นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 597 ผู้หญิงที่เอาแต่จุดไฟโดยไม่ดับไฟนั้นไม่น่ารักเอาเสียเลย
เสด็จอาเก้าอุ้มเฟิ่งชิงเฉินราวกับกำลังนั่งสมาธิ ปล่อยให้นางขยับตัวบิดไปมา ให้นางกระซิบและเป่าลมหายใจร้อนผ่าวลงที่ซอกคอ เขาก็ยังไม่ขยับเขยื้อน หัวใจนิ่งสงบราวกับน้ำนิ่ง
ไม่ใช่ว่านางมั่นใจมากว่าเขาจะไม่กล้าทำอะไรนางหรือ ไม่เป็นไร ยังมีเวลาอีกมาก วันนี้เขาจะจดบัญชีเก็บไว้ก่อน ต่อไปเขาค่อยมาคิดบัญชีกับนางทั้งต้นทั้งดอก
เหอะๆ … เสด็จอาเก้าไม่สบอารมณ์
เสด็จอาเก้าทั้งรู้สึกหวานชื่นเพลิดเพลินและทรมานไปกับการปรนนิบัติของเฟิ่งชิงเฉิน ไม่ว่าในใจเขาจะพลุ่งพล่านเพียงใด แต่เขาก็บังคับตนเองไม่ให้แสดงอารมณ์ออกมา เขาเป็นดังภูเขาน้ำเเข็งที่มีชีวิต อย่างไรก็ไม่ยอมละลาย
เฟิ่งชิงเฉินแทบจะร้องไห้แล้ว ไม้ตายทั้งหมดนางได้ใช้ออกมาแล้ว แต่เสด็จอาเก้าก็ยังไม่ยอมปล่อยนางไป ฮือๆๆๆ หากบุรุษฉลาดเฉลียวและนิ่งสงบเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก
ยามผู้ชายธรรมดาพบเจอกับเรื่องแบบนี้เข้า เพียงแค่ฝ่ายหญิงออดอ้อนเอาแต่ใจเล็กน้อยก็จะผ่านไปได้ แต่เสด็จอาเก้าไม่ใช่ผู้ชายธรรมดา ไม่ว่านางจะใช้ไม้อ่อนหรือไม่แข็ง เขาก็ไม่ยอมให้เรื่องราวผ่านไป หญิงสาวคนหนึ่งที่ทำมาถึงขั้นนี้ทำให้นางรู้สึกท้อแท้ยิ่งนัก
เฟิ่งชิงเฉินท้อแท้แล้ว!
เฮ้อ… ยั่วยวนเขามาพักใหญ่ก็ไร้ผล นางเหนื่อยแล้ว นางปล่อยมือลงและหอบหายใจพิงอยู่ในอ้อมอกของเสด็จอาเก้า
จะหยอกล้อหรือออดอ้อนก็ล้วนเป็นงานใช้แรงงาน ตอนนี้นางเหนื่อยจนไม่ไหวแล้ว ร่างของนางเต็มไปด้วยเหงื่อ นางไม่มีแรงทำอีกรอบแล้ว
เฮ้อ… เสด็จอาเก้าก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอย่างโล่งอก เฟิ่งชิงเฉินยอมแพ้แล้ว หากถูกนางทรมานเช่นนี้ต่อไป ไม่แน่ว่าเขาอาจกลายเป็นสัตว์ร้าย โชคดีที่…
ในที่สุดเขาก็ชนะ!
เสด็จอาเก้ายิ้มเย็น สายตาฉายประกายคมปลาบ เขาต้องการให้นางเสียใจที่ไม่ยอมสารภาพกับเขาเร็วพอ แน่นอนว่าประเด็นสำคัญก็คือต้องทำให้นางเสียใจที่นางหยอกล้อเขาแต่กลับไม่ยอมดับไฟให้เขาด้วย
เรื่องวันนี้ไม่มีทางที่เขาจะปรานี
ไม่ว่าเสด็จอาเก้าจะได้รับแรงกดดันมากเพียงใดและใช้ความเพียรพยายามมากเพียงใดจึงจะสามารถระงับสัญชาตญาณของตนเองได้ ในเกมความรักระหว่างหญิงชาย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเสด็จอาเก้าต่างหากที่เป็นผู้ชนะ
เขาเพียงแค่ถามว่าบาดแผลบนตัวของเฟิ่งชิงเฉินเป็นเรื่องอะไรกัน เฟิ่งชิงเฉินกลับอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ยอมพูด เช่นนั้นก็อย่าได้โทษที่เขาไร้ความปรานี
เสด็จอาเก้าจัดเสื้อให้เฟิ่งชิงเฉิน เขาปล่อยผมของนางในสยายลงทิ้งตัวไปตามน้ำหนักและลูบไล้ไปมาราวกับกำลังแปรงขนให้สัตว์เลี้ยง แรงกำลังดี สบายเสียจนทำให้คนรู้สึกผ่อนคลายไปทั้งร่าง
ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินปรือลง นางสบายเสียจนครางออกมา ความมีเหตุผลของนางกำลังบอกนางว่าการกระทำแปลกประหลาดของเสด็จอาเก้านี้ต้องมีปัญหาแน่ แต่ทว่า… การลูบไล้ของเสด็จอาเก้านั้นทำให้นางรู้สึกขี้เกียจ ไม่อยากขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
ความมีเหตุผลของนางกำลังบอกนางว่าต้องต่อต้านระเบิดเคลือบน้ำตาลของเสด็จอาเก้า แต่อย่างไรนางก็ทำไม่ลง ใบหน้าของนางประดับไปด้วยความเพลิดเพลินอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของเสด็จอาเก้า เพลิดเพลินไปกับอาหารมื้อใหญ่มื้อสุดท้ายก่อนตาย
ก่อนจะทำการประหารล้วนให้นักโทษได้กินอาหารก่อนมื้อหนึ่ง การกระทำเช่นนี้ของเสด็จอาเก้าช่างชัดเจนนัก
เฟิ่งชิงเฉินสบายจนหลับตาลง เสด็จอาเก้าพยักหน้าเล็กน้อยอย่างพอใจ เขาก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของนางและพูดด้วยความรักใคร่ “บอกข้ามาว่าระหว่างทางเจ้าพบกับอะไรมาบ้าง พบเจอกับเรื่องยุ่งยากหรือเปล่า?”
คำถามนี้ปลอดภัยยิ่ง เฟิ่งชิงเฉินครุ่นคิดเล็กน้อย ระหว่างทางนอกจากจะพบกับฝู่หลินแล้วก็ไม่มีเรื่องอื่นอีก เฟิ่งชิงเฉินจึงไม่ได้คิดอะไรมาก นางเล่าเรื่องการเดินทางของนางทั้งหมดให้เสด็จอาเก้าฟังไปทีละเรื่อง
เสด็จอาเก้าฟังไปก็พยักหน้าไป เขาให้นางเล่าอย่างละเอียดอีกหน่อย แม้แต่เรื่องเล็กน้อยก็ไม่ปล่อยไป เฟิ่งชิงเฉินมองสีหน้าของเสด็จอาเก้าอย่างระแวดระวัง เมื่อพบว่าเขาไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจจึงเล่าเรื่องอย่างให้ความร่วมมือโดยหวังว่าจะสามารถใช้โอกาสนี้เบี่ยงเบนความสนใจของเสด็จอาเก้าได้
ที่นางเดินทางได้อย่างราบรื่นไม่ใช่เพราะนางเดินทางรวดเร็วและไม่ใช่เพราะนางโชคดี แต่เป็นเพราะมีคนเก็บกวาดอุปสรรคนั้นแทนนางไปหมดแล้ว
เอาเถอะ จดผลงานของปู้จิงหยุนไว้ข้อหนึ่ง
ยามที่เฟิ่งชิงเฉินเอ่ยชื่อของฝู่หลินขึ้นมา การลูบผมของเสด็จอาเก้าก็แข็งทื่อไปเล็กน้อย แต่ก็เพียงไม่นาน เฟิ่งชิงเฉินจึงไม่รู้สึกถึงความผิดปกตินี้
เฟิ่งชิงเฉินเล่าต่อไปเรื่อยๆ เมื่อเล่าถึงเรื่องที่เจอที่จวนเจ้าเมือง เล่าเรื่องการวางเพลิงครั้งใหญ่นั้นก็อธิบายอย่างละเอียดว่านางเหาะออกมาจากกองไฟอย่างกล้าหาญและสวยงามเพียงใด หวังว่าเสด็จอาเก้าจะชมนางและก็จนปัญญาเมื่อเสด็จอาเก้าไม่ให้ความร่วมมือ
เสด็จอาเก้าจับปลาสองมือ รายละเอียดในเรื่องเล่าของเฟิ่งชิงเฉิน เขาไม่พลาดเลยแม้แต่น้อย ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้หยุดคาดเดาตัวตนของฝู่หลิน
แซ่ฝู่นั้นได้หายไปจากจิ่วโจวหมดแล้ว ผู้ที่แซ่ฝู่มีเพียงตัวตนเดียวก็คือทายาทของอารามเทพในราชวงศ์ก่อน
คนทั่วหล้าต่างรู้ว่าในราชวงศ์ก่อน ผู้ที่มีอำนาจมากนอกจากราชวงศ์แล้วก็มีตระกูลเฟิ่งหลี แต่กลับไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้น ราชวงศ์ก่อนยังมีขุมพลังยิ่งใหญ่อีกหนึ่งสิ่ง นั้นก็คืออารามเทพและคนในตระกูลฝู่ก็คือตัวแทนของอำนาจเทวะ
บรรพบุรุษของตระกูลหลานรู้ดีว่าอำนาจในราชสำนักสำคัญอยู่ที่ความสมดุลดีงั้นในขณะที่ตระกูลเฟิ่งหลีถือครองอำนาจทหาร บรรพบุรุษตระกูลหลานก็สร้างอารามเทพขึ้น ทุกครั้งที่เฟิ่งหลีอ๋องมีอำนาจมากเกินไป จักรพรรดิตระกูลหลายทุกพระองค์ก็จะผลักดันอารามเทพ อาศัยน้ำมือของอารามเทพทำลายอำนาจและชื่อเสียงของเฟิ่งหลีอ๋อง
ภายใต้การควบคุมของราชวงศ์ ตระกูลฝู่ผู้เป็นตัวแทนอำนาจเทวะและตระกูลเฟิ่งหลีที่เป็นตัวแทนอำนาจทหารจึงมีข้อขัดแย้งกันมากมา แน่นอนว่านั่นเป็นสิ่งที่จักรพรรดิรอชมอย่างสนุกสนาน
แต่ตระกูลหลานที่ปกครองจิ่วโจวมานับพันปีนั้น มีผู้นำที่เก่งกาจผู้ก่อตั้งแคว้น ก็ย่อมมีผู้นำที่หลงมัวเมาไปในสิ่งล่อลวงทุกอย่างเช่นกัน ตระกูลหลานแม้กระทั่งมีจักรพรรดิที่งมงายไปกับการบำเพ็ญตนเป็นเซียนผู้โปรดปรานตระกูลฝู่มากกว่าและคิดไปว่าตนจะกลายเป็นเซียนได้
ตระกูลฝู่จึงอาศัยโอกาสนี้ป่าวประกาศเรื่องการบำเพ็ญตนเป็นเซียน ทำให้ประชาชนไม่ทำมาหากิน ไม่ใช้ชีวิตประจำวันจนท้องถนนเกลื่อนกลาดไปด้วยศพ กระทั่งทำให้จักรพรรดิผู้นั้นแทบจะมอบบ้านเมืองให้อยู่แล้ว
เฟิ่งหลีอ๋องทนดูไม่ได้อีกต่อไป นำทัพบุกมายังเมืองหลวงภายใต้คำสั่งขององค์รัชทายาทและทำลายอารามเทพลง บีบบังคับให้จักรพรรดิสละบัลลังก์และสนับสนุนให้องค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์
แน่นอนว่าเฟิ่งหลีอ๋องและอารามเทพสู้รบกันมากว่าร้อยปี ระหว่างนี้ล้วนผลัดกันแพ้ชนะ ยามนี้มีโอกาสดีอยู่ตรงหน้าเฟิ่งหลีอ๋อง เขาจะปล่อยมันไปได้อย่างไร
เพราะอารามเทพมีภาพลักษณ์อันสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ในใจของปวงชน เฟิ่งหลีอ๋องจึงไม่กล้าสังหารตระกูลฝู่ทั้งหมด เพียงแต่หาข้ออ้างขับไล่พวกเขาออกไปจากอำนาจปกครองของจิ่วโจวเท่านั้น
การฆ่าล้างตระกูลนั้นเกิดขึ้นน้อยนักในราชวงศ์ก่อน โดยเฉพาะเมื่ออำนาจมาอยู่ในมือเฟิ่งหลีอ๋องยิ่งไม่อาจสังหารล้างตระกูล เขาคิดว่าตระกูลฝู่ที่ไม่มีอำนาจแล้วย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอีกต่อไป
ก่อนที่จักรพรรดิองค์ใหม่จะขึ้นครองราชย์ เขาถูกอารามเทพกดขี่หลายครั้งและเห็นว่าตระกูลฝู่ใช้อำนาจของเทพทำร้ายบ้านเมือง เขาจึงเกลียดชังตระกูลฝู่เป็นอย่างมาก เมื่อเห็นว่าเฟิ่งหลีอ๋องจะถอนรากถอนโคนอารามเทพ องค์รัชทายาทจึงเห็นด้วยอย่างยิ่ง
ด้วยประการฉะนี้ ตระกูลฝู่จึงถูกตระกูลหลานและเฟิ่งหลีอ๋องร่วมมือกันขับไล่ไปยังเกาะร้างแห่งหนึ่ง พวกเขาประกาศต่อคนภายนอกว่ามอบเกาะสวรรค์ให้ตระกูลฝู่เพื่อไม่ให้คนธรรมดารบกวนพวกเขา ตั้งแต่ที่ตระกูลฝู่เหยียบลงบนเกาะนั้น เกาะนั้นก็ถูกลบออกไปจากแผนที่จิ่วโจวและกลายเป็นของตระกูลฝู่พร้อมทั้งลืมวิธีบำเพ็ญเซียนของพวกเขาไป
แน่นอนว่าไม่ว่าจะพูดให้ดูดีอย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าตระกูลฝู่เป็นผู้พ่ายแพ้ในเกมแห่งอำนาจและถูกขับออกไปจากจิ่วโจว แน่นอนว่าเหตุการณ์นี้ได้เปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจในราชสำนัก ไม่มีการคานอำนาจกับระหว่างเฟิ่งหลีอ๋องและอารามเทพ อำนาจของเฟิ่งหลีอ๋องจึงยิ่งขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ มากเสียจนขนาดที่ว่าองค์จักรพรรดิไม่อาจต่อต้านได้และทำให้จักรพรรดิเกิดความระแวงขึ้น
หากไม่ได้เป็นเช่นนี้ ตระกูลหลานและเฟิ่งหลีอ๋องคงจะไม่ได้แตกหักกันเร็วถึงเพียงนี้และทำให้เกิดโศกนาฏกรรมตามมา…