้วข้าจะออกไปรอด้านนอก” เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าหวังจิ่นหลิงไม่ค่อยเต็มใจนัก ฉะนั้นแล้ว นางจึงมิได้พูดว่าตนเองจะคอยช่วยเหลือเขา

ในสายตาของเฟิ่งชิงเฉินแล้ว เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องปกติยิ่งนัก มิต้องพูดถึงว่าจิ่นหลิงเป็นสหายของนาง แม้ว่าจะเป็นคนไข้ของนาง นางก็จะช่วยดูแลพวกเขาเช่นนี้เหมือนกัน

ให้ข้าตายเถอะ!

เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับโถปลดทุกข์เช่นนี้ หวังจิ่นหลิงรู้สึกอยากตายมากกว่าหนึ่งครั้งเลยทีเดียว แต่ทว่า ในสถานการณ์ที่คับขันเช่นนี้ หวังจิ่นหลิงก็ได้แต่ต้องยอมรับในชะตากรรมของตนเองเช่นกัน หากว่าเขาปลดเบาลดตัวเช่นนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอายกว่ามากนัก

หลังจากที่ใช้เวลาทำใจเป็นเวลานาน หวังจิ่นหลิงก็ค่อย ๆ ทำใจได้แล้ว ยามที่กำลังจะเอื้อมมือไปปลดกางเกงของตนเองนั้น มือไม้ของเขาสั่นเสียจนไม่อาจบังคับให้มันปลดอาภรณ์ออกไปได้ “ชิงเฉิน”

หวังจิ่นหลิงรู้สึกหงุดหงิดกับตนเองที่ต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ยิ่งนัก ภาพลักษณ์ของเขาที่อยู่ในใจของชิงเฉินคงจะติดลบมากกระมัง

“เป็นอะไรไป?” เฟิ่งชิงเฉินนางหาได้เดินไปไหนไกลไม่ เพียงแค่หวังจิ่นหลิงเรียกนาง นางก็เดินเข้ามาหาในทันที

“ข้าแก้ไม่ออก” หวังจิ่นหลิงชี้ไปที่กางเกงของตนเอง ด้วยสีหน้าที่แดงก่ำ หากว่าตอนนี้มีเต้าหู้อยู่ก้อนหนึ่งนั้น เขาคงไม่รีรอที่จะเอาหน้าไปจุ่มมันในทันที

เขาละอยากตายจริง ๆ อยากตายยิ่งนัก

“ข้าช่วยเจ้า” เฟิ่งชิงเฉินไม่รอให้หวังจิ่นหลิงพูดจบ นางก็ก้มลงไป เพื่อช่วยหวังจิ่นหลิงแก้ปมกางเกงในทันที พร้อมทั้งช่วยดึงมันลงมาอีกด้วย แน่นอนว่า เฟิ่งชิงเฉินหาได้ทำอันใดเกินเลยไปไม่ นางเพียงแก้ออกมาให้แต่เพียงกางเกงชั้นนอกเท่านั้น

หวังจิ่นหลิงได้แต่หลับตาลง พร้อมกับเม้มปากมิได้เอ่ยอันใดออกมาอีก เขาโตมาจนป่านนี้แล้ว เขาไม่เคยขายหน้าเช่นนี้มาก่อนเลย ถึงแม้ว่า ก่อนที่เขาจะมองเห็นได้นั้น เขาก็ไม่เคยพบเจอกับสถานการณ์ที่ตนเองต้องมาขายหน้าเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน

ในสายตาของบุคคลภายนอก ย่อมมองว่าเขาเป็นคุณชายหน้าหยก ไม่รู้จักเรื่องราวบนโลกใบนี้ แต่ทว่า เขามีความสามารถมากกว่านั้นยิ่งนัก ข้างกายของเขามีเพียงบ่าวชาย น้อยครั้งนักที่จะให้สาวใช้มาคอยรับใช้ ทุกสิ่งทุกอย่างเขาจึงเป็นคนจัดการธุระของตนเองทั้งหมด

ทว่า ในยามนี้เขากลายเป็นคนที่ไร้ประโยชน์ไปแล้ว ทั้งยังไม่อาจช่วยเหลือตนเองอันใดได้อีกด้วย แต่ทว่า ภาพที่เขาไม่อาจทำสิ่งใดได้นั้น มีเพียงเฟิ่งชิงเฉินเพียงผู้เดียวที่ได้เห็นภาพนี้ พระเจ้า ท่านกำลังลงโทษข้าอยู่ใช่หรือไม่

“จิ่นหลิง หากเจ้ามีอันใดก็เรียกข้าเสีย คิดซะว่า ข้าเป็นท่านหมอของเจ้าก็พอ อย่าได้คิดมากไป” เฟิ่งชิงเฉินพลันหันไปยิ้มให้กับหวังจิ่นหลิงเล็กน้อย เสมือนกับว่าทำท่าเข้าใจเขา

เช่นนี้ ใบหูของหวังจิ่นหลิงก็พลันขึ้นสีไปในทันที

เฟิ่งชิงเฉินมิให้เขาคิดมาก แต่ทว่าเขากลับคิดไปแล้ว ทั้งยังเป็นเรื่องที่ไม่ควรคิดอีกด้วย หลังจากนั้น สิ่งของที่อยู่ด้านล่าง ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกขายหน้ามากกว่าเดิมอีก

หวังจิ่นหลิงอยากจะเป็นลมล้มไปยิ่งนัก ในที่สุดเขาก็ทำธุระตนเองจดเสร็จ ก็พลันพบว่าสิ่งของที่แข็งตัวอยู่นั้น มันไม่ยอมอ่อนตัวลงไปเลยแม้แต่น้อย หวังจิ่นหลิงได้แต่เหม่อมองไปบนท้องฟ้า หากเขาทำสิ่งใดลงไปในยามนี้ เฟิ่งชิงเฉินย่อมรับรู้อย่างแน่นอน

ให้เขาไปตายเถิด!

หวังจิ่นหลิงหาได้สนใจในสิ่งที่มันกำลังพองอยู่ใต้ล่างของเขาไม่ ทั้งยังค่อย ๆ ดึงกางเกงของตนเองขึ้นมา ภายในใจได้แต่ท่องบทของ 《มนต์มหากรุณา》

ในยามนี้ เขาพยายามทำจิตใจของตนเองให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง เพื่อที่ตนเองจะได้ไม่ต้องมาพบเจอเรื่องน่าอายเช่นนี้อีก

เฟิ่งชิงเฉินที่ยืนรออยู่ด้านนอกเต็นท์นั้น รอเป็นเวลานานมากแล้ว ยังมิทันรอให้หวังจิ่นหลิงเรียกนางเข้าไป เฟิ่งชิงเฉินก็อดเป็นกังวลไม่ได้ พร้อมทั้งตะโกนถามเข้าไปด้านในทันที “จิ่นหลิงเจ้าเป็นอันใดหรือไม่?”

“ไม่ ไม่มีอะไร” หวังจิ่นหลิงที่ถูกเฟิ่งชิงเฉินตะโกนถามเช่นนั้นก็ตกใจยิ่งนัก ด้านล่างของเขาค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติแล้ว หวังจิ่นหลิงรู้สึกว่าตนเองโชคดียิ่งนัก เขาจะได้มิต้องทำตัวขายหน้าต่อหน้าเฟิ่งชิงเฉินอีกต่อไป

หลังจากที่สงบจิตสงบใจไปได้ไม่นาน ก็พลันเห็นเฟิ่งชิงเฉินเดินเข้ามาเพื่อช่วยเขาไปเทของเสียให้

มุมปากของหวังจิ่นหลิงกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย ทว่า เขาก็มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา ยามที่เขากำลังตกอยู่ในความอับอายนั้น หัวใจของเขาก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาด้วยเช่นกัน แม้แว่าจะเป็นเรื่องเพียงเล็กน้อย แต่ก็ทำให้เขาได้เห็นความดีและความเอาใจใส่ของเฟิ่งชิงเฉิน

แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งของที่สกปรก ทว่า ในความทรงจำของเขานั้น ท่านพ่อท่านแม่ของเขาเอง ก็หาได้เคยช่วยเขาเช่นนี้ไม่ ล้วนแต่สั่งให้ข้ารับใช้เป็นคนทำทั้งหมด หากแต่ เฟิ่งชิงเฉินกลับต้องมาช่วยเขาทำเช่นนี้ ทั้งยังไม่มีท่าทีรังเกียจหรือไม่พอใจอีกด้วย เสมือนกับว่านางเข้าใจทุกอย่างได้เป็นอย่างดี

เมื่อมีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งต่อไป หลังจากที่ผ่านประสบการณ์การใช้ของสิ่งนั้นแล้ว ครั้งที่สองของหวังจิ่นหลิงก็ชำนาญในการใช้มันมากยิ่งขึ้น อีกทั้ง เขาก็รู้สึกทำใจได้มากแล้ว นอกจากใบหูของเขาแล้วนั้น ทุกอย่างก็เป็นสีปกติดี

เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินทำทุกอย่างให้กับเขาเช่นนี้ และยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่หวังจิ่นหลิงไม่อาจปฏิเสธไปได้เลย ก็คือการนอนด้วยกัน

แม้ว่าจะเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง อาการในตอนกลางคืนจึงหนาวมากนัก ทั้งอุณหภูมิที่ลดต่ำลงอีก แม้ว่าทั้งสองคนจะอยู่ภายในเต็นท์ แต่ทว่าก็ยังรู้สึกหนาวยิ่งนัก แน่นอนว่า หากหวังจิ่นหลิงรู้สึกหนาวเมื่อใด เมื่อมาถึงครึ่งค่อนคืนแล้ว อาภรณ์ทุกตัวก็จะมาอยู่บนตัวหวังจิ่นหลิงในทันที ทว่า ร่างกายของหวังจิ่นหลิงก็ไม่อาจรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย

เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่า ร่างกายของหวังจิ่นหลิงอ่อนแอจนเกินกว่าที่จะนอนหลับภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ไปได้ เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่อาจทำตัวใจร้ายไปได้ หวังจิ่นหลิงร่างกายอ่อนแอเช่นนี้ แม้แต่ไข้หวัดธรรมดา ก็อาจจะทำให้ร่างกายของเขาทรุดตัวลงได้เช่นกัน บางทีอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตเลยก็เป็นได้

เมื่อมาถึงยามราตรี เฟิ่งชิงเฉินกับอาภรณ์ทั้งหลายชิ้นนั้น จึงต้องร่วมนอนกับหวังจิ่นหลิง เช่นนี้ ร่างกายของหวังจิ่นหลิงถึงได้มีความอบอุ่นเพิ่มมากขึ้น กลางคืนเขาถึงจะได้นอนหลับลง นอกจากคืนแรกที่ทั้งสองคนต่างก็ทำตัวไม่ถูกนั้น เมื่อมาถึงคืนที่สองพวกเขาก็พอปรับตัวได้แล้ว

หวังจิ่นหลิงเป็นสุภาพบุรุษยิ่งนัก เป็นสุภาพบุรุษเสียยิ่งกว่าหลิ่วเซี่ยฮุ่ยเสียอีก เมื่อรวมไปถึงเฟิ่งชิงเฉินใช้ยานอนหลับกับเขาด้วยนั้น เมื่อมาถึงกลางคืนนั้น นอกจากอ้อมกอดของเฟิ่งชิงเฉินแล้ว เขาก็มิได้ทำอันใดอีก แม้ว่าภายในใจจะอยากทำก็ตาม

ทุกคนล้วนแต่มีสัตว์ร้ายอยู่ภายในใจด้วยกันทั้งนั้น บางคนก็ปล่อยพวกมันออกอย่างไม่ขัดขืน และมีบางคนที่สามารถควบคุมพวกมันได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยเช่นกัน

เห็นได้ชัดเจนว่า หวังจิ่นหลิงเป็นแบบอย่างด้านหลัง เกรงว่า แม้เขาจะไม่อาจอดทนได้อีกต่อ แม้ว่าเขาจะต้องตื่นขึ้นมาทุกเช้าโดยมีเสาอันเดียวค้ำฟ้า แม้ว่าเขาจะมียานอนหลับคอยช่วยเหลือ แต่ารที่จะบังคับให้ตนเงอนอนหลับได้นั้น มันก็ทำให้เขาทรมานก่อนนอนไปครึ่งค่อนคืนเช่นกัน เขาหาได้ทำสิ่งใดกับเฟิ่งชิงเฉินไม่ แม้ว่าจะเป็นเรื่องผิดปกติเล็กน้อยก็ตาม

มิต้องพูดถึงเลยว่า เฟิ่งชิงเฉินปฏิบัติตัวต่อเขาหาใช่ความรักเช่นชายหญิงไม่ ถึงแม้ว่าจะเป็นความรักระหว่างชายหญิง เขาก็จะไม่ยอมทำสิ่งใดลงไปเช่นกัน ถ้าหากว่าเฟิ่งชิงเฉินยอมรับเขา เขาก็จะมองสิ่งที่ดีที่สุดให้กับนาง นั่นเพราะว่านางสมควรที่จะได้รับสิ่งที่ดีที่สุด!

ถ้าหากว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ยอมรับเขา เขาก็จะนำเรื่องที่เกิดขึ้นภายในหุบเขาแห่งนี้ เก็บไว้เป็นความลับไปตลอดชีวิต มีเพียงเขาและนางเท่านั้น ที่จะรู้ความลับนี้ เขาจะไม่ยอมเอาเรื่องของตนเองไปทำร้ายชีวิตและความสุขของเฟิ่งชิงเฉินเป็นอันขาด

ทั้งเฟิ่งชิงเฉินและหวังจิ่นหลิงรับรู้และเข้าใจกันได้อยู่ภายในหุบเขาอย่างสงบสุข ทว่า ฝู่หลินที่อยู่บนยอดเขานั้น เขาหงุดหงิดจนแทบจะเป็นบ้าไปแล้ว เฟิ่งชิงเฉินสัญญากับเขาว่าแค่สามวัน แต่เขารอนางอยู่ที่นี่ผ่านไปห้าวันแล้ว ทั้งยังมิเห็นเฟิ่งชิงเฉินออกมาเลยแม้แต่น้อย

“เจ้าบ้า มิใช่ว่าหาคนเจอแล้วหรือ เหตุใดยังอยู่ภายในหุบเขาไม่ออกมาอีก จะตายหรืออยู่อย่างไร ก็ควรจะส่งข่าวออกมาบ้างไม่ใช่หรือ เจ้าจะเตรียมตัวก่อร่างสร้างตัวอยู่ด้านล่างหุบเขาไปเลยหรืออย่างไรกัน? ” ฝู่หลินอดไม่ได้ พร้อมทั้งตะโกนส่งเสียงลงไปด้านล่างหุบเขาด้วยความโมโห แต่น่าเสียดาย หาได้มีผู้ใดสนใจเขาไม่

ฝู่หลินในยามนี้ เขาเบื่อจนจะตายอยู่แล้ว อาหารแห้งก็หมดแล้วเช่นกัน ทั่วทั้งหุบเขาแห่งนี้ หาอะไรกินไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เมื่อไม่มีอันใดให้ทำเช่นนี้ ฝู่หลินจึงตัดสินใจที่จะเดินทางออกจากหุบเขาไปในทันที แต่ทว่า แม้ว่าเป็นเส้นทางเดียวกัน ยามที่พวกเขาเดินทางเข้ามานั้นกลับไม่พบเจอปัญหา แต่ยามที่จะเดินทางออกนั้น กลับพบ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท