นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 611 เข้าคุก เฟิ่งชิงเฉินไม่หวั่น

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

หวังจิ่นหลิงมีความอดทนไม่น้อย แต่เมื่อใดที่เขาตัดสินใจจะเคลื่อนไหวบางอย่าง แน่นอนว่าสิ่งที่เขาทำนั้นต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ระยะเวลาเพียงแค่ครึ่งวัน หวังจิ่นหลิงก็ได้จัดการกับผู้อาวุโสทั้งสามท่าน เขาไม่จำเป็นจะต้องเปิดห้องโถงบรรพบุรุษ อาศัยบารมีอันแข็งแกร่งที่เพิ่งสร้างขึ้นก็สามารถขับไล่คนใช้ทั้งเจ็ดซึ่งไม่เชื่อฟังคำสั่งของเขาออกไปจากตระกูลหวังได้

จิตใจมนุษย์ไม่รู้จักคำว่าเพียงพอ ดุจดั่งงูที่จะกลืนช้างไปทั้งตัว ในฐานะผู้อาวุโสของตระกูลหวัง แม้ว่าพวกเขาจะมีความรุ่งโรจน์และมั่งคั่ง แต่ก็ยังไม่เพียงพอ พวกเขาต้องการที่จะให้รุ่นลูกหลานของตนได้รับผลประโยชน์มากขึ้น

และเพื่อที่จะให้บุตรหลานของตนมีสถานะตัวตนอันสูงส่งอยู่ในตระกูลหวัง ไม่ถูกผู้อื่นเหยียบย่ำ ผู้อาวุโสทั้งสามจึงพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อที่ให้ได้ผลประโยชน์จากตระกูลมาได้มากที่สุด

ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่ทั้งสี่ประเทศเกิดราคาอาหารสูงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ผู้อาวุโสทั้งสามได้ฉวยโอกาสนี้ในการสร้างเงินทองมากมายให้กับตนอย่างลับๆ แต่ตระกูลหวังกลับเรียกได้ว่าแทบตาย

หากไม่ใช่เพราะเสด็จอาเก้านำหลักฐานมาแสดงให้เขาเห็นต่อหน้า คาดว่าเขาคงจะไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่าบุคคลทั้งสามเหล่านี้ ที่ปากเอาแต่กล่าวว่าตนอุทิศทุกสิ่งอย่างเพื่อตระกูลหวัง ล้วนเห็นแก่ตัวเช่นนี้

ทำทุกสิ่งเพื่อตระกูล ฮ่าๆๆ……คงมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่โง่เง่าเชื่อ ยามเผชิญหน้ากับกลุ่มคนที่เห็นแก่ตัวเช่นนี้แต่เขากลับไม่เคยคิดสงสัยเลย

จะว่าไปเป็นเช่นนี้ก็ดี หากไม่ใช่เพราะพวกเขาโลภมากไม่รู้จักพอ แล้วตนจะมีโอกาสจัดการกับผู้อาวุโสทั้งสามได้อย่างไร จะนำอำนาจหลักมากุมไว้ในมือได้อย่างไร หวังจิ่นหลิงเปิดหนังสือบัญชีตลอดหลายปีมานี้ของตระกูลหวังออกดู ยิ่งมองสายตาของเขาก็ยิ่งเยือกเย็น

ในช่วงสี่สิบปีที่ผ่านมาผู้อาวุโสทั้งสามมีความสามารถไม่น้อย ทรัพย์สินส่วนตัวของเขาร่วมกันแล้วมีรายได้มากกว่าตระกูลหวังในหนึ่งปี มิน่าเล่า เขาจึงได้สนใจมัน

“พรึบ……” หวังจิ่นหลิงปิดสมุดบัญชีลงอย่างรวดเร็วแล้วหันไปกล่าวกับผู้ที่อยู่ข้างหลังว่า “จงไปนำทรัพย์สินของผู้อาวุโสทั้งสาม จำนวนครึ่งหนึ่งมอบไปให้เขา นับว่าเป็นน้ำใจจากข้า”

แน่นอนว่าทรัพย์สินเหล่านี้ เขาสั่งให้นำไปมอบแก่เสด็จอาเก้า เสด็จอาเก้าจะช่วยเขาอย่างไรเหตุไร้ผลได้อย่างไร แน่นอนว่าเสด็จอาเก้ากำลังจับจ้องทรัพย์สินของตระกูลหวังอยู่ ทรัพย์สินที่ตระกูลหวังสั่งสมมาเป็นเวลาหลายพันปีมีมูลค่ารวมแล้วมากกว่าคลังของประเทศอีกเสียด้วยซ้ำ บุคคลผู้ที่มีเงินมั่งคั่งเช่นนี้เสด็จอาเก้าจะปล่อยไปได้อย่างไร

“ขอรับคุณชาย” แม้ว่าผู้ที่อยู่ข้างหลังของเขาจะประหลาดใจแต่ก็ไม่กล้าจะเอ่ยถามอะไรเพิ่มเติม ได้แต่ก้มศีรษะยอมรับคำสั่ง

หวังจิ่นหลิงโยนสมุดบัญชีไปไว้บนโต๊ะแล้วลุกขึ้น เขาเดินไปมาอยู่ในห้องอยู่สองหน หลังจากคิดดูแล้วจึงได้เอ่ยว่า “จงไปแจ้งร้านค้าทั้งหมดของตระกูลหวัง การที่จับเสด็จอาเก้าเข้าคุกทำให้สวรรค์ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ประกอบกับการระเบิดบนภูเขา จงไปกระจายข่าวนี้ให้ทั่ว ข้าต้องการให้เมืองทุกเมืองในตงหลิงรับรู้ข่าวนี้”

หากเทียบกับตระกูลหวังที่ทำการค้ามาเนิ่นนานหลายปีแล้ว เสด็จอาเก้ารมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างจำกัด หากมีหวังจิ่นหลิงอยู่เบื้องหลัง สิ่งต่างๆ จะร้อนแรงยิ่งขึ้น เมื่อถึงเวลาแล้วต่อให้เป็นองค์จักรพรรดิก็ไม่สามารถปิดปากของทุกคนได้ เมื่อมีการแอบอ้างทวยเทพเข้ามาเกี่ยวข้อง ทุกการกระทำขององค์จักรพรรดิล้วนถูกจับตามอง เขาจึงไม่กล้าขยับเขยื้อนอย่างง่ายดาย

“ขอรับคุณชาย” ในฐานะคนสนิทของหวังจิ่นหลิง เขาค่อนข้างจะน่าเชื่อถือ

“ไปเถอะ”

หวังจิ่นหลิงพยักหน้า เดิมทีเขาต้องการจะเอ่ยถามถึงเรื่องราวของเฟิ่งชิงเฉินสักเล็กน้อย แต่ท้ายที่สุดแล้วเมื่อครุ่นคิดก็ไม่ได้เอ่ยออกไป การที่เสด็จอาเก้ากล้าให้ปิ่นเฟิ่งแก่เฟิ่งชิงเฉิน แน่นอนว่าเขาจะต้องมีแผนการรับมือไว้แล้วกับองค์จักรพรรดิที่จะโจมตีเฟิ่งชิงเฉิน คาดว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับเสด็จอาเก้าทุกคนคงจะต้องถูกจัดการ

เป็นดังที่หวังจิ่นหลิงคิดเอาไว้ เมื่อตี๋ตงหมิงรีบเร่งมาถึงลานเล็กในฝั่งตะวันตก และส่งข้อความนี้ไปถึงเฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้มขึ้น

“ท่านซื่อจื่อ ท่านจะรีบร้อนไปไย? ผู้ที่ไม่รู้คงคิดว่าคนที่จะถูกจับเข้าคุกคือท่าน”

“จะไม่ให้ข้ารีบได้อย่างไร บัดนี้เสด็จอาเก้าก็ได้เข้าไปอยู่ในคุกแล้ว คนต่อไปก็คงเป็นเจ้า” ตี๋ตงหมิงยกมือขึ้นปาดเหงื่อตรงหน้าผากของเขาแล้วสะบัดออกอย่างแรง เหลือไว้เพียงความกังวลใจอย่างยิ่ง

เฟิ่งชิงเฉินเหลือบไปจ้องมองตี๋ตงหมิงด้วยสายตาอันเบื่อหน่ายเล็กน้อย “ท่านซื่อจื่อ ต่อให้เร่งรีบไปอย่างไรก็ไร้ผล องค์จักรพรรดิคงไม่ปล่อยเสด็จอาเก้าออกมาเนื่องจากว่าท่านเร่งรีบ อีกอย่างเสด็จอาเก้าคงจะไม่ถูกขังอยู่ในคุกนานนัก องค์จักรพรรดิเป็นคนนำเสด็จอาเก้าขังไว้ในคุก ผู้ที่ปวดหัวก็คงเป็นตัวเขาเอง”

ในครั้งนี้ที่เสด็จเข้าคุก เฟิ่งชิงเฉินไม่กังวลใจแม้แต่น้อย ตอนที่องค์จักรพรรดิข่มขู่เขาโดยใช้นามของมารดาเสด็จอาเก้า เสด็จอาเก้าก็คงจะวางแผนรับมือเอาไว้แล้ว ต่อให้เสด็จอาเก้าไม่มีแผนได้ก็ไม่เป็นไรเพียงแค่คงจักรพรรดิไม่สั่งสังหาร นางก็เอาเชื่อมั่นว่าจะสามารถช่วยเสด็จอาเก้าออกมาได้

ตี๋ตงหมิงได้ยินดังนั้นโมโหเสียแทบลุกขึ้นกระโดด “นี่มันเวลาไหนแล้วเฟิ่งชิงเฉินยังมีอารมณ์มากล่าวถึงเรื่องราวขบขัน เฟิ่งชิงเฉินเจ้าได้โปรดจริงจังสักหน่อยได้หรือไม่ เรื่องนี้อาจจะถูกตัดศีรษะก็ย่อมได้”

เมื่อได้ยินข่าวว่าเสด็จอาเก้าถูกจับเข้าคุก ทั้งเขาและท่านปู่ต่างก็สะดุ้ง การโจมตีขององค์จักรพรรดิในครั้งนี้ไม่ธรรมดา เขาจับกุมตัวเสด็จอาเก้าเอาไว้ หากว่าไม่มีเหตุการณ์พลิกผัน คาดว่าชีวิตนี้เสด็จอาเก้าคงไม่อาจฟื้นตัวขึ้นมาได้อีก

เดิมทีเขาคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินจะตกใจจนหน้าซีดเผือดเมื่อได้ยินเรื่องนี้ แต่กลับกลายเป็นว่าเฟิ่งชิงเฉินเอ่ยด้วยท่าทางอันสงบ การแสดงออกของนางราวกับได้ยินคำว่าวันนี้อากาศดียิ่งนัก แต่เมื่อคิดดูแล้วก่อนหน้าที่เขาเดินทางไปบอกเรื่องนี้กับหวังจิ่นหลิง หวังจิ่นหลิงเองก็มีท่าทางเช่นนี้ เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยกล่าวว่า เรื่องที่เสด็จอาเก้าเข้าคุก ข้ารู้แล้ว

เมื่อกล่าวจบก็ไล่เขาออกมาจากตระกูลหวัง ให้เขาเดินทางมาดูเฟิ่งชิงเฉิน แต่สรุปว่า……เฟิ่งชิงเฉินหาได้ต้องการเขา บัดนี้นางดูสงบนิ่งกว่าเขาอีก

“ไม่ใช่ว่าข้าไม่จริงจัง ท่านซื่อจื่อวางใจเถิด เสด็จอาเก้าจะไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน องค์จักรพรรดิบอกว่า เสด็จอาเก้าไม่เชื่อฟัง นั่นเป็นเพียงคำพูดขององค์จักรพรรดิเท่านั้น ไม่มีหลักฐานใดเลย ส่วนข้าน่ะหรือ องค์จักรพรรดิไม่อาจลงโทษข้าได้แต่อย่างใด” เฟิ่งชิงเฉินหันไปกำชับผู้คนรอบข้างว่า “ทงจือ จงไปหยิบปิ่นเฟิ่งของข้าบนโต๊ะมา”

“เจ้าค่ะคุณหนู” ทงจือยิ้มขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ นางตั้งตารอการแสดงออกอันอัดอั้นตันใจของราชองครักษ์ยิ่งนัก

“จะไม่เป็นอะไรจริงหรือ?” ตี๋ตงหมิงเห็นดังนั้น เขาเองก็สงบลงเช่นกัน มองดูท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินคาดว่านางจะกุมเรื่องราวทุกอย่างไว้ได้ในกำมือ

เป็นไปได้หรือไม่ที่เสด็จอาเก้าจะคาดเดาไว้แล้วล่วงหน้า ตามเหตุผลก็ไม่น่าใช่

“วางใจเถิด ไม่……”

“โครม!”

เฟิ่งชิงเฉินยังไม่ทันกล่าวจบก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น ประตูเรือนเล็กฝั่งตะวันตก ถูกคนถีบออกอย่างแรง ราชองครักษ์ในชุดเกราะมีหอกติดอาวุธ พุ่งเข้ามาดุจดั่งราชสีห์ หอกยาวนั้นชี้ไปที่เฟิ่งชิงเฉินด้วยรัศมีอันอาฆาต

“ท่านซื่อจื่อ ข้าน้อยทำให้ท่านต้องขุ่นเคือง พวกเรากำลังอยู่ในการปฏิบัติหน้าที่ ขอท่านโปรดให้ความร่วมมือกับพวกเราด้วย” หัวหน้าราชองครักษ์มองเห็นตี๋ตงหมิง เขาตกตะลึงเล็กน้อยก่อนจะก้าวเข้ามาทำความเคารพ แล้วโบกมือให้องครักษ์ทั้งหลายให้แยกตี๋ตงหมิงออกจากเฟิ่งชิงเฉิน ตี๋ตงหมิงเห็นท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินอันสงบนิ่ง จึงได้ให้ความร่วมมือแล้วยืนอยู่ด้านข้าง “เชิญเถิด”

“เป็นเจ้า?” เฟิ่งชิงเฉินมองเห็นใบหน้าอันคุ้นเคยนางยิ้มขึ้นเล็กน้อย

ในตอนนั้นที่เฟิ่งชิงเฉินถูกองค์จักรพรรดิกุมขังตัว ก็เป็นคนนี้ที่นำทหารและม้ามาปกป้องนาง เมื่อครั้นจวนเฟิ่งถูกไฟไหม้ก็ไม่ได้ทอดทิ้งนาง แต่กลับวิ่งเข้าไปในกองไฟเพื่อช่วยนางออกมา นางรู้สึกซาบซึ้งบุญคุณของชายผู้นี้ไม่น้อย

“ขอรับคุณหนูเฟิ่ง พวกเราได้เจอกันอีกแล้ว” เมื่อเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่รู้สึกหวั่นไหว หัวหน้าราชองครักษ์ก็รู้สึกแอบชื่นชมในใจ

แต่จะว่าไปนางเป็นสตรีที่เคียงข้างกับเสด็จอาเก้าได้ ความแข็งแกร่งเช่นนี้สตรีทั่วไปมีน้อยกว่านางหลายเท่านัก เขาเป็นราชองครักษ์มาเนิ่นนานหลายปี ผู้ที่ถูกคุมขังเข้าไปในคุกโดยสีหน้าไร้อารมณ์นอกเสียจากเสด็จอาเก้าก็คงจะเป็นเฟิ่งชิงเฉิน

เฟิ่งชิงเฉินยิ้มขึ้นอย่างขมขื่น “นั่นสิ เราเจอกันอีกแล้ว ทุกครั้งที่พบหน้าท่านล้วนไม่มีเรื่องดีเกิดขึ้น ในครั้งนี้ ท่านเองก็ไม่ได้มาดี”

เฟิ่งชิงเฉินเหลือบมองไปยังราชองครักษ์ที่มีขบวนยืดยาวสุดลูกหูลูกตา จะว่าไปแล้ว องค์จักรพรรดิก็ไว้หน้านางไม่น้อย เขาทำให้เรื่องราวใหญ่โต และให้คนจำนวนมากมาจับนาง ทรงคิดสิ่งใดอยู่กันแน่……

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท