มีลมหอบหนึ่งพัดวูบมา บวกกับเสียงหวีดร้องอย่างตกใจของพวกเซี่ยหว่านทำให้เฟิ่งชิงเฉินชะงักงัน ร่างกายของนางตอบสนองเร็วกว่าสมอง นางรีบเก็บเท้ากลับมาและเบี่ยงตัวหลบอีกฝ่ายที่พุ่งเข้ามาพร้อมทั้งตั้งท่าเตรียมพร้อมต่อสู้ ยามที่ชายในอาภรณ์สีน้ำเงินพุ่งเข้ามา มือทั้งสองของเฟิ่งชิงเฉินจับข้อศอกของอีกฝ่ายไว้แต่กลับไม่อาจทุ่มอีกฝ่ายลงได้ เห็นได้ว่าพลังของอีกฝ่ายก็ไม่เบาเลย
“อย่า ข้าเอง” พอดีกลับชายผู้นั้นพูดออกมา เงยหน้าเผยให้เห็นใบหน้าที่ค่อนข้างมอมแมมของเขา
“ฝู่หลิน? เป็นเจ้าไปได้อย่างไร?” เฟิ่งชิงเฉินมองดูแล้วปล่อยมือพลางประเมินคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ นี่เพิ่งไม่กี่วัน เหตุใดฝู่หลินจึงได้มีสภาพเหมือนสุนัขเร่ร่อนเช่นนี้ เมื่อเทียนกับยามแรกที่เขาสั่งสอนนางเรื่องขโมยม้าแล้วแทบจะเป็นคนละคน
ฝู่หลินยิ้มขื่น “จะไม่ใช่ข้าได้อย่างไร เฟิ่งชิงเฉินเจ้าทำข้าไว้แสบเหลือเกิน”
“ข้าทำร้ายเจ้า? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” เฟิ่งชิงเฉินมองดูฝู่หลินอย่างประเมิน แม้เขาจะมีสภาพน่าอนาจแต่กลับมีแววตาเปล่งประกาย จึงรู้ได้ว่าเขาก็ไม่ได้ลำบากสักเพียงใด
หลังจากที่ฝู่หลินเข้าเมืองมาก็ถูกเสด็จอาเก้าพาตัวไป เขาบอกว่าจะพาฝู่หลินไปทำเอกสารราชการ ฝู่หลินย่อมไม่ปฏิเสธ ใครจะรู้ว่าพอเข้าเมืองเสด็จอาเก้าก็มีแต่เรื่อง ไฉนเลยจะมีเวลามาสนใจคนตัวเล็กๆ เช่นเขา
ฝู่หลินอาศัยอยู่ที่จวนองค์ชายเก้าและถูกราชองครักษ์จับได้ว่าเขาเป็นคนจรที่ไม่มีป้ายแสดงตัวตนจึงจับเขาเข้าคุกทันทีและเพิ่มข้อหาเสด็จอาเก้าแอบลักลอบซ่อนคนเถื่อน
หากคนเถื่อนนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับแคว้นอื่น เสด็จอาเก้าก็คงจะโดนข้อหาลักลอบติดต่อกับต่างแคว้นอีกหนึ่งข้อหาและใกล้ความตายเข้าไปอีก
ฝู่หลินย่อมไม่ยอมถูกมัดมือชกไปเช่นนี้ เขาหนีออกมาทันที ราชองครักษ์ตามจับเขาไปทั่วเมือง นี่เป็นพยานหลักฐานคนสำคัญ ข้อหาของเสด็จอาเก้ายิ่งเยอะก็ยิ่งดี เช่นนี้จึงจะดูเหมือนเสด็จอาเก้าก่อกรรมทำชั่วจนแม้แต่สวรรค์และคนต่างก็พากันเคียดแค้น ิองค์จักรพรรดิจึงจะเป็นผู้ที่ปราดเปรื่องทั้งด้านบุ๋นและบู๊อย่างแท้จริง
แม้ฝู่หลินจะเก่งกาจ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่อาจหนีออกไปจากเมืองหลวงได้ หลังจากหลบซ่อนมาเป็นเวลาสองวันก็ถูกพบตัวเข้า วิ่งหนีไปมาก็ชนเข้ากับเฟิ่งชิงเฉิน
ในยามที่กำลังถามตอบกันอยู่นั้น ราชองครักษ์ก็ตามมาทัน เฟิ่งชิงเฉินพบกับเจ้าหน้าที่ทางการอีกครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้องครักษ์ที่มาเป็นคนแปลกหน้า เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้จัก ดูท่าทางแล้วพวกเขาก็ไม่รู้จักเฟิ่งชิงเฉินด้วยเช่นกัน เมื่อฝู่หลินยืนอยู่กับเฟิ่งชิงเฉินก็พูดอย่างไม่เกรงใจ “แม่นางเป็นใคร ให้ดีอย่าได้มายุ่งดีกว่า องครักษ์กำลังปฏิบัติหน้าที่ หากขัดขวางถือเป็นโทษสมรู้ร่วมคิด”
คำพูดของทหารองครักษ์ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง แน่นอนว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่จะเป็นต้องตอบ เซี่ยหว่านก้าวไปข้างหน้าและหยิบป้ายแขวนเอวออกมา “คุณของข้าคือคุณหนูแห่งจวนจงอี้โหว”
ส่วนชื่อนั้นไม่จำเป็นต้องบอกพวกเขา เช่นนี้จึงจะยิ่งทำให้ดูสูงส่งน่าเกรงขามขึ้นไปอีก
“จวนจงอี้โหว? แม่นางเฟิ่งแห่งเรือนเล็กซีชวี” ราชองครักษ์จึงเข้าใจว่าคนตรงหน้าเป็นใคร ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้าง
เมื่อวานเพิ่งได้ยินเพื่อนร่วมงานเอ่ยถึงวิธีที่เฟิ่งชิงเฉินใช้จัดการกับราชองครักษ์ เหตุใดวันนี้จึงพบนางเข้าเสียได้ แม่นางที่งดงามเช่นนี้กลับร้ายกาจถึงเพียงนั้น
เมื่อนึกถึงดงวตาหวาดกลัวของเพื่อนร่วมงานเหล่านั้น สองตาของเหล่าทหารที่มองเฟิ่งชิงเฉินก็เจือไปด้วยความหวาดหวั่นและอดไม่ได้ที่จะเผยความหวาดกลัวออกมา แต่ทว่าเมื่อคิดว่าตนเองกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ ความมั่นใจก็กลับคืนมาอีกครั้ง ครั้งนี้พวกเขามีเหตุผลเต็มเปี่ยม แม้เฟิ่งชิงเฉินจะเอาอดีตจักรพรรดิหรือเซิ่งหมิ่นฮองเฮามากดดันพวกเขาก็ไม่มีประโยชน์
“ถูกต้อง คือคุณหนูของข้า” เซี่ยหว่านตอบกลับอย่างหยิ่งผยองพร้อมท่าทางภาคภูมิใจ
เฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่ที่นั่น บนใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม นางไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แต่กลับไม่มีใครกล้าทำเหมือนนางไม่มีตัวตน เหล่าทหารองครักษ์ที่อยู่ด้านหน้าแอบเงยหน้าขึ้นอย่างเงียบๆ คิดอยากจะพินิจดูเฟิ่งชิงเฉินอย่างละเอียด ไหนเลยจะรู้ว่าเพียงแค่เงยหน้าขึ้นก็สบเข้ากับดวงตาคมปลาบน่าเกรงขามของเฟิ่งชิงเฉิน พวกเขาตกใจจนรีบก้มหน้าและไม่กล้ามองนางอีก
สองฝ่ายยืนเผชิญหน้ากันอยู่เช่นนี้ ฝั่งเฟิ่งชิงเฉินมีคนน้อยและคนที่นางพามาล้วนเป็นหญิงสาวอ่อนแอ แต่ความน่าเกรงขามนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเหล่าทหารองครักษ์เลย ฝู่หลินมองภาพนี้และมองเฟิ่งชิงเฉินอย่างประเมิน แพขนตาของเขากระพือเล็กน้อยเพื่อปกปิดสายตาที่เป็นประกายประหลาด
เพราะมีเจ้าหน้าที่อยู่ แม้คนอยากจะมุงดูก็ไม่กล้า เพียงแต่แอบมองอย่างประเมินและแสร้งทำเป็นยุ่ง เฟิ่งชิงเฉินรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าทหารเหล่านี้ไม่กล้าทำอะไรก็ให้รู้สึกรำคาญเล็กน้อย
วันนี้ถูกคนมุงดูสองครั้ง นางไม่มีแก่ใจสนุกด้วยและยิ่งไม่อยากตกเป็นหัวข้อนินทา อย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องดี นางขยิบตาให้เซี่ยหว่าน เซี่ยหว่านฉลาดเฉลียวจึงรีบพูดออกมาทันที “ใต้เท้า คุณชายท่านนี้เป็นแขกของคุณหนู เพิ่งมาที่นี่จึงไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว หากทำอะไรให้พวกท่านไม่พอใจต้องขออภัยด้วย วันหน้าต้องไปขออภัยถึงท่อย่างแน่นอน”
ความหมายของคำพูดนี้ก็คือเฟิ่งชิงเฉินจะพาฝู่หลินไป แต่มีหรือที่เหล่าทหารจะยอม “แม่นางเฟิ่ง ต้องขอโทษด้วย คุณชายผู้นี้คือคนของจวนองค์ชายเก้าทั้งยังไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียน จากการตรวจสอบของผู้น้อย เขาไม่มีรายชื่ออยู่ในทะเบียนหลวงด้วยซ้ำ ชายผู้นี้เป็นคนเถื่อน และถึงแม้จะมิใช่คนเถื่อน คนทั้งจวนองค์ชายเก้าก็ล้วนถูกจับกุมหมดแล้ว คุณชายผู้นี้ก็ไม่เป็นข้อยกเว้น”
นี่เป็นการปฏิบัติไปตามกระบวนการ ถึงแม้ฝู่หลินจะมีชื่ออยู่ในทะเบียน แต่ยามนี้เขาอาศัยอยู่ที่จวนเสด็จอาเก้า แน่นอนว่าย่อมถูกจับขังเหมือนคนอื่นๆ
แน่นอนว่าราชองครักษ์คงไม่โง่เขลาถึงขนาดพูดกับเฟิ่งชิงเฉินว่าพวกเขาสงสัยว่าฝู่หลินจะเป็นสายลับมาจากแคว้นอื่น
“คุณชายผู้นี้เป็นแขกของข้า เข้าพักอยู่ที่จวนองค์ชายเก้าชั่วคราวเท่านั้น เขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเสด็จอาเก้า” เฟิ่งชิงเฉินหงุดหงิด หากเรื่องของฝู่หลินนางจัดการไม่ได้ เกรงว่าคงไม่อาจรักษาชีวิตของเขาไว้ได้อีก
โทษของเสด็จอาเก้ามีองค์จักรพรรดิเป็นผู้ตั้งข้อหา แม้จะบอกว่ายังไม่ได้พิสูจน์จริงเท็จ แต่ฝาบาทก็ทรงบัญชาให้ปิดจวนองค์ชายเก้าแล้ว คนในจวนล้วนถูกคุมขัง ไม่มีเหตุผลที่ฝู่หลินจะพิเศษไปกว่าผู้อื่น
เพื่อนของเฟิ่งชิงเฉินจะไม่เกี่ยวข้องกับเสด็จอาเก้าได้อย่างไร?
องครักษ์เย้ยหยัน เฟิ่งชิงเฉินช่างสามารถปั้นน้ำเป็นตัวได้จริงๆ ความสัมพันธ์ของเฟิ่งชิงเฉินและเสด็จอาเก้าไม่ได้สนิทสนมกัน เพื่อนของนางอาศัยอยู่ในจวนองค์ชายเก้า แล้วจะไม่เกี่ยวข้องกับจวนองค์ชายเก้าได้อย่างไร
แน่นอนว่าราชองครักษ์เพียงแค่แขวะนางอยู่ในใจเท่านั้นและไม่กล้าพูดมันออกมาต่อหน้าเฟิ่งชิงเฉิน พวกเขาไม่ต้องการถูกนางเชือดจนทำให้เสียหน้าต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน เขาจึงพูดอย่างประนีประนอม “แม่นางเฟิ่ง หากคนผู้นี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจวนองค์ชายเก้า แม่นางเฟิ่งสามารถไปรับคนได้ที่ซุ่นเทียนฝู่”
ราชองครักษ์ต้องการพาตัวคนไปแต่ในขณะเดียวกันก็ต้องการผูกไมตรีต่อเฟิ่งชิงเฉิน คนถูกขังไว้ที่ซุ่นเทียนฝู่ หากต้องการนำคนออกมาอย่างปลอดภัยก็ไม่ยาก ข้ารับใช้เท่านั้น แม้ว่าจะเพิ่งมาถึงจวนเสด็จอาเก้า เบื้องบนก็คงไม่ใส่ใจนัก แน่นอนว่าองครักษ์ไม่มีทางบอกเฟิ่งชิงเฉินแน่ว่าฝู่หลินเป็นข้อยกเว้น
เมื่อถึงเวลานั้น คนที่ปวดหัวก็ไม่ใช่พวกเขา พวกเขาเพียงแค่รับผิดชอบพาตัวคนไปให้ได้ก็พอแล้ว
ฝู่หลินยืนอยู่ด้านข้าง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเลย เขาไม่มีโอกาสได้พูดอะไรในเมืองหลวงแห่งตงหลิง เฟิ่งชิงเฉินครุ่นคิดเล็กน้อยและตัดสินใจทำตามที่ทหารกล่าวมา
เรื่องเมื่อวานนางมีเหตุผล แต่วันนี้นางหาเหตุผลมาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ถึงแม้นางจะอยากช่วยฝู่หลินแต่ก็ช่วยไม่ได้ นางส่งสายตาขอโทษไปยังฝู่หลิน ยามที่นางกำลังจะเอ่ยพูดก็ถูกคนขัดจังหวะเข้า…