หลังจากที่เสด็จอาเก้าถูกนำตัวไปแล้ว บรรยากาศในท้องพระโรงก็เงียบสงบลง ขุนนางในที่เกิดเหตุแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้เห็น ต่างคนต่างอึ้ง และไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้นมามองฮ่องเต้
พระราชอำนาจและความน่ายำเกรงของฮ่องเต้ได้มาถึงจุดสูงสุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หลังจากที่ตระกูลของฮองเฮาพินาศลง ก็มีเสด็จอาเก้าที่ถูกกำจัดไปอีกราย
เมื่อฮ่องเต้ได้ลงมืออย่างจริงจังแล้วก็ต้องเล่นงานฝ่ายตรงข้ามให้ถึงที่สุด บรรดาขุนนางไม่มีผู้ใดกล้าดูถูกความเก่งกาจของฮ่องเต้อีกเลย
เนื่องจากเสด็จอาเก้าเข้าไปอยู่ในคุกแล้ว รูปแบบการบริหารงานภายในราชสำนักตงหลิงก็คงต้องมีการปรับเปลี่ยน แต่ทว่า……หลังการเพลี่ยงพล้ำของเสด็จอาเก้าและตระกูลฮองเฮา ยังจะมีผู้ใดสามารถมาหยุดยั้งความเจริญก้าวหน้าของบรรดาผู้ทรงอำนาจได้ หรือว่าผู้ทรงอำนาจเหล่านี้จะได้ชูคอมากขึ้นกว่าเดิม? ฮ่องเต้จะยอมให้เป็นเช่นนั้นหรือ?
กลุ่มขุนนางจากตระกูลที่ทรงอิทธิพลต่างแอบเปรมปรีดิ์อยู่ในใจ พวกเขาเตรียมลุยงานใหญ่ ในขณะที่ขุนนางคนอื่นๆกำลังกระวนกระวายใจ โดยเฉพาะขุนนางใหญ่ที่ใกล้ชิดกับเสด็จอาเก้า พวกเขาได้แต่พากันหดหัว เพราะเกรงว่าจะเป็นเหยื่อรายต่อไปของฮ่องเต้
ขุนนางฝ่ายรัชทายาทก็มีสีหน้าที่วิตกกังวล เมื่อเห็นการกระทำของฮ่องเต้แล้ว คนต่อไปที่ฮ่องเต้จะเล่นงานจะต้องเป็นรัชทายาทแน่นอน พวกเขาจะต้องทำอะไรสักอย่าง และในตอนนี้ สิ่งที่พวกเขาควรจะทำมากที่สุด ก็คือการช่วยเสด็จอาเก้าให้ออกมาจากคุก
แต่ความผิดของเสด็จอาเก้าคือการกระด้างกระเดื่องต่อฮ่องเต้ หากเหล่าขุนนางจะช่วยล้มล้างข้อกล่าวหานี้ ก็จะเป็นการกังขาว่าฮ่องเต้ตัดสินใจผิดพลาด ซึ่งจุดนี้จะเป็นตัวนำพาความซวยมาเยือนอย่างแท้จริง
ตึกตัก……ตึกตัก ท่ามกลางเหมันตฤดู ขุนนางแห่งตงหลิงกลับอกสั่นขวัญแขวนจนเหงื่อออกท่วมตัว ฮ่องเต้กวาดสายตามองมายังด้านล่าง เมื่อเห็นท่าทีของขุนนางส่วนใหญ่แล้ว ก็รู้สึกพึงพอใจยิ่งนัก
นับจากเหตุการณ์ที่เสด็จอาเก้าร่วมมือกับอวี่เหวินหยวนฮั่วมาสร้างความกดดันให้กับเขาก็เป็นเวลาร่วมครึ่งปีมาแล้ว เขาไม่มีวันลืมความอัปยศในวันนั้น เขาเป็นถึงจักรพรรดิแต่กลับต้องมาอยู่ในจุดที่น่าละอายอย่างยิ่ง
มาวันนี้……ในที่สุดเขาก็ลบล้างความอัปยศได้สำเร็จ
ความน่ายำเกรงขององค์จักรพรรดิ ไม่มีผู้ใดต้านทานได้ทั้งนั้น ต่อให้มีสิทธิพิเศษมากเพียงใดก็ตาม หรือต่อให้เป็นเสด็จอาเก้าผู้เป็นที่โปรดปรานของอดีตฮ่องเต้ก็ไม่มีข้อยกเว้น สีหน้าที่หวั่นวิตกและกระวนกระวายของขุนนางแต่ละฝ่าย ทำให้ฮ่องเต้สบายอกสบายใจ นี่ต่างหากล่ะ คือศักดิ์ศรีที่องค์จักรพรรดิควรครอบครอง
การประชุมขุนนางที่ไร้เงาของเสด็จอาเก้ามันช่างจรรโลงใจเสียจริง การเล่นงานเสด็จอาเก้าครั้งนี้เขาต้องทำให้เสด็จอาเก้าไม่มีวันฟื้นคืนชีพอีกเลย……
เมื่อการประชุมขุนนางยามเช้าเสร็จสิ้น ฮ่องเต้ก็กลับไปที่ห้องทรงพระอักษร แล้วทำการร่างข้อกำหนดขึ้นมา โดยอนุญาตให้ชายหนุ่มจากครอบครัวที่แร้นแค้นเข้ามารับราชการในวังหลวงได้ จะมีการกำหนดสอบคัดเลือกปีละครั้ง ไม่ว่าจะเป็นชายหนุ่มจากตระกูลผู้มั่งมีหรือยากจน ก็มีสิทธิ์เข้ารับการทดสอบ
เมื่อข้อกำหนดนี้ถูกถ่ายทอดลงมา ก็ไม่มีผู้ใดกล้าทักท้วง
เมื่อขุนนางทราบข้อกำหนดนี้แล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นอีกแบบ ตอนนี้พวกเขาลืมเรื่องเสด็จอาเก้าไปเสียแล้ว บรรดาขุนนางผู้ทรงอิทธิพลทั้งดีใจและวิตกกังวล ดีใจเพราะลูกหลานของตัวเองจะได้มีหนทางมากขึ้น ส่วนสิ่งที่ทำให้พวกเขาวิตกกังวลก็คือ เกรงว่าลูกหลานของตัวเองจะสู้ลูกหลานคนยากคนจนไม่ได้
แม้พวกเขาจะเกิดมายากจน แต่ครอบครัวที่พอมีปัญญาส่งเสียให้ลูกหลานเรียนหนังสือก็มีอยู่ไม่น้อย หากลูกหลานของตัวเองไม่เอาถ่าน ก็อาจแข่งขันกับลูกหลานคนเหล่านี้ไม่ได้ แต่ว่า……
เมื่อนึกถึงท่านแม่ของฮองเฮา เสด็จอาเก้าและจูอวี้แล้ว ตระกูลขุนนางผู้ทรงอำนาจก็ไม่กล้าท้าทายพระราชอำนาจ
ในทางตรงกันข้ามกับตระกูลขุนนางผู้ทรงอำนาจ ครอบครัวผู้ยากจนต่างพากันไปคุกเข่าสรรเสริญฮ่องเต้อยู่ด้านนอกประตูวัง ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับเฟิ่งชิงเฉิน
ผู้ที่ออกจากประตูวังไปพร้อมกับประกาศฉบับใหม่ก็คือทหารองครักษ์ โดยทหารองครักษ์ได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งไปยึดทรัพย์ที่จวนอ๋องเก้า อีกกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าไปที่เรือนเล็กซีชวีของเฟิ่งชิงเฉิน
เฟิ่งชิงเฉินใช้เครื่องประดับที่มีเพียงฮองเฮาสามารถใช้ได้เพียงผู้เดียว นี่ถือเป็นการกบฏ การที่ฮ่องเต้ส่งทหารองครักษ์ชุดใหญ่บุกไปยังถิ่นนาง มิใช่เพราะกลัวเฟิ่งชิงเฉินจะหลบหนี แต่เพื่อเป็นการป่าวประกาศให้คนในเมืองหลวงได้รับรู้ ว่าผู้ใดที่ทำตัวกระด้างกระเดื่องต่อฮ่องเต้ จะต้องมีจุดจบที่น่าเศร้า
รัชทายาทก็กำลังวิ่งวุ่นหลังจากที่เสด็จอาเก้าถูกคุมขัง เขาพยายามจะช่วยพาเสด็จอาเก้าออกมา ยังไม่มีสมาธิจะไปใส่ใจเรื่องของเฟิ่งชิงเฉิน แล้วอีกอย่าง หากพาเสด็จอาเก้าออกจากคุกได้แล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็จะปลอดภัยเอง
ใครๆก็รู้ดีว่าการที่ฮ่องเต้ถือสาเอาความกับเรื่องเครื่องประดับหงส์ฟ้านั้นเป็นการใส่ร้ายป้ายสีให้เสด็จอาเก้า ให้เสด็จอาเก้าที่หัวดื้อได้รับโทษกบฏ
เมื่อถึงตอนนั้นแล้วต่อให้อวี่เหวินหยวนฮั่วจะละทิ้งชายแดนเป่ยหลิงแล้วส่งทหารมาช่วยเขาถึงตงหลิงก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อเสด็จอาเก้าได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักโทษกบฏแล้ว ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่อาจแสวงหาความเจริญได้อีก ต่อให้ฮ่องเต้จะเมตตาปรานีเขาอย่างไร แต่พวกชาวบ้านไม่มีวันยอมรับเขาแน่นอน
“เสด็จพ่อก็คือเสด็จพ่อ ทรงปราดเปรื่องยิ่งนัก” หลังจากทราบว่าเสด็จอาเก้าถูกคุมขัง ตงหลิงจื่อลั่วก็รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที เขามุ่งหน้าไปที่ตำหนักของอันผิงพร้อมกับข่าวดีนี้ และเตรียมการกับอันผิง เพื่อที่จะทำให้ฮ่องเต้ยกเลิกการลงโทษเสด็จแม่
อย่างน้อยๆ ก็ได้เขี่ยเสด็จอาเก้าให้พ้นทางไปได้ สิ่งที่เขาต้องทำต่อจากนี้ก็แค่โยนความผิดของเรื่องราวในตอนนั้นไปให้เสด็จอาเก้า ให้เสด็จอาเก้าแบกรับทุกอย่างไว้ เขาเชื่อว่าหากเขาทำเช่นนี้ เสด็จพ่อของเขาจะต้องพอใจแน่
ผู้ที่คิดเช่นเดียวกับตงหลิงจื่อลั่วมีอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อตระกูลหวังทราบข่าวแล้วก็หารือกันอย่างจริงจัง เรื่องการพ่ายแพ้ของเสด็จอาเก้าและเรื่องที่จะให้คนยากคนจนเข้าวังเป็นขุนนาง ในฐานะที่เป็นตระกูลผู้ทรงอิทธิพล ตระกูลหวังได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ไปเต็มๆ
อย่างหนึ่งเป็นโอกาส อีกอย่างเปรียบเสมือนข้อจำกัด แต่ใช่ว่าทุกคนจะคิดเช่นนี้ อย่างน้อยก็มีหวังจิ่นหลิงที่คิดต่าง เรื่องที่จะให้คนยากคนจนเข้าวังเป็นขุนนาง เขาไม่ใส่ใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย
การเป็นขุนนางนั้นง่ายมาก แต่การรักษาตำแหน่งไว้ หากไม่มีคนช่วยย่อมล้มเหลวแน่นอน ขุนนางคือระบบที่สังคมเกื้อหนุนกัน ต่อให้มีความรู้ความสามารถมากแค่ไหน ถ้าหากขาดคนคอยหนุนหลังก็ไม่อาจเจริญรุ่งเรืองได้
หวังจิ่นหลิงไม่พอใจที่ตระกูลหวังเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราชวงศ์ แถมเรื่องนี้ยังไม่ผ่านความเห็นชอบจากเขาซึ่งเป็นผู้นำของตระกูล นี่คนตระกูลหวังคงจะมองว่าเขาใจดีเกินไปน่ะสินะ
กลุ่มผู้อาวุโสกำลังหารือกันต่างๆนานา โดยมีใจความว่าคราวนี้ตระกูลหวังจะร่วมมือกับตระกูลใหญ่ตระกูลอื่นอย่างไรดี และจะต้องช่วยฮ่องเต้กำจัดเสด็จอาเก้าออกไปให้พ้นทาง ยังคุยกันไม่ทันจบ หวังจิ่นหลิงก็พูดแทรกขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจ
“ผู้อาวุโสช่าน เรื่องนี้ควรให้ข้าจัดการไม่ใช่หรือ ในฐานะที่ข้าเป็นผู้นำของตระกูล ทำไมข้าจึงไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นภายในบ้างเลยล่ะ” ตระกูลหวังมีผู้อาวุโสอยู่ 3 คน ได้แก่ผู้อาวุโสช่าน ผู้อาวุโสเหริน และผู้อาวุโสจื้อ ทั้งสามคนนี้มีสิทธิ์ในการดูแลและถอดถอนผู้นำตระกูล อำนาจของผู้นำตระกูลจะต้องอยู่บนความเห็นชอบของผู้อาวุโสทั้งสามนี้
ผู้อาวุโสช่านไม่ได้หวั่นเกรงต่ออารมณ์ร้อนของหวังจิ่นหลิงแต่อย่างใด หากลำดับรุ่นกันแล้ว หวังจิ่นหลิงควรจะเรียกเขาว่าปู่ทวดด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าหวังจิ่นหลิงจะเป็นผู้นำตระกูล แต่อย่าลืมว่าตำแหน่งนี้เขาเพิ่งจะได้มายังไม่ทันถึงครึ่งปี ยังไม่ได้ทรงอำนาจมากนัก แถมเขายังไม่มีลูกน้องที่ไว้วางใจได้ แล้วจะให้ผู้อาวุโสมาใส่ใจกับคำพูดของชายหนุ่มอย่างเขาได้อย่างไร
ผู้อาวุโสช่านดื่มน้ำชาแล้วเอ่ยว่า “ท่านผู้นำอย่าเพิ่งโมโหสิ ก็ตอนนั้นเจ้ายังสุขภาพไม่สู้ดี คนแก่ๆอย่างพวกข้าก็ไม่อยากเอาเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ไปรบกวน เรื่องเล็กๆพวกนี้พวกข้าสามคนเห็นพ้องต้องกันแล้วล่ะ”
คำพูดประโยคนี้บ่งบอกว่าต่อให้หวังจิ่นหลิงอยู่ด้วยก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของพวกเขาทั้งสามได้
“ใช่แล้ว เรื่องนี้ข้าเองก็เห็นชอบ” ผู้อาวุโสจื้อพูดเสริม ส่วนผู้อาวุโสเหรินพอจะสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของหวังจิ่นหลิงดูเหมือนไม่พอใจ จึงสวนกลับอย่างไม่แยแสว่า “ทำไมล่ะ? เจ้ามองว่าการที่ไม้ใกล้ฝั่งอย่างพวกข้าจะทำเพื่อตระกูลเป็นเรื่องที่ผิดอย่างนั้นหรือ? เจ้าอย่าลืมสิว่าในอดีตเสด็จอาเก้าเคยยุยงให้ฮ่องเต้มากดดันตระกูลหวังของพวกเรา หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้แล้ว มีหรือที่ตระกูลของพวกเราต้องไปใส่ใจตระกูลเซี่ยด้วยน่ะ”
ฮ่องเต้ไม่มีวันทำผิดอยู่แล้ว คนในปกครองของเขาต่างหากที่ผิดไปเสียทุกเรื่อง เห็นๆอยู่ว่าฮ่องเต้ต้องการลิดรอนอำนาจ แต่คนแก่พวกนี้ก็ยังมองว่าคนที่ผิดคือเสด็จอาเก้า
เห็นผู้อาวุโสทั้งสามโต้เถียง หวังจิ่นหลิงก็นิ่งเฉย เหมือนไม่รับรู้ว่าผู้เฒ่าทั้งสามนี้กำลังเริ่มฉุนเฉียว ผู้นำตระกูลคนก่อนหน้าคงไม่เคยแข็งข้อกับพวกเขา เห็นทีคงจะมีเพียงหวังจิ่นหลิงที่มีความกล้าหาญในการยั่วโมโหผู้อาวุโสทั้งสาม
ในความคิดของพวกเขาตอนนี้ เจ้าเด็กคนนี้ควรจะถูกสั่งสอนให้เข็ดหลาบ
ผู้อาวุโสทั้งสามเห็นหวังจิ่นหลิงยืนเงียบอยู่นานก็เข้าใจว่าหวังจิ่นหลิงจนมุม พวกเขามองหวังจิ่นหลิงด้วยสายตาดูหมิ่น
ก็แค่เด็กเมื่อวานซืน อย่าคิดนะว่าการได้เป็นผู้นำตระกูลแล้วจะทำอะไรตามอำเภอใจได้ ผู้นำตระกูลหวังมีหน้าที่ทำเพื่อตระกูลหวัง สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อตระกูล ผู้เป็นผู้นำก็ต้องพยายามทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ หน้าที่นี้เป็นหน้าที่ที่เหนื่อยมาก หากทำดีนั่นเป็นหน้าที่ของผู้นำอยู่แล้ว หากทำพลาดก็หมายความว่าผู้นำไม่เอาไหน
หวังจิ่นหลิงดูเหมือนว่าจะไม่เห็นสายตาดูหมิ่นของผู้อาวุโสทั้งสาม เขาหยิบกระดาษออกมาแผ่นหนึ่งแล้วยืนขึ้น จากนั้นมองผู้อาวุโสทั้งสามด้วยแววตาอ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยความเด็ดขาด ทำเอาผู้อาวุโสทั้งสามหนาวสะท้านเล็กน้อย แล้วหวังจิ่นหลิงก็อ่านเนื้อความในกระดาษ “การไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราชวงศ์เป็นข้อบัญญัติจากบรรพบุรุษตระกูลหวัง ผู้อาวุโสเหริน ผู้อาวุโสช่าน ผู้อาวุโสจื้อได้ทำการละเมิดข้อบัญญัติดังกล่าว ตามกฎของตระกูล ให้ขับไล่ออกไปจากตระกูล ลูกหลานรุ่นหลังไม่มีสิทธิ์กลับคืนสู่การเป็นสมาชิกตระกูลหวังตลอดไป แต่เห็นแก่คุณงามความดีที่ผู้อาวุโสทั้งสามเคยกระทำต่อตระกูลในอดีต ให้ละเว้นโทษการขับไล่ นับจากวันนี้เป็นต้นไป ให้ไปใช้ชีวิตอย่างสงบ โดยมีตระกูลหวังคอยดูแล”
หวังจิ่นหลิงเงียบๆก็ดีแล้ว เพราะถ้าหากเขาเอ่ยปากขึ้นมา ก็จะเป็นการคุกคามคนทั้งสาม สีหน้าคนทั้งสามเปลี่ยนไป ผู้อาวุโสเหรินที่หัวร้อนง่ายกว่าคนอื่นๆถึงกับตบโต๊ะด้วยความไม่พอใจ “หวังจิ่นหลิง นี่เจ้ากล้าดีอย่างไร”
เขาโมโหจนหน้าแดง นัยน์ตาก็ดูเคียดแค้นมาก ดูท่าทางคงจะโกรธมิใช่น้อย
“ท่านผู้นำ จงคิดก่อนทำเสมอนะ” ผู้อาวุโสช่านกล่าว เขาไม่เชื่อหรอกว่าหวังจิ่นหลิงจะกล้ากำจัดพวกเขาทั้งสาม หากไม่มีพวกเขาทั้งสามแล้ว ตระกูลหวังก็เหมือนพังพินาศไปครึ่งหนึ่ง
ผู้อาวุโสจื้อยังกล่าวเสริมอีกว่า “ท่านผู้นำ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน หากตัดบางส่วนไปก็จะส่งผลกระทบกับส่วนที่เหลืออยู่ พวกเราสามคนก็แค่หวังดีต่อตระกูล และอยากทำเพื่อคนรุ่นหลัง ถึงอย่างไรพวกเราสามคนก็เป็นญาติผู้ใหญ่ของเจ้า ในฐานะที่เจ้าเป็นผู้น้อย การกระทำเช่นนี้ถือว่าไม่กตัญญู ตระกูลหวังไม่ต้องการผู้นำที่อกตัญญู”
เอาเรื่องวัยวุฒิมาอ้างอย่างนั้นหรือ นี่มันข่มขู่กันชัดๆ หากเป็นก่อนหน้านี้ หวังจิ่นหลิงคงเชื่อฟังแต่โดยดี แต่ไหนแต่ไรมาเขาเป็นคนที่สุภาพอ่อนน้อม และคนทั้งสามนี้ก็เป็นญาติผู้ใหญ่ของเขา เขาย่อมปฏิบัติต่อผู้ใหญ่เป็นอย่างดี แต่ว่าตอนนี้ล่ะ?