นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 605 ย้ายร่าง เปิ่นหวางเหนื่อยเหลือเกิน

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

โกรธหรือ? บางทีนางก็รู้สึกโกรธเช่นกัน ทว่า นางโกรธไปก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดไปได้อยู่ดี?

หากเทียบกันแล้วนางย่อมรู้สึกดีใจมากกว่า ถ้าหากว่าเสด็จอาเก้าเอาแต่ปกป้องนางนั้น ให้นางซ่อนตัวอยู่แต่ในความมืด เช่นนี้นางถึงจะรู้สึกโกรธเคืองมากกว่านัก อีกทั้งการหลงรักนางมากเกินไป ย่อมมีเรื่องปวดหัวให้ตามมาทีหลังมากมาย หากเสด็จอาเก้าเอาแต่ปกป้องนางนั้น ย่อมหมายความว่าเสด็จอาเก้าคิดที่จะละทิ้งนางแล้ว

เรื่องพวกนี้ ทุกคนล้วนแต่เข้าใจมันเป็นอย่างดี ก่อนหน้านั้นเสด็จอาเก้ายังดีๆ อยู่เลย เหตุใดเมื่อเจอกับเหล่ามือสังหารถึงได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมากัน หรือว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับกับเสด็จอาเก้ากันแน่?

ยามที่ภายในใจมีข้อสงสัยมากมายนั้น เฟิ่งชิงเฉินกลับมิได้ถามมันออกมา. เพียงแค่เอ่ยถามเสด็จอาเก้ากลับไปว่า “ถ้าหากหม่อมฉันโกรธเล่า พระองค์จะยอมรามือหรือไม่?”

เสด็จอาเก้าหาได้ฉุกคิดไม่ พระองค์พลันส่ายหน้าไปในทันที “ไม่ หากเจ้าคิดจะยืนเคียงคู่เปิ่นหวางนั้น เจ้าจำเป็นต้องอดทนผ่านมันไปให้ได้” ไม่ว่าจะเจียงซานหรือสาวงามเขาก็ต้องการทั้งหมด หากเพื่อเจียงซานแล้วเขาละทิ้งสาวงามไป เขาก็ไม่เลือกสาวงามพร้อมกับละทิ้งยุทธจักรไปเช่นกัน

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การถามย่อมมิเกิดอันใดขึ้นมา คำตอบของหม่อมฉันเป็นเช่นไร ย่อมไม่มีความสำคัญสำหรับท่าน” เสด็จอาเก้าที่ดื้อรั้นเช่นนี้ ย่อมไม่เปิดโอกาสให้นางปฏิเสธเป็นแน่

คำตอบของเจ้า แม้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของข้าไปได้ แต่สำหรับข้าแล้วมันสำคัญมาก!

คำพูดนี้ เมื่อมาถึงปากแล้ว เสด็จอาเก้ากลับไปอาจเอ่ยมันออกไปได้ จะพูดออกมาแล้วเป็นเช่นไร ในเมื่อทุกอย่างเป็นดั่งที่เฟิ่งชิงเฉินเอ่ยออกมา ในเมื่อพูดออกมาก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอันใดได้นั้น สิ่งใดที่เขาตัดสินใจออกมาแล้ว ย่อมไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงมันไปได้

“ใช่ คำตอบของเจ้าหาได้สำคัญไม่ ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร เจ้ามีหน้าที่อดทนต่อไปเท่านั้น” เสด็จอาเก้าพลันพูดออกมาด้วยความหนักแน่น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอ่อนล้านั้นพลันค่อย ๆ สบตากับเฟิ่งชิงเฉิน แววตาพลันค่อย ๆ ฉายแววโหดเหี้ยมออกมา เพื่อเป็นการเตือนว่า เฟิ่งชิงเฉินนางไม่มีทางให้ถอยหนีอีกแล้ว

เหตุใดถึงได้เหมือนเด็กน้อยเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินได้แต่ยิ้มออกมาด้วยความขมขื่น ในเมื่อเสด็จอาเก้ายืนยันในคำตอบของนางนั้น จนกระทั่งเฟิ่งชิงเฉินพยักหน้ารับเบา ๆ เสด็จอาเก้าถึงได้เก็บสายตากลับไป ทั่วร่างราวกับผ่อนคลายลง พร้อมทั้งเอื้อมมือมากอดเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้

“เฟิ่งชิงเฉิน เปิ่นหวางเหนื่อยยิ่งนัก ให้เปิ่นหวางพักผ่อนเสียหน่อยเถิด!”

เขารู้เหนื่อยล้ายิ่งนัก ตั้งแต่ที่เขาก้าวเท้าเข้ามาในเมืองหลวง ก็ไม่อาจหยุดพักได้แม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว หลังจากเข้าวังไปพบกับเสด็จพี่นั้น ก็พลันมีเรื่องมากมายที่ต้องจัดการ พร้อมทั้งหอบร่างที่อ่อนล้าออกมาจากพระราชวัง ก็ยังมาพอกับฝูงมือสังหารมากมายอีก ชีวิตเช่นนี้เขารู้สึกคุ้นชินเป็นอย่างยิ่ง แต่ท้ายที่สุดก็ยังรู้สึกเหนื่อยอยู่ดี โดยเฉพาะวันนี้ เสด็จพี่ที่เขาเคารพรัก กลับใช้มีดควักหัวใจของเขาออกมา

“อื้ม ท่านพักผ่อนให้สบายใจเถิด หม่อมฉันจะอยู่ที่นี่เอง!” สายตาของเฟิ่งชิงเฉินรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก ยามที่ก้มหน้ามองเสด็จอาเก้าที่นอนหลับตาอยู่ในอ้อมกอดของตนนั้น ความรู้สึกสงสัยภายในใจยิ่งเพิ่มมากขึ้นเข้าไปอีก

เสด็จอาเก้าไปพบเจอเหตุการณ์เช่นไรภายในวังมากันแน่ เหตุใดถึงได้ดูอ่อนล้าเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกได้ว่า ต้องเป็นเพราะความเหนื่อยใจอย่างแน่นอน

ทั้งสองกอดกันนิ่ง ๆ เช่นนั้น จู่ๆ ทหารคนสนิทของเสด็จอาเก้าพลันเข้ามารายงานให้ฟังว่า สามารถจับมือสังหารที่ยังมีชีวิตอยู่ได้แล้ว เช่นนั้นเสด็จอาเก้าจึงได้ปล่อยเฟิ่งชิงเฉินไปแต่โดยดี ทั่วร่างพลันกลับมาเป็นเสด็จอาเก้าที่ดูน่าเกรงขามและเต็มไปด้วยความองอาจเช่นเดิม เสมือนกับว่าไม่เคยมีความอ่อนแอมาปรากฏให้เห็นมาก่อน

“ช่วงนี้เจ้าระมัดระวังตนเองไว้หน่อยก็ดี เปิ่นหวางคงจะยุ่งมากนัก อาจจะไม่มีเวลามาคอยดูแลเจ้า เรื่องของชนเผ่าเสวียนเซียวกงนั้น เจ้ามิอจำเป็นต้องสนใจ เปิ่นหวางจะรีบจัดการมันโดยเร็ว” เสด็จอาเก้าเพียงสั่งการไม่กี่คำ พร้อมกับหันกายจากไปในทันที

ชนเผ่าเสวียนเซียวกง ในเมื่อกล้าที่จะมาข่มขู่เขานั้น เช่นนั้นก็จงกล้าที่จะรับที่ตามมาด้วยก็แล้วกัน

นอกจากพยักหน้าลงแล้ว นางยังมิทันได้เอ่ยสิ่งใดออกมา ยามที่เสด็จอาเก้าเดินจากไปแล้วนั้น นางก็กลับมาคิดถึงคำพูดของเสด็จอาเก้าอีกที

ยามที่เสด็จอาเก้าเข้ามานั้น จิตใจว้าวุ่นยิ่งนัก อีกทั้งเขายังรู้สึกไม่มั่นใจอีกด้วย ประโยคสุดท้ายของเขาแสดงให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเสด็จอาเก้ากับชนเผ่าเสวียนเซียวกงดูจะทวีคูณความรุนแรงมากขึ้นไปอีก หาได้เป็นเพราะเซวียนเฟยไม่

เฟิ่งชิงเฉินครุ่นคิดเกี่ยวกับมันอยู่นาน ก็คิดไม่ออกว่าเกิดเหตุการณ์อันใดขึ้น พร้อมทั้งกดปุ่มภายในห้องครู่หนึ่ง ทงเหยาก็รีบมาหานางในทันที

“คุณหนู?” ทงเหยามิค่อยเข้าใจนัก ว่าเหตุใดเฟิ่งชิงเฉินถึงเรียกหานางในยามนี้ ทว่าก็ยืนรอนางโดยไม่เอ่ยถามอันใดออกมา

“ไปสืบหาดูซิว่า เกิดเรื่องอันใดขึ้นภายในวังวันนี้ สิ่งที่สำคัญคือคำพูดของเสด็จอาเก้าและองค์จักรพรรดิ” เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่า การจะสืบหาคงเป็นไปได้ยากนัก ทว่า

เสด็จอาเก้าผิดปกติไปยามที่ออกมาจากวังหลวง ภายในนั้น ย่อมต้องเกิดเรื่องขึ้นอย่างแน่นอน

“เพคะ คุณหนู” ทงเหยามิกล้า ร้องโอดครวญออกมา การที่จะไปสืบหาคำพูดของเสด็จอาเก้ากับองค์จักรพรรดิเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก แต่ทว่า นางก็หันกายกลับไปสั่งลูกน้องของตนให้ไปดักฟังในทันที

แต่เดิมเฟิ่งชิงเฉินคิดว่า ยามที่เสด็จอาเก้าและองค์จักรพรรดิพูดคุยกันจะไม่มีผู้ใดอยู่ภายในห้อง ทว่า ผ่านไปวันที่สองข่าวคราวที่ทงเหยาไปสืบมาก็ได้ความในทันที พร้อมทั้งยังทำให้เฟิ่งชิงเฉินอดที่จะรู้สึกไม่ได้ว่า นี่เป็นความจงใจของฝ่าบาทหรือไม่

เสด็จอาเก้าเข้าวังเพื่อไปพูดคุยเรื่องบัวหิมะพันปี สุดท้ายแล้ว ฝ่าบาทกลับตอบว่าบัวหิมะพันปีนั้น เขาตั้งใจจะส่งมอบเป็นของขวัญให้กับท่านผู้นำชนเผ่าเสวียนเซียวกง

ก่อนหน้านั้นไม่นานชนเผ่าเสวียนเซียวกงได้มีการส่งจดหมายมาว่า กำลังเตรียมมาที่ตงหลิงเพื่อเข้ามาสวามิภักดิ์ ทั้งแอบสื่อความนัยเข้าไปด้วยว่าบุตรสาวของตนเองถูกเสด็จอาเก้าทำร้าย ต้องการใช้บัวหิมะพันปีในการรักษาเป็นการด่วน

แน่นอนว่าเสด็จอาเก้าหาได้มีท่าทีดึงดันต่อฝ่าบาทไม่ หลังจากที่ได้ยินคำว่าชนเผ่าเสวียนเซียวกงนั้น เสด็จอาเก้าเพียงแค่หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา ทว่า ฝ่าบาทยังสั่งให้เสด็จอาเก้าไปทำการขอโทษท่านผู้นำชนเผ่าเสวียนเซียวกงด้วยตนเองอีกด้วย

วันนั้น พี่น้องที่เป็นที่เคารพรักภายในตงหลิง กลับต้องมาทะเลาะเบาะแว้งกันเพราะเรื่องนี้ในทันที แน่นอนว่ามีเพียงฝ่าบาทที่เป็นคนเริ่มเรื่องเท่านั้น เสด็จอาเก้าเพียงนั่งอยู่ข้างกาย พร้อมทั้งกล่าวคำอธิบายออกมาอย่างใจเย็น เขาหาได้มีท่าทีสนใจเรื่องไร้สาระที่ฝ่าบาทพยายามแต่งขึ้นมาไม่

องค์จักรพรรดิเองก็พูดสั่งสอนเขาออกมาไม่หยุดเช่นเดียวกัน เมื่อเห็นเสด็จอาเก้าดูจะไม่ยอมรับทั้งยังไม่คิดที่จะโต้ตอบกลับ พระองค์พลันโกรธเกรี้ยวออกมา แล้วจึงตรัสออกมาว่า “น้องเก้า ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นเช่นไร ก็เป็นเจ้าที่มีความผิด เจิ้นต้องการให้เจ้าไปขอโทษต่อท่านผู้นำเผ่าเสวียนเซียวกงเสีย”

“ขอโทษ? ฝ่าบาท ท่านรู้จักกระหม่อมเป็นวันแรกงั้นหรือ? ท่านเคยกระหม่อมเอ่ยขอโทษใครหรือไม่เล่า” เสด็จอาเก้าพลันเงยหน้าขึ้น พร้อมกับจับจ้องไปที่องค์จักรพรรดิด้วยความเย็นชา ด้วยสีหน้าที่ทำให้องค์จักรพรรดิถึงกับแข้งค้างไปในทันที

ผู้คนในใต้หล้าที่ต้องการให้เขาขอโทษนั้น ล้วนได้ตายไปหมดแล้ว

“น้องเก้า เจ้าอย่าได้ทำให้มันมากเรื่อง เรื่องนี้เจิ้นได้ตัดสินใจไปแล้ว เจ้ามีความผิดนำ การขอโทษหาได้ทำให้เจ้าเสียศักดิ์ศรีไม่” ฝ่าบาทยังคงดื้อรั้น

“หากให้เปิ่นหวางไปขอโทษ ก็ย่อมได้ แต่ท่านผู้นำเผ่าเสวียนเซียวกงจะต้องตาย เปิ่นหวางถึงจะไปขอโทษต่อหน้าศพของเขา เนื่องจากว่าเป็นเปิ่นหวางที่ฆ่าเขาเอง” เสด็จอาเก้าคร้านที่จะพูดกับฝ่าบาทแล้ว พร้อมทั้งสะบัดแขนเสื้อ เตรียมที่จะเดินออกจากวังไปในทันที

ยามที่เดินไปถึงหน้าธรณีประตูนั้น เท้ากำลังก้าวออกไป ก็พลันได้ยินองค์จักรพรรดิกล่าวว่า “น้องเก้า หากเจ้ากล้าก้าวออกไป ข้าจะป่าวประกาศให้นำอัฐิเซิ่งหมื่นฮองเฮาออกจากสุสานราชวงศ์เสีย”

เซิ่งหมิ่นฮองเฮา เป็นยศฐานันดรของมารดาของเสด็จอาเก้า หลังจากที่เสด็จแม่ของเสด็จอาเก้าสวรรคตไปได้ไม่นานนั้น ก็พลันถูกองค์จักรพรรดิในราชวงศ์ก่อนแต่งตั้งขึ้นเป็นเซิ่งหมิ่นฮองเฮา

คำพูดนี้ นับว่าหยุดชะงักฝีเท้าของเสด็จอาเก้าได้เป็นอย่างดี ไม่มีผู้ใดเห็นว่าการกระทำของเสด็จอาเก้าแข็งค้างไปมากเพียงใด ทั้งยังเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธมากเพียงใด ฝ่าบาทเพียงเห็นแค่ว่า หลังจากที่เสด็จอาเก้าได้ยินคำพูดของพระองค์นั้น พลันหันหน้ามายิ้มเยาะเย้ยใส่พระองค์เท่านั้น

“ฝ่าบาท หากท่านคิดจะทำกระหม่อมจะไปทำเช่นไรได้?” เสด็จอาเก้าในยามนี้ นับว่ากรุ่นโกรธถึงขีดสุด การพูดตรงประเด็นเช่นนี้ นั่นหมายความว่า เสด็จอาเก้าไม่ต้องการที่จะพูดคุยเรื่องนี้อีกแล้ว

เขาย่อมไม่อาจยอมได้ หากจักรพรรดิขุดอัฐิมารดาของตนเองขึ้นมา เขาไม่อาจอยู่อย่างเฉยเมยไปได้

“เจิ้นจะส่งร่างของเฟิ่งชิงเฉินไปที่ชนเผ่าเสวียนเซียวกง พร้อมทั้งให้เจ้าไปขอโทษต่อท่านผู้นำเผ่าด้วยตนเอง” จักรพรรดิมองเสด็จอาเก้าลงมาจากเบื้องบน พร้อมทั้งสั่งการออกมาด้วยท่าทีดุดัน อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ฮ่าฮ่าฮ่า น้องเก้าที่อยู่สูงส่ง เจ้าก็มีวันเช่นนี้เหมือนกันหรือ เจ้าก็มีวันที่ต้องก้มหัวให้กับข้าเช่นกัน

ทว่า ท้ายที่สุดก็ต้องทำให้องค์จักรพรรดิผิดหวัง เสด็จอาเก้าเพียงมองฝ่าบาทนิ่ง ๆ พร้อมกับทิ้งคำพูดเอาไว้ว่า “ไม่มีทางเป็นไปได้” พร้อมทั้งหันหายจากไปในทันที

ปล่อยไว้เพียงองค์จักรพรรดิที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เพียงผู้เดียว ทั้งยังรู้สึกตกตะลึงและกรุ่นโกรธปะปนกันไป จากนั้นก็ทำการทุบโต๊ะในห้องตำราแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ

จากนั้นไม่นาน เมื่อเสด็จอาเก้าออกจากไปแล้วนั้น ก็พบกับเหล่ามือสังหารในทันที หากจะบอกว่าพวกมันไม่ใช่คนที่ฝ่าบาทส่งมา ย่อมเป็นการยากที่จะเชื่อได้

เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมานนั้น ความสงบสุขที่เสด็จอาเก้าและองค์จักรพรรดิสรรค์สร้างออกมาพลันพังทลายไปแล้ว องค์จักรพรรดิย่อมคิดว่า หากตนได้รับแรงสนับสนุนจากชนเผ่าเสวียนเซียวกง พระองค์ย่อมต้องแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างแน่นอน

เสด็จอาเก้าในยามนี้จึงยุ่งวุ่นวายยิ่งนัก

เฟิ่งชิงเฉินพลันสูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน พร้อมกับก้าวเดินออกไปด้านนอกในทันที

นางคงจะต้องไปพูดคุยกับชุยห้าวถิงเสียแล้ว ปล่อยชุยห้าวถิงไว้นานเช่นนี้ ท้ายที่สุดผู้ที่จะลำบากย่อมเป็นนาง มิอาจพูดได้เลยว่า บางทีการรักษาคุณชายจากตระกูลชุยอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีก็เป็นได้!

ฝากถึงนักอ่านทุกท่าน : ไม่ค่อยเข้าใจความคิดของทุกคนมากนัก ความรู้สึกของเสด็จอาเก้ากับเฟิ่งชิงเฉินก็เป็นแบบนี้ หากว่ากันตามตรง เสด็จอาเก้าจะไม่ใช้ประโยชน์จากเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่สามารถทำได้ อีกทั้งสตรีที่อยู่ข้างกายของเสด็จอาเก้าก็มีเพียงนางคนเดียวแล้ว ผู้คนที่จับตามองเฟิ่งชิงเฉินก็มีจำนวนมากด้วยเช่นกัน เหมือนกับเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งของแคว้นอะไรแบบนี้ แต่ในขณะที่ชิงเฉินต้องอยู่ท่ามกลางความโดดเด่นพวกนั้น นางก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบร่วมด้วยเหมือนกัน

เสด็จอาเก้าถึงไม่อาจรักใครได้โดยไม่คิดหวังผลประโยชน์อื่น ๆ ด้วย พร้อมทั้งยังไม่สามารถทำสิ่งใดเพื่อเฟิ่งชิงเฉินเพียงคนเดียวได้เช่นกัน หากฉันต้องเขียนเสด็จอาเก้ามีนิสัยแบบนั้น ฉันคงจะต้องอ้วกออกมาก่อนเป็นอันดับแรก โดยเพราะปัญหาที่อยู่รอบด้านของชิงเฉินนั้ น ไม่สามารถแก้ไขปัญหาไปทีละขั้นตอนได้ ฉันต้องการจะบอกว่า คนข้างกายของเฟิ่งชิงเฉินนั้น ไม่เพียงแต่มีปัญหาตามมา แต่มันหมายถึงผลประโยชน์และอำนาจด้วยเช่นกัน หลังจากที่จัดการซูหว่านได้แล้ว แต่เบื้องหลังของคนที่บงการซูหว่านก็ไม่ได้มีแค่คนเดียวเหมือนกัน หากว่ากันตามจริง มันคุ้มแล้วหรอ ที่จะต้องฆ่าแกงซูหว่าน?

การทหารชั้นเลิศคือชนะในเชิงกลยุทธ์ รองไปคือชนะโดยการทูต รองไปคือชนะโดยกำลังทหาร ชั้นต่ำสุดคือโจมตีเมือง แม้ในมือของเสด็จอาเก้าจะมีกองกำลังเป็นของตนเอง ทว่าทหารห้าแสนนายจะสามารถทำลายหนึ่งแคว้นได้งั้นหรือ? เมื่อกองกำลังที่ไม่อาจตีแคว้นทั้งสี่ให้ล่มสลายไปได้นั้น ทางเลือกสุดท้ายย่อมเป็นการหาหนทางตายสถานเดียว เมื่อถึงคราวนั้น อย่าได้พูดถึงองค์จักรพรรดิของตงหลิงเลย แม้แต่หนานหลิง ซีหลิงและเป่ยหลิงก็ไม่ปล่อยเสด็จอาเก้าไปแน่ หากจักรพรรดิทั้งสี่รวมตัวกันตอบโต้เสด็จอาเก้าละก็ เสด็จอาเก้าก็ไม่สามารถทำอันใดได้แล้ว

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท