ซูเหวินชิงไม่สบาย ทำอย่างไรดี?
แน่นอนล่ะ ต้องพาไปหาหมอ
หมอที่มีฝีมือมากที่สุดในเมืองหลวงคือใครกันล่ะ?
แน่นอนล่ะ เฟิ่งชิงเฉินอย่างไรล่ะ
การเดินทางจากจวนซูไปยังเรือนเล็กซีชวีต้องใช้เวลามาก หลานจิ่วชิงจึงตัดสินใจเลือกจวนเฟิ่ง หลานจิ่วชิงให้สายลับไปรายงานเฟิ่งชิงเฉิน ให้เฟิ่งชิงเฉินรีบมาที่จวนเฟิ่ง ส่วนตัวเองก็ประคองซูเหวินชิงไปยังห้องผ่าตัดที่เพิ่งสร้างขึ้นในจวนเฟิ่ง โดยใช้เส้นทางลับ
ในช่วงที่มีการก่อสร้างจวนเฟิ่ง หลานจิ่วชิงให้ซูเหวินชิงขุดเส้นทางลับที่เชื่อมระหว่างจวนเฟิ่งและห้องลับของจวนซู ซึ่งเรื่องเส้นทางลับนี้ เฟิ่งชิงเฉินเองก็ไม่รู้มาก่อน
จุดประสงค์ในตอนแรก หลานจิ่วชิงเพียงต้องการใช้เส้นทางนี้ไว้ให้เขาและปู้จิงหยุนไปหาเฟิ่งชิงเฉินเพื่อทำแผลอย่างสะดวก นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เฟิ่งชิงเฉินช่วยเขา นางก็กลายเป็นหมอประจำตัวของพวกเขาไปเสียแล้ว ไม่นึกเลยว่าคนที่จะได้ใช้เส้นทางลับสายนี้เป็นคนแรกจะกลับกลายมาเป็นซูเหวินชิง
เมื่อสายลับได้รับคำสั่งแล้วก็เงยหน้ามองท้องฟ้า เมื่อเขาปรากฏตัวอยู่ที่หน้าประตูห้องของเฟิ่งชิงเฉินแล้วก็ลังเลอยู่พักใหญ่ จนในที่สุดก็เคาะประตูห้อง
เขากลัวว่าผู้เป็นนายจะควักลูกตาเขา หากรู้ว่าเขาบุกเข้าไปในห้องส่วนตัวของแม่นางเฟิ่ง
“แม่นางเฟิ่ง”
“นั่นใคร?” เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกตัวแล้ว และสิ่งแรกที่นางทำก็คือคว้าปืนที่อยู่ข้างๆหมอน
“ข้าน้อยเป็นสายลับที่ถูกส่งมาเพื่อคุ้มกันแม่นางเฟิ่ง นายของข้าน้อยส่งข่าวมาบอกว่า เขากำลังรอท่านอยู่ที่ห้องผ่าตัดในจวนเฟิ่ง ขอให้ท่านรีบไปที่นั่นโดยเร็วที่สุด มีคนอาการหนักขอรับ” นั่นก็หมายความว่า คนที่อาการหนักไม่ใช่หลานจิ่วชิง
เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางนวดขมับสักครู่ แล้วตะโกนตอบผู้ที่รออยู่ด้านนอก “เช่นนั้นรอเดี๋ยว” ก่อนจะลุกขึ้นมาจุดเทียนจนสว่าง
การที่ต้องลุกขึ้นมาจากเตียงกลางดึกในช่วงฤดูหนาวไม่ใช่สิ่งที่รื่นรมย์เท่าใดนัก เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกเช่นนั้น นางแต่งตัวในขณะที่หน้าหงิก เปิดกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ แล้วหยิบยาที่จำเป็นออกมา ก่อนจะนำยาเก็บลงในกล่องปฏิบัติการ
กระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะแสดงผลคะแนนจรรยาแพทย์ขึ้นมาว่ายังมีอีก 10 คะแนน เฟิ่งชิงเฉินได้แต่หวังในใจว่าการไปหาหลานจิ่วชิงครั้งนี้จะทำให้นางได้คะแนนเพิ่มขึ้น นางอยากได้ปืนกลรุ่นเอเค 47 เหลือเกิน แต่ช่วงนี้นางไม่ค่อยได้ออกไปรักษาผู้คนเลย
เฟิ่งชิงเฉินหิ้วของเดินออกมา แต่นางยังไม่เดินตามสายลับไป แต่ยืนสังเกตสายลับอยู่สักพัก
สายลับเหล่านี้นางเคยเจอแล้วครั้งหนึ่ง แต่มองเพียงผ่านๆ จึงจำหน้าตาไม่ค่อยได้ สายลับก็รู้ดีว่าควรทำอย่างไร เขาหยิบป้ายสลักที่มีสัญลักษณ์ตระกูลซูออกมาแล้วส่งไปให้เฟิ่งชิงเฉิน เมื่อเฟิ่งชิงเฉินตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนดีแล้วก็พยักหน้า “ส่งคนเข้าไปอยู่ในห้องนี้ อย่าให้ใครรู้ว่าข้าออกไปข้างนอก”
“ขอรับ” เมื่อเฟิ่งชิงเฉินพูดจบ สายลับก็ยกมือขึ้นมาส่งสัญญาณ แล้วบอกเฟิ่งชิงเฉินไปว่า “ขออภัยนะขอรับ” แล้วทำการยกร่างเฟิ่งชิงเฉินออกไปจากเรือนเล็กซีชวีอย่างรวดเร็ว
เฟิ่งชิงเฉินตกใจยิ่งนัก แต่ก็ต้องอุดปากตัวเองไว้ เพื่อไม่ให้ตัวเองแหกปากลั่น นางได้แต่ด่าคนของหลานจิ่วชิงอยู่ในใจที่บุ่มบ่ามเกินไป หารู้ไม่ว่าในใจของสายลับผู้นั้นก็ขมขื่นไม่แพ้กัน
ทั้งสองฝ่ายต่างรีบเร่งเดินทาง หลังจากที่หลานจิ่วชิงออกมาจากเส้นทางลับได้ไม่นาน เฟิ่งชิงเฉินก็มาถึงพอดี นางมองไปยังห้องไม้เล็กๆพลางถอนหายใจ แล้วจึงถือไฟเดินไปทางห้องนั้น และยังสั่งให้สายลับไปช่วยจุดไฟห้องอื่นๆให้สว่าง
หากจุดไฟให้สว่างเพียงห้องเดียว ก็จะตกเป็นเป้าสายตามากเกินไป
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเดินเข้าไปในห้องก็เห็นหลานจิ่วชิงยืนกอดอกอิงผนังอยู่ ท่าทางที่ดูเหมือนจะชวนหาเรื่องของหลานจิ่วชิง ดูๆแล้วกลับมีความพิเศษ ช่างดูชวนมองเหลือเกิน
หากพิจารณาดีๆแล้ว หลานจิ่วชิงดูมีความเด็ดเดี่ยวและความอ้างว้างอยู่นัยๆ เหมือนว่าเขาถูกโลกทั้งใบทอดทิ้ง
เฟิ่งชิงเฉินหวั่นไหวเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการออกมา นางพยักหน้าให้กับหลานจิ่วชิงเพื่อเป็นการทักทาย ก่อนจะเดินไปดูซูเหวินชิงที่นอนอยู่บนโต๊ะผ่าตัด
ไม่เจอกันเพียงไม่กี่วัน ซูเหวินชิงกลับดูเปลี่ยนไปมาก สภาพเขาดูแย่ยิ่งกว่าตอนที่ได้เจอกันที่ห้องเก็บศพอีก เขาผอมจนหนังหุ้มกระดูก ไม่มีสง่าราศีของผู้มั่งมีแห่งตงหลิงเลย
สงสัยจะทุกข์ใจเรื่องเสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าซูเหวินชิงรู้จักคนมากมาย ไม่เพียงแต่จะสนิทสนมกับหลานจิ่วชิง แต่ยังคุ้นเคยกับขุนนางใหญ่ๆในตงหลิงอีกด้วย
ขุนนางใหญ่พวกนั้นต่างมองว่าเสด็จอาเก้าเป็นที่พึ่งพิงที่ดีที่สุดของซูเหวินชิง หากไม่มีเสด็จอาเก้าแล้ว ซูเหวินชิงก็จะกลายเป็นพ่อค้าที่ไม่มีที่พึ่ง และสักวันหนึ่งก็คงถูกรังแกจนไม่เหลืออะไรเลย
ร่ำรวยแล้วอย่างไรล่ะ หากที่พึ่งล้มลง ตนเองก็ต้องสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างเช่นกัน
ในขณะที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังเห็นใจในชะตากรรมซูเหวินชิงอยู่นั้น นางไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองได้ตกเป็นแพะรับบาปของผู้อื่นไปเสียแล้ว ที่จวนกั๋วกง บ่าวคนหนึ่งที่คอยรับใช้ใกล้ชิดเจิ้นกั๋วกง เขามาพบว่าเจิ้นกั๋วกงไม่มีลมหายใจแล้ว จึงร้องลั่นด้วยความตื่นตกใจ แล้วทั่วทั้งจวนก็ส่งเสียงดังระงม มีทั้งเสียงร้องไห้และตะโกน ท่ามกลางเสียงเหล่านั้น มีใครคนหนึ่งได้เอ่ยขึ้นมาว่า “ปกติท่านกั๋วกงก็แข็งแรงดีนี่นา ทำไมจู่ๆถึงมาจากไปกะทันหันเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉิน จะต้องเป็นเฟิ่งชิงเฉินแน่ๆ เมื่อตอนกลางวันนางชนท่านกั๋วกง จึงส่งผลต่อหัวใจและปอดท่านกั๋วกง”
“ใช่ จะต้องเป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉินแน่ๆ ท่านฮูหยิน ท่านจะต้องทวงความยุติธรรมให้กับท่านกั๋วกงนะขอรับ” บรรดาบ่าวไพร่ภายในจวนกั๋วกงต่างเรียกร้องให้ฮูหยินยื่นหนังสือร้องเรียนไปถวายฮองเฮา
หมอประจำจวนกั๋วกงก็วินิจฉัยออกมาว่าท่านกั๋วกงถูกทำร้ายปอด เขาเสียชีวิตเพราะเลือดออกในปอด สาเหตุมาจากการที่ปอดได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง เมื่อฮูหยินได้ฟังแล้ว ก็ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงระทมทุกข์ “ไปเอาชุดประจำตำแหน่งเกาหมิงฮูหยินมาให้ข้า ข้าจะเข้าวัง”
จวนกั๋วกงจะวุ่นวายเพียงไรเฟิ่งชิงเฉินไม่รับรู้ เฟิ่งชิงเฉินให้หลานจิ่วชิงออกไปรอนางที่ด้านนอก อย่าอยู่ในนี้เพื่อสร้างภาระให้กับนาง หลานจิ่วชิงรู้ความลับของเฟิ่งชิงเฉินเป็นอย่างดี จึงไม่อยู่สร้างความลำบากใจให้กับนาง แต่ว่า……
เขาอยากอยู่ดูหน้าเฟิ่งชิงเฉินอีกสักหน่อย อยากอยู่ต่อเพื่อพูดคุยกับนางอีกสักนิด แต่ก็หาจังหวะดีๆไม่ได้เลย เพราะความเป็นความตายของซูเหวินชิงคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้
อาการของซูเหวินชิง ไม่ต้องใช้กระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ เฟิ่งชิงเฉินก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นอาการของตับร้อน สารอาหารในร่างกายย่ำแย่ เหน็ดเหนื่อยมากเกินไป หากอาการไม่แสดงออกขึ้นมาในตอนนี้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะทำงานจนเสียชีวิตไปเลยก็เป็นได้ โรคนี้ คนในยุคปัจจุบันเป็นกันไม่น้อยเลย
เฟิ่งชิงเฉินให้สารอาหารเหลวและกลูโคสกับซูเหวินชิง ซูเหวินชิงนั่งอยู่กับที่นานเกินไป ทำให้เลือดลมไหลเวียนไม่สะดวก เมื่อครู่นี้ก็ได้ยินหลานจิ่วชิงบอกว่าซูเหวินชิงเลือดออกจำนวนมาก เฟิ่งชิงเฉินจึงไม่กล้าฉีดยากระตุ้นเลือดให้เขา ได้แต่ช่วยเขานวดกดจุด ให้ส่วนต่างๆในร่างกายมีเลือดไปหล่อเลี้ยงอย่างทั่วถึง
เมื่อเห็นท้องฟ้าใกล้สว่าง เฟิ่งชิงเฉินก็รู้ว่าต้องรีบกลับไปแล้ว นางสั่งให้หลานจิ่วชิงช่วยดูแลซูเหวินชิงให้ดีๆ ให้ซูเหวินชิงมีเวลาพักผ่อนมากกว่านี้ แล้วนางก็มอบยากระตุ้นภูมิคุ้มกันมาให้ ก่อนจะเก็บข้าวของอย่างรีบด่วน
นางถือของเดินออกมาด้านนอก หลานจิ่วชิงก็ยืนขวางนางไว้ เฟิ่งชิงเฉินจึงมองหน้าเขาด้วยความสงสัย “มีอะไรหรือ?”
หลานจิ่วชิงมีคำพูดนับพันที่อยากพูดออกมา เมื่อต่อหน้าดวงตาที่ดูอ่อนล้าของเฟิ่งชิงเฉินแล้ว สิ่งที่เขาอยากพูดจึงเก็บเอาไว้ก่อน แล้วตอบนางสั้นๆว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง เขา……จะต้องไม่เป็นไร”
เขากำลังหมายถึงใคร คนทั้งสองรู้ดีอยู่แก่ใจ
ที่แท้ก็เป็นการปลอบใจตัวเอง เฟิ่งชิงเฉินยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “ข้ารู้ และข้าก็เชื่อว่าเขาจะต้องไม่เป็นไร”
เฟิ่งชิงเฉินกล่าวอย่างหนักแน่น ไม่รู้ว่าเป็นการให้กำลังใจตัวเองหรือให้กำลังใจหลานจิ่วชิงกันแน่
หลานจิ่วชิงมีแววตาอันขื่นขม “รีบกลับไปเถอะ พักผ่อนให้มากๆ เรื่องอื่นเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”
เดิมทีเขาก็อยากให้นางอยู่เป็นเพื่อนต่อไปอีกสักพัก แต่เมื่อได้เห็นท่าทางอ่อนเพลียของนางแล้วก็อดเห็นใจนางไม่ได้ กลัวว่านางจะเป็นอย่างซูเหวินชิงไปอีกคน
เฟิ่งชิงเฉินยิ้ม นางไม่ได้พูดอะไรอีก ก่อนจะเดินทางกลับไปยังเรือนเล็กซีชวีโดยมีสายลับตามไปส่ง ยังไม่ทันที่นางจะได้เปลี่ยนเสื้อผ้า ก็ถูกบรรดาราชองครักษ์เข้ามาห้อมล้อมไว้……
นี่มันอะไรกัน?