นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 610 ความกตัญญู นำมาตอบแทนความเสียสละของเสด็จอาเก้า

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

หวังจิ่นหลิงหลับตาลง เขาไม่อยากเสียเวลามองหน้าผู้อาวุโสทั้งสามอีก เขาเตรียมการมาเนิ่นนาน ก็เพื่อต้องการเขี่ยคนพวกนี้ไปให้พ้นๆทาง

ตอนนี้โอกาสมาถึงแล้ว หากเขาไม่ใช้โอกาสนี้มาเหยียบย่ำผู้อาวุโสทั้งสามก็คงจะโง่เขลาสิ้นดี หากโค่นล้มสามคนนี้ไม่ได้ แล้วเขาจะตอบแทนความเสียสละของเสด็จอาเก้าได้อย่างไร

ผู้อาวุโสทั้งสามยกความกตัญญูมาต่อรอง เขาก็จะใช้ความกตัญญูโต้ตอบ ช่วงที่เขาศึกษาอยู่ที่สำนักจี้เซี่ย เขาก็เรียนรู้ทุกอย่างได้ยอดเยี่ยม เรื่องผู้อาวุโสทั้งสามนี้ เขาไม่จำเป็นต้องเก็บไปใส่ใจ

หวังจิ่นหลิงค่อยๆลืมตาขึ้น ลูกตาสีดำขลับของเขาดูเหมือนมีแรงดึงดูดวิญญาณคน นอกจากผู้อาวุโสทั้งสามแล้ว หวังจิ่นหลิงก็ได้กวาดสายตามองดูคนอื่นๆ แต่ละคนจึงวางตัวไม่ถูก ได้แต่รอฟังหวังจิ่นหลิงพูด

หลังจากควบคุมสถานการณ์ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว หวังจิ่นหลิงจึงมองผู้อาวุโสทั้งสามด้วยท่าทีที่ดูเหมือนกลัดกลุ้ม พร้อมกับเอ่ยขึ้นมาว่า “ผู้อาวุโสทั้งสามพูดถูก ลูกหลานตระกูลหวังของเราจะอกตัญญูไม่ได้ ลูกหลานตระกูลหวังของเราไม่ควรฝ่าฝืนคำสอนบรรพชน การที่ผู้อาวุโสทั้งสามละเมิดหลักคำสอนของบรรพบุรุษ หากข้ายังโอนอ่อนให้พวกท่าน ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นการอกตัญญูต่อบรรพบุรุษ จิ่นหลิงจะไม่ขอเป็นคนอกตัญญู แต่ถ้าหากพวกท่านมองว่าข้าไม่ยุติธรรมกับพวกท่าน เช่นนั้นเราก็จะเรียกประชุมครอบครัวต่อหน้าศาลบรรพชน ให้สมาชิกครอบครัวคนอื่นๆมาช่วยกันตัดสินว่าควรจัดการพวกท่านอย่างไรดี”

หากทำเช่นนั้นจริง ผู้อาวุโสทั้งสามและคนรุ่นหลังของพวกเขาก็จะถูกตระกูลหวังขับไล่ แถมยังไม่มีแซ่หวังนำหน้าชื่อ ไม่ได้รับการเหลียวแลจากตระกูล หวังจิ่นหลิงถอยหลังในครานี้ก็เพื่อตั้งหลักมาจู่โจมคนทั้งสาม

เห็นบอกว่าเขาอกตัญญู เขาจึงกตัญญูให้ทั้งสามได้เห็น

ผู้อาวุโสช่านถึงกับกระอักเลือดในทันที เขาตาเหลือก มือสั่น แล้วฟุบไปกับเก้าอี้

แสร้งทำเป็นป่วยอย่างนั้นหรือ?

หวังจิ่นหลิงยืนยิ้ม รอยยิ้มนั้นดูมีเลศนัย ก่อนที่จะผสมโรงไปด้วยกัน

“เร็วเข้า ไปตามหมอมาเร็ว ผู้อาวุโสช่านแย่แล้ว”

“หมอ หมออยู่ไหนล่ะ”

ผู้อาวุโสเหรินและผู้อาวุโสจื้อเป็นคนฉลาด เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาแล้วก็รีบโวยวาย ลูกหลานของพวกเขาก็พลอยร้อนอกร้อนใจไปด้วย บางคนก็รีบวิ่งออกไปตามหาหมอ

แต่เมื่อเดินไปถึงประตู ก็มีเสียงปิดประตูปัง เมื่อประตูถูกปิด ภายในห้องก็ถูกความมืดเข้าปกคลุม

“หา……” แต่ละคนแตกตื่น หลังจากนั้นเทียนก็ถูกจุดขึ้นจนห้องกลับมาสว่างไสวอีกครั้ง เมื่อคนที่กำลังจะวิ่งไปด้านนอกถูกขัดขวางกะทันหัน ก็รีบหันมาตวาดใส่หวังจิ่นหลิง “จิ่นหลิง นี่เจ้าคิดจะทำอะไร อย่าคิดนะว่าเป็นผู้นำแล้วจะทำทุกอย่างได้ตามใจ ผู้อาวุโสช่านได้ทุ่มเทเพื่อตระกูลมามาก ตอนนี้เขากำลังหมดสติ ไยเจ้าจึงมาขัดขวางพวกข้าไม่ให้ช่วยคนล่ะ”

“นั่นน่ะสิ อย่าคิดว่าจะเอาแต่ใจได้นะ ตระกูลหวังไม่ได้มีเจ้าแค่คนเดียวเสียหน่อย”

เสียงคนโวยวายมีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่หวังจิ่นหลิงก็ยังใจเย็นอยู่ เขาปรบมือส่งสัญญาณ แล้วหมอสำหรับตระกูลหวังก็เดินออกมาจากอีกประตูหนึ่ง “ท่านผู้นำ”

“ช่วยดูอาการผู้อาวุโสช่านด้วยล่ะ รักษาให้สุดฝีมือนะ”

เมื่อหมอมาตรวจชีพจรจนแน่ใจว่าผู้อาวุโสช่านปลอดภัยดี หวังจิ่นหลิงก็สั่งให้ทุกคนเงียบ

แต่ผู้อยู่ในเหตุการณ์กลับทำหูทวนลม ใครเสียงดังได้ก็เสียงดัง หวังจิ่นหลิงจึงปาถ้วยน้ำชาในมือทิ้ง

“เพล้ง” ถ้วยน้ำชาแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้คนอื่นๆเริ่มไม่กล้าส่งเสียง พวกเขามองเศษแก้วที่ตกแตกอยู่บนพื้นด้วยความหวั่นเกรง ท่าทางหวังจิ่นหลิงจะโกรธจัด แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นหวังจิ่นหลิงยังยิ้มอยู่ หลายคนก็พากันโล่งอก และมองว่าหวังจิ่นหลิงจัดการอารมณ์ได้ดีเยี่ยม ดูเหมือนว่าเขาแทบจะไม่โกรธเคืองผู้ใดเลย ส่วนคนที่ยังอยากตำหนิหวังจิ่นหลิงก็ไม่นึกไม่ฝันว่าตัวเองจะถูกหวังจิ่นหลิงเล่นงาน

“ก่อความไม่สงบภายใน ตามกฎตระกูลหวัง ให้ขับไล่ออกไปจากตระกูล ข้าจะให้โอกาสพวกท่านอีกครั้งเดียว ข้าจะนับ 1 ถึง 3 หากใครยังไม่กลับไปนั่งที่ก็จะถูกข้าตัดสินโทษ และส่งพวกท่านออกไปจากตระกูล”

“ตอนนี้ฮ่องเต้ก็ทรงมีรับสั่งลงมาแล้วว่าไม่ว่าจะเป็นลูกหลานตระกูลใหญ่หรือคนทั่วๆไปก็สามารถสอบเป็นขุนนางได้ ถึงแม้ว่าพวกท่านจะไม่ใช่คนตระกูลหวังอีกต่อไป แต่ก็ยังเป็นขุนนางกันได้นะ ส่วนตัวข้าก็ถือว่าได้ทำหน้าที่เพื่อบรรพบุรุษเต็มที่แล้ว”

นี่มัน……คนที่โวยวายมองหน้ากันไปมา สีหน้าแต่ละคนดูกระวนกระวายมาก หากตอนนี้พวกเขายอมกลับไปนั่งที่ ก็เท่ากับว่าเขาเกรงกลัวหวังจิ่นหลิงน่ะสิ และต่อจากนี้ไป อะไรๆก็ต้องเชื่อฟังหวังจิ่นหลิงน่ะสินะ

ผู้อาวุโสเหรินกับผู้อาวุโสจื้อหันไปมองกลุ่มคนที่ยืนอยู่ตรงประตู แล้วสื่อสารผ่านทางสายตาว่าคนเยอะเช่นนี้ไม่ต้องกลัวหรอก เขาไม่เชื่อว่าหวังจิ่นหลิงจะกล้าขับไล่คนในครอบครัวออกไปได้เกือบสิบคน

มีผู้อาวุโสทั้งสองคอยให้ท้าย แต่ผู้ก่อความวุ่นวายก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี พวกเขายังคงยืนอยู่ที่เดิม ทางด้านหวังจิ่นหลิงก็ไม่เสียเวลา เขามองกลุ่มคนหน้าประตูแล้วเริ่มนับ

“หนึ่ง”

ยังไม่มีใครกระดุกกระดิก

“สอง”

คนบางคนเริ่มลุกลี้ลุกลน

“สาม”

เมื่อหวังจิ่นหลิงนับถึงสามแล้ว มีคน 4 คนที่ยอมฝืนใจกลับมานั่งที่ ท่ามกลางสายตาชิงชังของกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง แล้วสี่คนนี้ก็ได้ยอมรับผิดกับหวังจิ่นหลิง “ท่านผู้นำ เมื่อครู่นี้พวกข้าไร้หัวคิด ขอท่านผู้นำโปรดให้อภัยพวกข้าด้วย”

“เรื่องเล็กน้อย ช่างมันเถอะ ท่านลุงเจ็ด ท่านลุงสิบหก ท่านอาสามสิบเจ็ด ท่านอาสี่สิบสองเชิญนั่งลงได้” หวังจิ่นหลิงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพวกเขาเหล่านี้ เมื่อคนทั้งสี่นั่งลงแล้ว หวังจิ่นหลิงก็พูดต่อไปว่า “ท่านลุงท่านอาทั้งหลาย ฮ่องเต้ทรงเตรียมการทดสอบ คนตระกูลหวังของเราล้วนมีสิทธิ์เข้ารับการทดสอบนี้ ก่อนหน้านี้จิ่นหลิงเคยไปศึกษาที่สำนักจี้เซี่ยมาก่อน และพอจะรู้จักคนที่นั่นพอสมควร หากท่านลุงท่านอามีลูกชายหลานชายที่เห็นว่ามีแววก็สามารถบอกจิ่นหลิงได้ สำนักจี้เซี่ยคงจะให้เกียรติจิ่นหลิงอยู่บ้าง คงพอจะช่วยลูกหลานพวกเราได้” นี่มันตบหัวแล้วลูบหลังกันชัดๆ

ไม่ว่าจะเป็นลูกหลานตระกูลใหญ่หรือลูกหลานของคนยากคนจน หากต้องการโดดเด่นกว่าผู้อื่นก็ต้องหมั่นศึกษาหาความรู้ สำนักจี้เซี่ยถือเป็นสถาบันในฝันของผู้เรียนหลายๆคน แต่สำนักจี้เซี่ยรับลูกศิษย์เพียงปีละ 1 พันคนเท่านั้น การที่หวังจิ่นหลิงทำเช่นนี้ก็เหมือนใช้เส้นสายมาช่วยเหลือลูกหลานในตระกูล

กลุ่มคนที่สนับสนุนหวังจิ่นหลิงอยู่แล้วก็ยิ่งซาบซึ้งขึ้นไปอีก ตระกูลหวังเป็นตระกูลใหญ่ก็จริงอยู่ แต่ต่อให้จะยิ่งใหญ่เพียงใดความสำเร็จนั้นก็ไม่ได้เป็นของลูกหลานโดยตรง จะต้องให้ลูกหลานได้ดิบได้ดีด้วยตัวเอง การที่จะทำให้ตระกูลหวังเจริญรุ่งเรืองสืบไป ก็ต้องอาศัยคนรุ่นหลังมาคอยช่วยค้ำชู

“ขอบคุณท่านผู้นำ”

“ท่านผู้นำช่างใส่ใจลูกหลานของพวกเราเหลือเกิน”

“การที่ตระกูลหวังมีผู้นำที่ห่วงใยอนาคตของลูกหลานช่างเป็นโชคดีของตระกูลจริงๆ”

คำเยินยอจากปากพวกลุงพวกอาตามมาไม่ขาดสาย จะว่าไปแล้วการที่หวังจิ่นหลิงมาดำรงตำแหน่งผู้นำของตระกูลก็เป็นเรื่องที่ลำบากไม่น้อย ที่ผ่านมาธุระในตระกูลแต่ละเรื่องมีญาติผู้ใหญ่คอยจัดการ เขาอายุยังน้อย มีหลายเรื่องที่รับมือไม่เป็น

เมื่อเรียกความสงบกลับคืนมาได้แล้ว ภารกิจหลังจากนี้ก็คงสะดวกขึ้น ผู้อาวุโสทั้งสามกุมอำนาจมานาน จะต้องมีคนที่ไม่ชอบพวกเขาบ้างล่ะ แม้สามคนนี้จะมีลูกหลานที่มีความสามารถ แต่พวกเขาก็ยังคอยควบคุมทุกอย่างไว้ หวังจิ่นหลิงจึงลองหาหนทางมาตลอด ซึ่งตอนนี้เขาทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ยิ่งมีหลักฐานที่เสด็จอาเก้าส่งมาให้ เขาก็ยิ่งสามารถเขี่ยคนแก่พวกนี้ไปให้พ้นๆทาง……

คนเรามีความเห็นแก่ตัวเป็นเรื่องธรรมดา ผู้อาวุโสทั้งสามคนกอบโกยผลประโยชน์มาให้ลูกหลานตัวเองมามากแล้ว เมื่อมีหลักฐานอยู่ในมือ สามคนนี้ก็อย่าหวังว่าจะรอด หากไม่ถูกขับไล่ออกไปจากตระกูลก็คงจะตลกสิ้นดี!

อำนาจแห่งตระกูลหวังกำลังจะเปลี่ยนระบบใหม่ หวังจิ่นหลิงต้องการเป็นผู้ถือครองอำนาจสูงสุดของตระกูลแต่เพียงผู้เดียว

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท